WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASPบล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

กลยุทธ์การลงทุน

  ดัชนียังอยู่ในช่วงการปรับฐาน แต่เหนือ 1700 จุด มาจากหุ้นกลุ่มน้ำมัน ตามการปรับฐานราคาน้ำมันโลก ขณะที่วัฏจักรดอกเบี้ยโลกเข้าสู่ขาขึ้นชัดเจน เป็นบวกต่อ Spread ธนาคารพาณิชย์ไทย และความคืบหน้างานก่อสร้างภาครัฐหลายโครงการที่จะเปิด TOR ดีต่อหุ้นรับเหมาก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้าง กลยุทธ์การลงทุนเน้น Domestic Play Top picks SCC(FV@B>600), BBL(FV@B>220) และ KBANK(FV@227)    

ย้อนรอยหุ้นไทยวานนี้... SET index แกว่งแคบ หุ้นค้าปลีกฉุด พลังงานหนุน

  วานนี้ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ก่อนจะปิดที่ 1,721.29 จุด เพิ่มขึ้น 1.47 จุด (+0.09%) ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.34 หมื่นล้านบาท นำโดย หุ้นกลุ่มค้าปลีกปรับลดทุกแห่งคือ CPALL HMPRO BJC และ BEAUTY นอกจากระดับ PER ที่ค่อนข้างสูง ตรงข้ามกับหุ้นกลุ่มพลังงาน PTT(+0.49%) PTTEP(+1.87%) กลุ่ม ICT อย่าง ADVANC DTAC และหุ้นขนส่ง AOT ปิดบวกช่วยประคองตลาด แม้ IATA ประกาศปรับคาดการณ์กำไรอุตสาหกรรมการบินทั่วโลกปี 2561 ลง ซึ่งเป็น sentiment ลบต่อกลุ่มการบิน รวมถึง AOT ที่จะถูกจำกัดการเติบโตไปด้วย

  คาดดัชนีหุ้นไทยวันนี้...ยังปรับฐานตามทิศทางราคาน้ำมัน วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นในเอเซีย หนุนให้ชะลอการอ่อนค่าของเงินเอเชีย และเข้าสู่บอลโลก กลุ่มทีวี ได้รัผลกระทบในช่วงค่ำถึงดึก เพราะเม็ดเงินโฆษณาจะชะลอตัว อย่างน้อย 1 เดือนข้างหน้า

เงินเฟ้อกดดันธนาคารกลางทั่วโลกขึ้นดอกเบี้ย ติดตามอินเดียประชุมวันนี้

  แนวโน้มดอกเบี้ยโลก เข้าสู่วัฏจักรขาขึ้นชัดเจน โดยสหรัฐเป็นผู้นำในฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว เนื่องจาก หลังดัชนีชี้นำเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง คือ อัตราการว่างงานในเดียวกัน ลดลงเหลือ 3.8% (ต่ำสุดในรอบ 18 ปี)   ทำให้คาดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25%ในการประชุมรอบนี้ 12-13 มิ.ย. และขึ้นอีกอย่างน้อย 1 ครั้งภายในปีนี้ ทำให้ดอกเบี้ย ณ สิ้นปี 2561 อยู่ที่ราว 2.25%  

  เช่นเดียวกับประเทศในแถบเอเชีย มีหลายประเทศที่เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย คือ มาเลเซีย ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ที่ 3.25% ในช่วงต้นปี (ครั้งแรกในรอบ 4 ปี) ตามมาด้วยฟิลิปปินส์ได้ขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 ปี 0.25% เป็น 3.25% ไปเมื่อกลางเดือน พ.ค. และอินโดนีเซียที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายติดต่อกัน 2 ครั้ง ภายในเดือน พ.ค. รวม 0.5% เป็น 4.5% (ครั้งแรกในรอบ 4 ปี)  

  วันนี้ ที่ประชุมธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ตลาดคาดโอกาสขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปีราว 0.25% ในรอบนี้ด้วยโอกาส 40% จากผลสำรวจของนักเศรษฐศาสตร์ทั้งหมด 60 คน และ โอกาสจะปรับขึ้นมากที่สุด คือ รอบ ส.ค. ราว 70% จากผลสำรวจของนักเศรษฐศาสตร์ทั้งหมด 44 คน เนื่องจากเงินเฟ้อ ล่าสุด เดือน เม.ย. เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 4.6% จาก 1.5%ในเดือน มิ.ย.2560

  และไทย เงินเฟ้อเดือน พ.ค. ที่พุ่งขึ้นมากกว่าคาดอยู่ที่ 1.49% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งขึ้นแตะ 2% ในช่วง 2H61 น่าจะกดดันให้ กนง. ขึ้นดอกเบี้ยฯ 0.25% ภายในปีนี้

เม็ดเงินโฆษณากระจุกตัวช่องถ่ายบอลโลก กดดันหุ้นกลุ่มบันเทิง

  ยิ่งใกล้ช่วงถ่ายทอดบอลโลกระหว่าง 14 มิ.ย. – 15 ก.ค. 2561 หุ้นบันเทิงย่อมได้รับผลกระทบเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ เนื่องจากช่องทีวีที่ได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดบอลโลกมี 3 ช่องคือ ช่อง Amarin TV, TRUE4และ ช่อง 5 โดยพันธมิตร 9 ราย ผู้ให้การสนับสนุนการเงินในการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดบอลโลกเท่านั้นที่จะมีสิทธิลงโฆษณาใน 3 ช่องนี้ ทั้งนี้ผู้สนับสนุนหลัก 3 กลุ่มคือ

  1. กลุ่มแรก สนับสนุนการเงินรายละ 200 ล้านบาทได้แก่ คิงเพาเวอร์ กลุ่มซีพี กลุ่มไทยเบฟเวอเรจ บีทีเอส กัลฟ์ เอ็นเนอร์จีน และ ธนาคารกสิกรไทย

  2. กลุ่มสอง สนับสนุนการเงินรายละ 100 ล้านบาทได้แก่ พีทีทีโกลบอล เคมิคอย และ

  3. กลุ่มสอง สนับสนุนการเงินรายละ 50 ล้านบาท บางจาก และ คาราบาวแดง

  อย่างไรก็ตามช่องทีวีอื่นๆ คาดว่าเวลาการขายโฆษณาน่าจะลดลง เพราะผลกระทบที่ผู้ชมส่วนใหญ่น่าจะให้น้ำหนักการชมบอลโลก ในช่วงเย็นจนถึงดึก (19.00 – 01.00 น.) มากกว่าการดูละคร หรือ เกมโชว์ ซึ่งสามารถไปหาดูได้ในเวลาอื่นๆ ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น Over-the-Top (Youtube, Mello.me ของช่อง 3 หรือ Bugaboo ของช่อง 7) ขณะที่สินค้าอื่น ๆ ที่ไม่ได้เข้าร่วมเป็นผู้สนับสนุน ก็ไม่สามารถนำสิทธิ์การแข่งขัน หรือแม้แต่ logo ไปใช้ไม่ได้ จึงมีข้อจำกัดในการซื้อโฆษณาและการทำการตลาด ส่งผลให้เอเจนซี่แต่ละรายอาจชะลอการลงโฆษณา ทำให้เม็ดเงินโฆษณาทีวีดิจิทัลหดหายไปในช่วงเทศกาลฟุตบอลโลกตลอด 1 เดือนนี้

  อย่างไรก็ตามในช่วงบอลโลกปี 2557 พบว่าเม็ดเงินโฆษณาในช่วงเดือน มิ.ย. – ก.ค. ปี 2557 เพิ่มขึ้นราว 3.7% mom (จาก 9.711 พันล้านบาท เป็น 10.08 พันล้านบาท) เทียบกับช่วงไม่มีบอลโลก ทั้งก่อนและหลังปี 2557 พบว่าเม็ดเงินโฆษณาในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค. ทรงตัว หรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น

  ด้วยเหตุนี้จึงยังให้น้ำหนักหุ้นบันเทิงน้อยกว่าตลาด และยังแนะนำขาย WORK, BEC ขณะที่ RS (FV@B>36) แม้จะได้รับผลกระทบบ้างแต่น่าจะจำกัด เพราะรายได้หลักของธุรกิจหลักกว่า 80% มาจากธุรกิจความงาม จึงแนะนำ ซื้อ เมื่อราคาอ่อนตัว

แรงขายหุ้นในภูมิภาคเริ่มเบาลง รวมทั้งไทย  

  แรงขายต่างชาติในตลาดหุ้นภูมิภาคเริ่มเบาลงอย่างเห็นได้ชัด และวานนี้ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคเป็นวันที่ 3 ด้วยมูลค่า 219 ล้านเหรียญ แม้เป็นการซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไต้หวันเพียงแห่งเดียว 220 ล้านเหรียญ แต่แรงขายในตลาดหุ้นที่เหลือเบาลงมาก เริ่มจากเกาหลีใต้ถูกขายสุทธิ 32 ล้านเหรียญ (หลังซื้อสุทธิ 2 วัน)ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 11 ล้านเหรียญฟิลิปปินส์ 5 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 14) และไทยที่ต่างชาติสลับมาขายสุทธิเล็กน้อย 3 ล้านเหรียญ หรือ 101 ล้านบาท ต่างกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิ 2.45 พันล้านบาท

ส่วนทางด้านตราสารหนี้ ต่างชาติยังเดินหน้าซื้อสุทธิอีก 8.13 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 7 มีมูลค่ารวม 3.20 หมื่นล้านบาท) เช่นเดียวกับสถาบันฯที่ซื้อสุทธิ 6.96 พันล้านบาท

กลยุทธ์ให้น้ำหนักหุ้น 40% เน้นหุ้น BBL, KBANK, SCC

  ตลาดยังมีโอกาสปรับฐานต่อ ผลจากราคาน้ำมันโลกปรับตัวลดลง รวมถึงความกังวลปัจจัยต่างประเทศที่ยังไม่ชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัว และกนง. ที่เริ่มส่งสัญญาณการกลับมาใช้นโยบายการเงินตึงตัว จะช่วยชะลอแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ หรือ Fund flow ไหลออกในอัตราที่ลดลง

  มองว่าระดับ SET index ที่ใกล้ 1,700 จุด ด้วย Expected P/E ราว 15.5 เท่า ทำให้มี upside ราว 6% (เทียบดัชนีเป้าหมาย P/E 16.5 เท่า ที่ 1815 จุด) ถือเป็นโอกาสดีในการเข้าลงทุน โดยกลยุทธ์ลงทุนยังคงเน้นไปในหุ้น Domestic Play ที่ยัง underperform ตลาด 3 กลุ่ม คือ

  กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่จะได้รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมาชดเชยผลกระทบรายได้ค่าธรรมเนียม จากเศรษฐกิจที่เติบโตดีกว่าคาดส่งผลบวกต่อการเติบโตของสินเชื่อปีนี้ รวมทั้งแนวโน้มเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นจนอาจแตะ 2% ช่วงเดือน ก.ย. ทำให้ความเป็นไปได้ที่จะเห็นการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายช่วง 4Q61 ส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่ม ธ.พ.

  กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และ รับเหมาก่อสร้าง ที่ได้ sentiment เชิงบวกจากความคืบหน้างานประมูลภาครัฐ โดยเฉพาะทางด่วนดาวคะนอง-พระราม 3 ที่น่าจะเปิดประมูลในเดือน มิ.ย. นี้ ส่วนโครงการอื่นๆ จะทยอยตามมาในครึ่งปีหลัง ทำให้ทั้ง 2 กลุ่มฯ นี้ เริ่มกลับมาเป็นที่น่าสนใจอีกครั้ง

  เลือกกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (CK, ITD) วัสดุก่อสร้าง (SCC) และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BBL, KBANK, TCAP) และยังชอบหุ้น Laggard ในกลุ่มพลังงาน   BANPU(FV@B>25.6) ราคาหุ้นยัง laggard เมื่อ เทียบกับหุ้นน้ำมันที่ราคาหุ้นเกินมูลค่าพื้นฐานปี 2561 ทั้ง PTT, PTTEP อีกทั้งปัจจัยบวกระยะสั้นจากราคาถ่านหินที่ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง (ค่าเฉลี่ยราคาถ่านหินตั้งแต่ต้นปี 2561-YTD เพิ่มขึ้นราว 14.3%yoy)    

ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132

พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647

ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365

ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636

โยธิน ภูคงนิล ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ

เจิดจรัส แก้วเกื้อ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์

OO9637

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!