- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 15 June 2018 18:56
- Hits: 3767
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ปัจจัยลบ ECB ทยอยลด QE-สงครามการค้า
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปรับลด 8.48 จุด ปิดที่ 1709.86 จุด สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายปานกลางที่ 59.7 พันล้านบาท ระหว่างวันดัชนีฯไปทำจุดต่ำสุดที่ 1699.66 จุดทีเดียว มีแรงขายหลังผลการประชุมเฟดปรับขึ้น 0.25% และปีนี้ปรับขึ้นทั้งหมดถึง 4 ครั้ง แต่ถ้อยแถลงออกมาในเชิงเศรษฐกิจร้อนแรง คือ เฟดปรับขึ้นอัตราการเติบโตเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอีก ยังติดตามผลประชุม ECB และธนาคารกลางญี่ปุ่น ปัจจัยต่างประเทศยังเป็นลบในเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐยังร้อนแรง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ทยอยปรับขึ้นใกล้ 3% รวมทั้งความกังวลสงครามการค้ายังมีอยู่ มีแรงขายกระจายไปในกลุ่มหลัก แต่มีแรงซื้อบางหลักทรัพย์คือ GLOW เกี่ยวกับข่าวการถูกซื้อกิจการ แต่ยังไม่มีการประกาศข่าวผ่านตลาดฯ ด้านผู้ขายสุทธิรายเดียวคือ ต่างประเทศสูงถึง 9.7 พันลบ. (มี Big Lot BJC 1.4 พันล้านบาท) ถึงหักก็ยังมาก ด้านผู้ซื้อสุทธิหลักคือ รายย่อย 6.8 พันลบ. สถาบัน 2.6 พันลบ. และ บัญชีหลักทรัพย์ 0.3 พันลบ.
แนวโน้มและกลยุทธ์– คาดว่า SET ได้รับปัจจัยลบจากดอลลาร์แข็งค่า บาทอ่อน เงินไหลออก หลัง ECB ทยอยลด QE จนหมดสิ้นปีนี้ และสหรัฐประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากจีน แม้ผลการประชุมเฟดเป็นไปตามคาดคือปรับขึ้น 0.25% และปีนี้ปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง แต่ถ้อยแถลงออกมาในเชิงเศรษฐกิจร้อนแรง คือ เฟดปรับขึ้นอัตราการเติบโตเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอีก ส่วนปัจจัยบวกยังเป็นการเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป มีการเก็งกำไรกลุ่มธนาคารต่อเรื่องดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น หุ้นกลุ่มพลังงานอาจผันผวนตามราคาน้ำมัน นับว่าปัจจัยต่างประเทศเป็นลบยังกดดันอยู่ ไม่ให้ไปได้ไกลในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป สะท้อนด้วยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี มีทิศทางปรับขึ้น ดอลลาร์แข็งค่า เงินไหลออกจาก SET และสงครามการค้า หลังผลประชุม G7 ไม่คืบหน้า ส่วนปัจจัยในประเทศเป็นบวกเรื่องเศรษฐกิจไทยดี สำหรับการประชุมต่างๆ สัปดาห์นี้มีเรื่องที่ต้องติดตามคือ ประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น 14-15 มิ.ย.61 คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ย สัปดาห์ถัดไป-ประชุมโอเปก 22 มิ.ย.61 ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้แกว่งตัวทั้งบวกและลบ ส่วนดาวโจนส์ล่วงหน้า -40 จุด กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ ที่ใกล้คือ DTAC ประกาศถอนตัวไม่ประมูลหุ้นส่งออกได้ประโยชน์จากบาทอ่อน การประกาศ SET 50 SET 100 ก็จะมีผลบวกกับหุ้นนำเข้า แต่เป็นลบหุ้นออก การเริ่มบอลโลก กลุ่มพาณิชย์ และ โฆษณา ได้ประโยชน์ นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1680-1725 จุด
Update หุ้นเด่น : DTAC - หลัง DTAC ประกาศว่าไม่เข้าประมูลคลื่น 1800 MHz ครั้งนี้ ฝ่ายวิจัยฯคาดว่า DTAC จะเป็นผู้ชนะได้ใบอนุญาต 1 ใบคือ 1.8 GHz ในการประมูลครั้งหน้า หลัง กสทช.มีร่างเกณฑ์ใหม่ แต่เดิม DTAC มีสมมุติฐานให้ได้ใบอนุญาต 2 ใบ แต่จากสมมุติฐานใหม่คาดว่าจะได้เพียง 1 ใบคือ คลื่น 1.8 GHz กลายกลับเป็นข้อดีคือ ค่าตัดจำหน่ายลดลง และมีกระแสเงินสดไหลออก (Cash Outflows) ลดลง อัตราการเติบโตกำไรปีนี้และปีหน้าสูงเป็น +8%/+180% เทียบ y-o-y ตามลำดับ คำแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐานเป็น 58.30 บาท ด้วยวิธี DCF (WACC 8.1%, TG 2%) ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 18% ส่วน ADVANC ยังไม่ชี้ขัดว่าจะไม่เข้าประมูลด้วยหรือไม่ แต่คาดว่าจะไม่เข้าเช่นกัน เพราะต้นทุนสูง
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นบวกเล็กๆ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1715-1720, 1725 โดยมีแนวรับ 1690-1680 แนวตัดขาดทุนต่ำกว่า 1700 จุด
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น TISCO, SYNEX, GPSC, COM7, D, WORK, ETE ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ KCE,CBG,SAT,AH,PRINC หุ้นที่หลุด LIST คือ KTB, ANAN และที่ให้หาจังหวะTake profit เป็น DCC, GLOBAL
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
-ECB ทยอยปรับลด QE และสิ้นสุดสิ้นปี 61 นี้
# ECB ระบุว่าจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อไป อย่างน้อยจนถึงช่วงฤดูร้อนของปีหน้า พร้อมประกาศคงวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ที่ระดับ 3 หมื่นล้านยูโร/เดือน จนถึงเดือนก.ย. อย่างไรก็ตาม ECB ระบุว่าจะเริ่มปรับลดวงเงิน QE สู่ระดับ 1.5 หมื่นล้านยูโรในเดือนต.ค.-ธ.ค. และจะยุติมาตรการ QE ภายในสิ้นเดือนธ.ค.
-สหรัฐฯประกาศเรียกภาษีนำเข้าจากจีนชัดเจนแล้ว
# ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ได้อนุมัติมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน วงเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์โดยคณะทำงานของปธน.ทรัมป์เตรียมเปิดเผยรายชื่อสินค้าจีนที่จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในวันนี้
#การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ปธน.ทรัมป์ได้ประชุมหารือกับที่ปรึกษาทางการค้าของทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ และมีขึ้นไม่นานหลังจากทำเนียบขาวได้ออกแถลงการณ์ว่า รัฐบาลสหรัฐจะยังคงเดินหน้าใช้มาตรการปกป้องเทคโนโลยี และทรัพย์สินทางปัญญาจากพฤติกรรมทางการค้าที่ไม่เหมาะสมของจีน โดยระบุว่าในวันที่ 15 มิ.ย.นี้ สหรัฐจะเปิดเผยรายชื่อสินค้าจีนวงเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ที่จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25%
#ทั้งนี้ คาดว่าหากสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้าจีน ก็จะส่งผลให้จีนตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้าสหรัฐ ซึ่งรวมถึงถั่วเหลือง, เคมีภัณฑ์, รถยนต์ และเครื่องบิน
- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับลง กัวลสงครามการค้า สหรัฐ-จีน
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,175.31 จุด ลดลง 25.89 จุด หรือ -0.10% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,782.49 จุด เพิ่มขึ้น 6.86 จุด หรือ +0.25% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,761.04 จุด เพิ่มขึ้น 65.34 จุด หรือ +0.85%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (14 มิ.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธนาคารรวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P 500 ดีดตัวขึ้นปิดในแดนบวก ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮ โดยได้ปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ และการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงปีหน้า
+/• น้ำมัน WTI ปรับขึ้น สต็อคนํ้ามันสหรัฐลดลงมากกว่าคาด
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 25 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 66.89 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค.ปีนี้
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 80 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 75.94 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (14 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงขานรับสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่ปรับตัวลงมากกว่าคาดการณ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปก ในวันที่ 22 มิ.ย.นี้
+/- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับขึ้น ดอลลาร์อ่อนค่า
# อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับลดลง ล่าสุดเป็น 2.9241% หลังประชุมเฟดเสร็จสิ้น
# ดัชนีดอลลาร์สหรัฐปิดวานนี้เป็น 94.986 จุด กลับแข็งค่า ค่าเงินบาทเช้านี้อ่อนค่าขึ้นเป็น 32.3175 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
# ดัชนีความกลัว (VIX) ล่าสุดลด 6.3% จากวันก่อนหน้าเป็น 12.12 จุด
# สกุลเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (14 มิ.ย.) หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศแผนยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในสิ้นปีนี้ พร้อมส่งสัญญาณว่าจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อไปจนถึงช่วงฤดูร้อนของปีหน้า ขณะที่สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกที่พุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนพ.ค.
• ทองคำปรับขึ้น หลังสงครามการค้าชัดเจนขึ้น
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 7 ดอลลาร์ หรือ 0.5% ปิดที่ 1,308.30 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (14 มิ.ย.) เนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีนได้ส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม สัญญาทองคำขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากบรรยากาศการซื้อขายในตลาดได้รับแรงกดดันหลังจากที่ประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา
-ยอดค้าปลีก และการขอยื่นสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังออกมาร้อนแรง
# กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้น 0.8% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 0.4% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนเม.ย.
#ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 4,000 ราย สู่ระดับ 218,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 224,000 ราย โดยตัวเลขผู้ที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงอยู่ต่ำกว่า 300,000 ราย เป็นสัปดาห์ที่ 171 ติดต่อกัน ซึ่งยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2512
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ประกาศสัปดาห์นี้
# สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ การผลิตภาคอุตสาหกรรม-การใช้กำลังการผลิตเดือน พ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนมิ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+ NFC: เริ่มกลับมาเข้าซื้อขายวันนี้วันแรก ใช้พาร์ใหม่ 0.75 บาท
# NFC ได้มีการปิดโรงงานปุ๋ยและไม่ได้ทำธุรกิจนั้นอีกแล้ว โดยได้เปลี่ยนมาดำเนินธุรกิจเป็นการจำหน่ายเคมีภัณฑ์และการให้บริการรองรับด้านโลจิสติกส์และคลังสินค้า ซึ่งทำให้รายได้และกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และในอนาคตบริษัทมีแผนที่จะขยายไลน์ธุรกิจเพิ่มเติม อาทิ โครงการปรับปรุงคลังสินค้าพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า พร้อมขยายฐานลูกค้าในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และโครงการพัฒนาคลังสินค้าเหลวเพิ่มเติมรวมถึงขอใช้พื้นที่เพื่อพัฒนาคลังสินค้าเหลวเพิ่มเติมจาก กนอ.ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปประมาณไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
#เป็นบริษัทแรกที่ผลการดำเนินงานไม่มีตัวเลขขาดทุนสะสม ในปัจจุบันนี้มีกำไรสะสม 243 ล้านบาท มีกำไรสุทธิต่อเนื่องมายาวนานถึง 9 ไตรมาส อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนแทบเป็นศูนย์ปัจจุบัน D/E อยู่ที่ 0.21 เท่า และขณะนี้มีกระแสเงินสดในมือ 400 ลบ. จัดได้ว่ามีความพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับการรุกขยายธุรกิจเพื่อการเติบโต
#สำหรับผลการดำเนินงานในปี (58-60) มีกำไรสุทธิ 80.37 ล้านบาท 397.00 ล้านบาท และ 214.69 ล้านบาท ตามลำดับ ล่าสุด ในไตรมาส 1/61 มีกำไรสุทธิ 26.21ล้านบาท มีรายได้รวม 300.12 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 285.85 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ประมาณ 80% มาจากรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์เคมี ส่วนที่เหลือประมาณ 20% มาจากการให้บริการ
#ล่าสุดได้มีการเพิ่มราคาพาร์จาก 0.50 บาท มาเป็น 1.25 บาท ทำให้จำนวนหุ้นลดลงมาเหลือ 1,087.83 ล้านหุ้นจากเดิม 2,719.58 ล้านหุ้น และลดทุนจดทะเบียนมาเป็น 815.87 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 1,359.79 ล้านบาท ด้วยการลดพาร์จาก 1.25 บาท มาเป็น 0.75 เพื่อล้างขาดทุนสะสม อนึ่ง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กำหนดให้ราคาซื้อขายหลักทรัพย์ของ NFC ในวันที่ 15 มิ.ย.61 ไม่มีราคาสูงสุดและต่ำสุด สำหรับราคาปิดสุดท้ายคือ 2 ก.ย.46 ที่ราคา 0.14 บาท
# ผลกระทบ: ฝ่ายวิจัยฯ DBS ไม่ได้ทำการวิเคราะห์ แต่คาดว่าราคาหุ้นจะได้รับความนิยมเหมือนกับบริษัทอื่นๆ ที่กลับมาซื้อขาย เพราะได้ปรับโครงสร้างธุรกิจ จนมีแนวโน้มจะกลับมาดีขึ้นกว่าตอนต้องเข้าฟื้นฟูกิจการ แต่ระยะกลาง-ยาวก็ขึ้นกับภาวะแนวโน้มธุรกิจ และการประเมินมูลค่าหุ้น สำหรับราคาเป้าหมายจาก นสพ.ข่าวหุ้นลงว่าเกิน 4 บาท
+ นายกฯ แจงตั้งงบปี 62 ขาดดุลเพื่อลงทุนสร้างรากฐานให้แข็งแกร่ง ยันไม่กระทบวินัยการเงินการคลัง
# พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าววิจารณ์การตั้งงบประมาณปี 2562 ขาดดุลจะเป็นการสร้างหนี้ในอนาคตว่า อยู่ที่มองมุมของแต่ละคน หากมองเพียงแค่ตัวเลขงบขาดดุลก็อาจรู้สึกว่าเป็นการสร้างภาระหนี้ แต่ในฐานะของรัฐบาลแล้วการขาดดุลงบประมาณเป็นการนำเงินไปใช้จ่ายเพื่อให้เกิดการจ้างงาน ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ สนับสนุนให้ประเทศฟื้นตัว พัฒนาขีดความสามารถของภาคธุรกิจ และช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ซึ่งการขาดดุลดังกล่าวอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่กระทบต่อวินัยทางการเงินการคลัง
+ หลักทรัพย์ทำธุรกิจเงินตราต่างประเทศได้แล้ว
#ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกประกาศที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์สามารถยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจเงินตราต่างประเทศ โดยให้บริษัทหลักทรัพย์สามารถซื้อ ขาย หรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศให้กับลูกค้าเพื่อการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีบริษัทหลักทรัพย์นั้นเป็นนายหน้าหรือตัวแทนในการลงทุนได้ โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2561 เป็นต้นไป
+/- ใกล้ประกาศ SET50,SET 100 คาดมีการเก็งกำไรสำหรับหุ้น ADD หรือขายออกล่วงหน้าสำหรับหุ้น DELETE
# ประมาณวันที่ 19 มิ.ย.61 นี้แล้ว ที่ SET จะประกาศ เพื่อมีผลใช้ตั้งแต่ 1 ก.ค.61-31 ธ.ค.61
# สำหรับ SET 50 สำหรับหุ้นเข้ามาใหม่ (ADD) คาดว่ามี BGRIM, DELTA, ESSO, GULF, KTC, RATCH, TOA หุ้นนำออก (DELETE) ได้แก่ BCP, CBG, KCE, PSH, TPIPP, WHA
# สำหรับ SET 100 สำหรับหุ้นเข้ามาใหม่ (ADD) คาดว่ามี BLA, ERW, JAS, MBK, RS, THANI, VGI หุ้นนำออก (DELETE) ได้แก่ ANAN, BA, BIG, EPG, GGC, JMART, JWD, MC, MONO, STA, THCOM, TTA, UNIQ
# การคัดเลือกหุ้นที่นำมาคำนวณใน SET50 & SET100 พิจารณาจากมูลค่าการตลาด (Market Cap) และปริมาณ & สภาพคล่องในการซื้อขายเป็นหลัก ไม่ได้พิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานหรืองบการเงินของบริษัทโดยตรง อย่างไรก็ตาม หุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้ามาคำนวณใน SET50 หรือ SET100 ก็จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น ส่วนหุ้นที่ถูกคัดออกก็อาจจะถูกลดการลงทุนลง
-ข่าว GLOW ขายไฟเถื่อน! ทำรัฐสูญเงิน 1.6 พันล้าน วัดใจบอร์ด GPSC วันนี้ กล้าอนุมัติแสนล้านซื้อหุ้น"โกลว์"
# พบพิรุธ กกพ.-กฟผ.สอดไส้โรงไฟฟ้า GLOW 1 ขนาด 150 เมกะวัตต์ เพื่อต่ออายุสัญญารับซื้อไฟฟ้าเอสพีพี ทั้งที่หมดสัญญาตั้งแต่ปี 2559 เอื้อประโยชน์ให้กับ GLOW ทำให้เข้าข่ายขัดมติ กพช.ที่ให้ต่ออายุโรงไฟฟ้าที่หมดอายุปี 2560-2568 จับตาบอร์ดสวมหัวใจสิงห์ กล้าไฟเขียว GPSC ใช้เงินแสนล้านบาท ซื้อหุ้น GLOW จาก 2 ผู้ถือหุ้นใหญ่ 69% หรือไม่.!? (ข่าวหุ้น)
+/•เลื่อนก.ม.คุมนอนแบงก์ "SAWAD-MTC' เฮลั่นทุ่ง
#กระทรวงการคลังเลื่อนใช้ พ.ร.บ.ควบคุมนอนแบงก์ รอรัฐบาลใหม่เข้ามาตัดสินใจ จับตาหุ้น SAWAD-MTC เจ้าใหญ่ตีปีกหลังปัจจัยนี้กดดันราคาหุ้นร่วงกว่า 22% และ 11% ในช่วงเกือบ 3 เดือนที่ผ่านมา ยืนยันปีนี้ยังไม่มีหน่วยงานใหม่มาคุมดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม โบรกฯ คาดส่งผลดีต่อรายได้กลุ่มเช่าซื้อปีนี้ (ข่าวหุ้น)
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO10122