- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 14 June 2018 17:54
- Hits: 3714
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ปีนี้ขึ้น 4 ครั้ง”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปรับลด 8.95 จุด ปิดที่ 1718.34 จุด สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายเบาบางที่ 43.2 พันล้านบาท ระหว่างวันดัชนีฯไปทำจุดต่ำสุดที่ 1716.38 จุดทีเดียว ข่าวผลประชุมสหรัฐ-เกาหลีที่จบไปแทบไม่มีผล และมีแรงขายทำกำไรลดความเสี่ยง รอผลการประชุมเฟด ECB และธนาคารกลางญี่ปุ่นที่จะเกิดต่อไป ปัจจัยต่างประเทศยังเป็นลบในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยประชุม 12-13 มิ.ย.61 นี้ หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐยังร้อนแรง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ทยอยปรับขึ้น รวมทั้งความกังวลสงครามการค้ายังมีอยู่ มีแรงขายกระจายไปในกลุ่มหลัก แต่มีแรงซื้อบางหลักทรัพย์คือ CPN, KBANK และ WHA ด้านผู้ขายสุทธิรายเดียวคือ ต่างประเทศ 4.3 พันลบ ด้านผู้ซื้อสุทธิหลักคือ รายย่อย 3.0 พันลบ. สถาบัน 0.7 พันลบ. และ บัญชีหลักทรัพย์ 0.6 พันลบ.
แนวโน้มและกลยุทธ์– คาดว่า SET วันนี้ปรับลง สอดคล้องกับภูมิภาค แม้ผลการประชุมเฟดเป็นไปตามคาดคือปรับขึ้น 0.25% และปีนี้ปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง แต่ถ้อยแถลงออกมาในเชิงเศรษฐกิจร้อนแรง คือ เฟดปรับขึ้นอัตราการเติบโตเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอีก ส่วนปัจจัยบวกยังเป็นการเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป มีการเก็งกำไรกลุ่มธนาคารต่อเรื่องดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น หุ้นกลุ่มพลังงานอาจผันผวนตามราคาน้ำมันซึ่งเมื่อคืนนี้ปรับขึ้น นับว่าปัจจัยต่างประเทศเป็นลบยังกดดันอยู่ ไม่ให้ไปได้ไกลในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป สะท้อนด้วยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี มีทิศทางปรับขึ้น ดอลลาร์แข็งค่า เงินไหลออกจาก SET และสงครามการค้า หลังผลประชุม G7 ไม่คืบหน้า ส่วนปัจจัยในประเทศเป็นบวกเรื่องเศรษฐกิจไทยดี สำหรับการประชุมต่างๆ สัปดาห์นี้มีเรื่องที่ต้องติดตามคือ การประชุม ECB 14 มิ.ย.เรื่องลด QE และธนาคารกลางญี่ปุ่น 14-15 มิ.ย.61 คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ย สัปดาห์ถัดไป-ประชุมโอเปก 22 มิ.ย.61 ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้แกว่งตัวลบแคบๆ ส่วนดาวโจนส์ล่วงหน้า +34 จุด กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ ที่ใกล้คือ การประกาศ SET 50 SET 100 ก็จะมีผลบวกกับหุ้นนำเข้า แต่เป็นลบหุ้นออก การเริ่มบอลโลก กลุ่มพาณิชย์ และ โฆษณา ได้ประโยชน์ นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1710-1735 จุด
Update หุ้นเด่น : TISCO - ณ สิ้นเดือนมี.ค.61 ธนาคารเซ็นสัญญาขายสินเชื่อส่วนบุคคล (ของ TISCO) และสินเชื่อบัตรเครดิต (ของทั้งกลุ่ม) ให้กับ Citibank N.A. (สาขากรุงเทพ) คาดว่าดีลจะแล้วเสร็จในปีนี้ เชื่อว่าการขายสินเชื่อเป็นสิ่งที่ดีกับธนาคาร เนื่องจากสินเชื่อที่ขายออกไปเป็นส่วนที่ธนาคารไม่ต้องการโฟกัส และเมื่อขายไปแล้วก็สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายดำเนินงานและลดการตั้งสำรองฯลง แต่ Yield เฉลี่ยก็จะอ่อนลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เป้าหมายในการซื้อสินเชื่อจาก SCBT ก็เพราะต้องการได้ลูกค้าระดับกลาง-บนที่จะเปิดทางให้เข้าไปขายผลิตภัณฑ์การเงินต่างๆ ได้มากขึ้น เช่น ประกัน ฯลฯ รวมทั้งเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจหลักทรัพย์ด้วย คงคำแนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 97 บาท – ราคาพื้นฐานที่ประเมิน P/BV ปีนี้ 2.0 เท่า นอกจากนี้ยังเป็นหลักทรัพย์ปันผลสูง คาดอัตราผลตอบแทนปันผลปีนี้และปีหน้าเป็น 5.7%/6.0% ตามลำดับ
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators พลิกเป็นลบ ปิดลบใต้ SMA 10 วัน ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง แต่อาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจาก SMA 10 แล้วจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1735-1740, 1745 โดยมีแนวรับ 1710-1705 แนวตัดขาดทุนต่ำกว่า 1725 จุด
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น KTB, ANAN, DCC, KCE,CBG, GLOBAL, SAT, AH, PRINC ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ -ไม่มี- หุ้นที่หลุด –ไม่มี- และที่ให้หาจังหวะTake profit เป็น -ไม่มี-
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
•/- เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด ส่งสัญญาณปีนี้ปรับขึ้น 4 ครั้ง
# ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 1.75-2.00% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในปีนี้ พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ โดยคาดว่าจะปรับขึ้นในเดือนก.ย.61 และธ.ค.61
# ถือว่าเป็นไปตามที่คาดกันในวงกว้าง ไม่มี surprise
-/+ ถ้อยแถลงสำคัญ ปรับอัตราเงินเฟ้อปีนี้ขึ้น เป็นสัญญาณไม่ดี
# ในการประชุมซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อวานนี้ เฟดได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในปีนี้ สู่ระดับ 2.8% จากเดิมที่ 2.7% และได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ตัวเลขเงินเฟ้อในปีนี้ สู่ระดับ 2.10% จากเดิมที่ระดับ 1.9% ส่วนอัตราการว่างงานในปีนี้ เฟดคาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 3.6% จากเดิมที่ 3.8%
# ถือเป็นสัญญาณไม่ดีนัก ในเรื่องความร้อนแรงทางเศรษฐกิจสหรัฐ และอัตราเงินเฟ้อที่ปรับขึ้น จะมีความเสี่ยงเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต อย่างไรก็ตาม GDP สหรัฐฯที่ดีขึ้นจะส่งผลบวกกับเศรษฐกิจโลก เพราะเป็นตลาดนำเข้าสำคัญ
- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับลง หลังเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,201.20 จุด ลดลง 119.53 จุด หรือ -0.47% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,775.63 จุด ลดลง 11.22 จุด หรือ -0.40% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,695.70 จุด ลดลง 8.09 จุด หรือ -0.11%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (13 มิ.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในปีนี้ พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอีก 2 ครั้ง ในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้
-ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตร ประชุม 14 มิ.ย.นี้
# นายปีเตอร์ แพรท สมาชิกคณะกรรมการบริหารของ ECB กล่าวว่าคณะกรรมการ ECB จะหารือกันเกี่ยวกับการถอนตัวจากการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันที่ 14 มิ.ย.ที่เมืองริกา ประเทศลัตเวีย จากเดิมที่ระดับ 3 หมื่นล้านยูโร/เดือน ซึ่งมีกำหนดสิ้นสุดในเดือนก.ย.นี้
# ทางด้านเจ้าหน้าที่คนอื่นๆของ ECB ได้ออกมาส่งสัญญาณในทิศทางเดียวกัน โดยนายคลาสส์ นอท ประธานธนาคารกลางเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมการของ ECB ด้วยนั้น กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีเหตุผลใดที่จะทำให้ ECB เดินหน้าใช้มาตรการ QE ต่อไป ส่วนนายเจนส์ ไวด์แมน ประธานธนาคารกลางเยอรมนีกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่ ECB จะปรับลดวงเงิน QE ภายในสิ้นปีนี้
+/• น้ำมันปรับขึ้น สต็อคน้ำมันสหรัฐลดลงมากกว่าคาด
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 28 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 66.64 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค.ปีนี้
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 86 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 76.74 ดอลลาร์/บาร์
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ (13 มิ.ย.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม ตลาดน้ำมันนิวยอร์กถูกกดดันในระหว่างวัน หลังจากรายงานระบุว่า สหรัฐผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับขึ้น ดอลลาร์อ่อนค่า
# อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับเพิ่มขึ้น ล่าสุดเป็น 2.9746% หลังประชุมเฟดเสร็จสิ้น
# ดัชนีดอลลาร์สหรัฐปิดวานนี้เป็น 93.546 จุด กลับอ่อนค่า ค่าเงินบาทเช้านี้แข็งค่าขึ้นเป็น 32.13 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
# ดัชนีความกลัว (VIX) ล่าสุดลด 4.9% จากวันก่อนหน้าเป็น 12.94 จุด
# ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (13 มิ.ย.) แม้คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในการประชุมเมื่อวานนี้ก็ตาม ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งจะมีขึ้นในสัปดาห์นี้
• ทองคำปรับขึ้น นักลงทุนรอดูผลการประชุมเฟด
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 1.9 ดอลลาร์ หรือ 0.15% ปิดที่ 1,301.3 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (13 มิ.ย.) ท่ามกลางภาวะการซื้อขายที่ซบเซา ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทั้งนี้ ตลาดทองคำนิวยอร์กปิดทำการซื้อขายก่อนที่คณะกรรมการเฟดจะแถลงผลการประชุม
-ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) พ.ค.61 ปรับขึ้น
# ข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ดีดตัวขึ้น 0.5% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน และค่าใช้จ่ายในภาคบริการ
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ประกาศสัปดาห์นี้
# ยอดค้าปลีกเดือนพ.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคานำเข้า-ดัชนีราคาส่งออกเดือนพ.ค.,สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนเม.ย., การผลิตภาคอุตสาหกรรม-การใช้กำลังการผลิตเดือนพ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนมิ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+/- ใกล้ประกาศ SET50,SET 100 คาดมีการเก็งกำไรสำหรับหุ้น ADD หรือขายออกล่วงหน้าสำหรับหุ้น DELETE
# ประมาณวันที่ 19 มิ.ย.61 นี้แล้ว ที่ SET จะประกาศ เพื่อมีผลใช้ตั้งแต่ 1 ก.ค.61-31 ธ.ค.61
# สำหรับ SET 50 สำหรับหุ้นเข้ามาใหม่ (ADD) คาดว่ามี BGRIM, DELTA, ESSO, GULF, KTC, RATCH, TOA หุ้นนำออก (DELETE) ได้แก่ BCP, CBG, KCE, PSH, TPIPP, WHA
# สำหรับ SET 100 สำหรับหุ้นเข้ามาใหม่ (ADD) คาดว่ามี BLA, ERW, JAS, MBK, RS, THANI, VGI หุ้นนำออก (DELETE) ได้แก่ ANAN, BA, BIG, EPG, GGC, JMART, JWD, MC, MONO, STA, THCOM, TTA, UNIQ
# การคัดเลือกหุ้นที่นำมาคำนวณใน SET50 & SET100 พิจารณาจากมูลค่าการตลาด (Market Cap) และปริมาณ & สภาพคล่องในการซื้อขายเป็นหลัก ไม่ได้พิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานหรืองบการเงินของบริษัทโดยตรง อย่างไรก็ตาม หุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้ามาคำนวณใน SET50 หรือ SET100 ก็จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น ส่วนหุ้นที่ถูกคัดออกก็อาจจะถูกลดการลงทุนลง
• กสทช.คาดจะยังมีผู้ยื่นประมูลคลื่น 1800 MHz 15 มิ.ย.61
# คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มั่นใจว่า ในวันที่ 15 มิ.ย. จะมีผู้มายื่นขอเข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) ถึงแม้ว่ากลุ่มทรูจะแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วว่าจะไม่เข้าประมูลอย่างแน่นอน (ASPEN)
# ผลกระทบ: ฝ่ายวิจัยฯ DBS ยังคงเชื่อในกรณีมีความเป็นไปได้ว่าจะไม่มีผู้เข้ายื่นประมูลคลื่นความถี่ 1800 MHz เพราะราคาเริ่มต้นอยู่ในเกณฑ์ที่สูงคือ 37.5 พันล้านบาท ดังนั้นการเปิดประมูลในวันที่ 4 ส.ค.61 จึงมีโอกาสจะเลื่อนออกไป และทาง กสทช.อาจจะต้องมีการจัดทำร่างเกณฑ์การประมูลใหม่ ซึ่งมีโอกาสจะทำให้การเปิดประมูลเลื่อนไปเป็นต้นปีหน้าดังนั้นจึงจะมีการเยียวยาลูกค้า DTAC ที่จะมีการคืนคลื่นที่หมดอายุสัมปทานคือ ก.ย.61 นี้ ตามสมมุติฐานคาดว่าทั้ง ADVANC และ DTAC จะได้ไปรายละ 1 คลื่นคือ 15 MHz ที่ต้นทุนต่ำลงเป็น 20 พันล้านบาท คงคำแนะนำ ซื้อ ADVANC และ DTAC ที่ราคาพื้นฐาน 232.00 บาท และ 58.30 บาท ตามลำดับ
+ รองนายกฯ นัดหารือระดับคณะทำงานกฤษฎีกา-กกต.-กรธ. วันนี้
# นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในวันนี้จะนัดหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) แต่หากมากันไม่พร้อมอาจเลื่อนออกไป เพราะอยากให้ครบองค์ประชุม และอาจจะมีการหารือเรื่องไพรมารีโหวต และเรื่องการเลือกตั้งท้องถิ่น แต่จะหารือถึงเรื่องที่ปัญหาสืบเนื่องจากคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 และจาก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง แต่ยังจะไม่มีพรรคการเมืองเข้าร่วม เพราะไม่ได้เชิญ และยังไม่ใช่เวทีพูดคุยกับพรรคการเมืองของแม่น้ำ 5 สาย แต่เป็นการหารือภายในระดับคณะทำงานในเรื่องทางเทคนิค และคิดว่าคงยังไม่ได้ข้อสรุปหลังการหารือเกิดขึ้น (Aspen)
+/- ANAN: มั่นใจยอดขายปี 61 เข้าเป้า ลุ้นยอดขาย Q2/61 โตกว่าเป้า
# ANAN มั่นใจยอดขายปี61 เข้าเป้า 3.51 หมื่นลบ. ครึ่งปีหลังเตรียมเปิด 11 โครงการใหม่ รวม 2.2 หมื่นลบ. ลุ้นยอดขาย Q2/61 โตกว่าเป้าที่ 5.2 พันลบ. รับยอดขาย Aston จุฬา-สีลม ,Unio ราม-เสรีไทย, Ideo อโศก-พระราม9 โตดี
# หลังจากที่โครงการแอชตัน อโศก มูลค่า 6.7 พันล้านบาท ได้ถูกเลื่อนการโอนออกไป เนื่องจากอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลปกครองนั้น บริษัทฯ ก็ได้มีการเจรจากับทางลูกค้าและได้ให้ส่วนลดพิเศษ ส่งผลทำให้ลูกค้ามีความประสงค์ที่จะรอการโอน ณ ปัจจุบันที่ 76% ส่วนที่เหลืออีก 24% ลูกค้ายืนยันที่จะไม่รอ บริษัทจึงได้คืนเงินให้กับลูกค้าตามสัญญาไปแล้ว ประเมินหากโอนไม่ทันปีนี้อาจกระทบยอดรับรู้ฯ 18% ของเป้าทั้งปี (Aspen)
# ผละกระทบ: ทางฝ่ายวิจัยฯมีสมมุติฐานว่าไม่สามารถโอน Ashton อโศกทันปีนี้ เนื่องจากยังไม่ได้รับ อ.6 ซึ่งเป็นใบอนุญาตการใช้อาคาร แต่อัตราการเติบโตกำไรหลักปีนี้และปีหน้าถือว่าสูงเป็น 37%/51% เทียบ y-o-y ตามลำดับ ส่วนคำตัดสินของศาลปกครองฯ คาดว่าจะเป็นช่วง 3Q-4Q61 คำแนะนำปัจจุบันเป็น เต็มมูลค่า (Fully Valued) ราคาพื้นฐาน 4.00 บาท นั่นคือ ให้โอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้ไว้ก่อน แต่หากโอนได้จริงจะเป็นข่าวบวกเข้ามา เพราะโครงการนี้มีมูลค่าสูงรวมทั้งหมดในนามกิจการร่วมทุนเป็น 6.7 พันล้านบาท ต้องติดตามผลใกล้ชิด ราคาหุ้นจึงหวั่นไหวไปกับพัฒนาการของข่าวนี้มาก คาดว่าหากโอนได้ราคาพื้นฐานจะปรับขึ้นไปได้ถึง 5.20-6.00 บาท การเข้าไปเก็งกำไร จึงเหมาะกับผู้รักความเสี่ยงเท่านั้น
+ STEC: คงเป้ารายได้ปีนี้โต 25% มาที่ 2.5 หมื่นลบ. แม้เข้าพื้นที่ก่อสร้างรถไฟฟ้าล่าช้ากว่าแผน
# บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ในปีนี้ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท เติบโต 25% จากระดับ 2 หมื่นล้านบาทในปีก่อน และปีหน้าคาดรายได้เพิ่มเป็น 3 หมื่นล้านบาท แม้ว่าการเข้าพื้นที่ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู และสายสีเหลืองจะมีความล่าช้าโดยคาดว่าจะเริ่มงานก่อสร้างได้ในเดือน ส.ค.นี้ จากเดิมที่คาดว่าจะเข้าพื้นที่ได้ภายใน 6 เดือนนับจากวันที่เซ็นสัญญา 2 โครงการนี้เมื่อ มิ.ย.60 ทำให้โอกาสที่จะรับรู้รายได้เพิ่มเป็น 3 หมื่นล้านบาทนั้นไม่เกิดขึ้นในปีนี้ อย่างไรก็ดี ทั้งสองโครงการมีระยะเวลาก่อสร้าง 39 เดือน (Aspen)
# ผลกระทบ: แนวโน้มบริษัทดีขึ้น – คาดงานประมูลโครงการภาครัฐจะมีความคืบหน้ามากขึ้นในครึ่งปีหลัง ซึ่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้น สำหรับกำไรปีนี้ คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 1.16 พันล้านบาท จากขาดทุนสุทธิ 611 ล้านบาทในปีก่อน (เพราะตั้งสำรองด้อยค่าฯ งานในมือ คำแนะนำเป็นซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 23 บาท ซึ่งเทียบเท่ากับ P/E ปีนี้ที่ 30 เท่า แต่ราคาหุ้นปรับขึ้นมาเร็วจนเหลือส่วนเพิ่ม (upside) ไม่มาก จึงแนะนำ ซื้อเมื่ออ่อนตัวมากกว่า
+ SPALI: เผย 5 เดือนทำยอดขายได้ 40% ของเป้า 3.3 หมื่นลบ. คาด H2/61 ทำได้สูงกว่า H1
# บริษัทเปิดเผยว่า ยอดขายของบริษัทในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาทำยอดขายได้แล้ว 40% ของเป้าหมายยอดขายที่ตั้งไว้ 3.3 หมื่นล้านบาท แม้ว่ายังไม่ได้มีการเปิดคอนโดมิเนียมใหม่ ยอดขายส่วนใหญ่มาจากการแนวราบและคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้วเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะคอนโดทำเลรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่เริ่มเห็นยอดขายกลับมามากขึ้น โดยเฉพาะเดือนพ.ค.ยอดขายของบริษัทเติบโต 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ดีขึ้น จากความมั่นใจของประชาชนหลังจากภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวดี และยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยอยู่มาก
# สำหรับแนวโน้มยอดขายในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทคาดว่าจะทำได้ดีกว่าครึ่งปีแรก เพราะในช่วงครึ่งปีหลังจะเปิดโครงการคอนโดมิเนียมเพิ่มมากขึ้น โดยจะเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมอีก 4 โครงการ มูลค่ารวม 1.64 หมื่นล้านบาท
# ผลกระทบ: แนวโน้มกำไรในช่วงที่เหลือของปี 61 ยังมีความสดใส เพราะยังมีโปรแกรมการโอนคอนโดต่อเนื่องคาดว่ากำไรและยอดขาย (Presales) จะไปสูงสุดใน 4Q61 แต่แนะนำ ถือ เนื่องจากราคาหุ้นปรับขึ้นมาพอควรแล้วด้วยราคาพื้นฐานเป็น 25.50 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ที่ 9 เท่า ราคาปิดมีส่วนเพิ่มเพียง 4% และรับปันผลที่อัตราผลตอบแทน ( yield) 4.3%
+/• NFC: กลับเข้ามาซื้อขายอีกครั้ง 15 มิ.ย.61
#ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ขอให้ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลของบมจ.เอ็นเอฟซี (NFC) เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน หลังหุ้น NFC จะกลับเข้าซื้อขายใน SET ในวันพรุ่งนี้ (15 มิ.ย.) ขณะที่ราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายของหุ้นอาจไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงในปัจจุบัน
# NFC ได้ยื่นคำขอพ้นเหตุอาจถูกเพิกถอนและขอให้เปิดซื้อขายหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯประกาศให้ NFC เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนตั้งแต่วันที่ 6 มิ.ย.46 เนื่องจากงบการเงินประจำปี 2545 ปรากฏส่วนผู้ถือหุ้นมีค่าน้อยกว่าศูนย์ รวมทั้งผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินของบริษัทเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯอนุมัติให้ NFC พ้นเหตุอาจถูกเพิกถอน โดยปลดเครื่องหมาย "SP" (Suspension) และให้เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ กลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุตสาหกรรม หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.61 เป็นต้นไป
# โดยกำหนดให้หลักทรัพย์ของ NFC สามารถซื้อขายได้โดยไม่มีกรอบราคา (Ceiling & Floor) ในวันที่ 15 มิ.ย.61 เพื่อให้หลักทรัพย์ดังกล่าวสามารถซื้อขายได้ตามสภาพความเป็นจริง
# ผลกระทบ: ฝ่ายวิจัยฯ DBS ไม่ได้ทำการวิเคราะห์ แต่คาดว่าราคาหุ้นจะได้รับความนิยมเหมือนกับบริษัทอื่นๆ ที่กลับมาซื้อขาย เพราะได้ปรับโครงสร้างธุรกิจ จนมีแนวโน้มจะกลับมาดีขึ้นกว่าตอนต้องเข้าฟื้นฟูกิจการ แต่ระยะกลาง-ยาวก็ขึ้นกับภาวะแนวโน้มธุรกิจ และการประเมินมูลค่าหุ้น
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO10074