- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 30 May 2018 19:49
- Hits: 1063
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ >> Laggard and Defensive Play
ตลาดหุ้นวานนี้ : ดัชนีหุ้นไทยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาแกว่งตัวในแดนลบทั้งวัน แต่ระหว่างวันไม่ลงไปทำ New Low แรงขายหลักอยู่ในหุ้นกลุ่มน้ำมันโดยหุ้นทั้ง 3 ตัว (PTT, PTTEP, PTTGC) ที่ปรับลงคิดเป็นการลดลงของดัชนี 10 จุด ในขณะที่กลุ่มธนาคารฯมีสัญญาณที่ดีขึ้น นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิในตลาดหุ้นต่อเนื่องอีก 2.88 พันลบ. (และ Short ใน Index Futures เพิ่มมากขึ้นเป็น 3.4 พันสัญญา) ขณะที่สถาบันในประเทศซื้อต่อเนื่อง 1.71 พันลบ.
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET Index จะปรับตัวลงทดสอบจุต่ำเดิมบริเวณ 1,725 จุดอีกครั้งจากสถานการณ์การเมืองในสเปนและโดยเฉพาะอิตาลีที่ไม่แน่นอน ทำให้ตลาดกังวลว่าอาจนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ก้อนใหญ่ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับลงต่อเนื่องอีก 1.7% ทำให้กลุ่มพลังงานน่าจะยังเผชิญกับแรงขาย ส่วนปัจจัยสำคัญในประเทศวันนี้ต้องจับตาการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเรื่องกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. เราคาดว่าหุ้นที่ในกลุ่ม Defensive และ Laggard น่าจะเคลื่อนไหวได้แข็งกว่าตลาดโดยเฉพาะที่อิงเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก
กลยุทธ์ : เก็งกำไรหุ้น Laggard และ Defensive
หุ้นเด่นเดือน พ.ค. : BEM, CHG, EA, SC, THANI
Fund Flow สองวันที่ผ่านมากระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$506 เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากเกาหลีใต้ US$294ล้าน ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลออก US$90ล้าน ขณะที่ไหลเข้าอินโดนีเซีย US$37ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาค จากความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองอิตาลีและสเปน
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> AMATA <<
แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 30 บาท
กลุ่มนิคมมีภาพการเติบโตที่ชัดเจนมากขึ้น หลัง พรบ. EEC มีผลบังคับใช้ ทำให้ยอดขายที่ดินทั้งปีนี้ของ AMATA น่าจะทะลุเป้าที่ 925 ไร่ได้ไม่ยาก และคาดว่าจะเร่งตัวขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ตามมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมในด้านโลจิสติกส์ของภาครัฐฯ
ความเสี่ยงต่ำ โดย PE2018-19 อยู่ที่ 12-14 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังที่ 16 เท่า และกำไรที่ทำได้ในแต่ละปีมีธุรกิจสาธารณูปโภคช่วยจำกัด Downside อยู่ราว 35% ของกำไรรวม
NVDR ซื้อสุทธิใน พ.ค. 18 มากถึง 240 ลบ. ทำให้ยอด YTD พลิกจากขายเป็นซื้อ 98 ลบ.
ประเด็นสำคัญวันนี้
(-) ความกังวลในยุโรปเป็นประเด็นกดดันเพิ่ม เริ่มจากอิตาลีที่มูดีส์มีแนวโน้มปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือหากรัฐบาลใหม่ไม่สามารถรัดเข็มขัดเพื่อลดหนี้สาธารณะอย่างยั่งยืนได้ และสเปนที่มีความกังวลด้านการเมือง โดยจะมีการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจคืนวันศุกร์นี้ ซึ่งแม้ทั้ง 2 ประเด็นจะเป็นปัจจัยเฉพาะตัว แต่ถ้ายืดเยื้อจะกระทบทั้งยูโรโซน จึงถือเป็นความกังวลใหม่ที่กดดันสินทรัพย์เสี่ยง กระแสเงินไหลเข้าหาดอลล่าร์สหรัฐฯ และเงินสกุลเยนที่ได้ชื่อว่าเป็น Safe Haven เงินทุนต่างชาติจึงยังไม่น่าไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยในเร็ววันนี้
(0) ผู้ผ่านคุณสมบัติแหล่งสำรวจปิโตรเลียม กรมเชื้อเพลิงพลังงานประกาศผู้ผ่านคุณสมบัติแหล่งสำรวจปิโตรเลียมบงกช (4 ราย) และเอราวัณ (5 ราย) ซึ่งมีรายสำคัญทั้ง Chevron และ PTTEP โดยหลังจากนี้จะให้เวลาศึกษาข้อมูลผ่าน Data Room เพื่อนำเสนอข้อมูลทางเทคนิคและสิทธิประโยชน์ให้กับภาครัฐฯในวันที่ 25 ก.ย. 18 และคาดว่าจะประกาศผู้ชนะได้ในปลาย พ.ย. 18 ก่อนจะเซ็นสัญญาใน ก.พ. 19 ต่อไป
(0) MTC ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงเมื่อวันศุกร์ยังมาจากประเด็น พรบ. Non-Bank ซึ่งเป็นมุมมองของผู้บริหาร SAWAD ที่คาดว่าจะมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ย 15% รวมค่าธรรมเนียม (15% all-in) เราคาดว่มีความเป็นไปได้น้อย โดยแนวทางเบื้องต้นน่าจะมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ราว 15%+ค่าธรรมเนียมอื่นๆ ซึ่งปัจจุบัน MTC เรียกเก็บที่ 15%+8% (ส่วน SAWAD ที่ปล่อยเงินกู้ในนาม BFIT เรียกเก็บที่ 24%+4% (แต่ SAWAD อ้างว่า SAWAD ไม่ได้อยู่ใต้พรบ.Non-Bank) เห็นได้ชัดว่าตลาดมีความอ่อนไหวมากต่อกฏหมาย Non-Bank จนกว่าจะมีความชัดเจน ทำให้ไม่มีปัจจัยใดที่จะกระตุ้น MTC ได้นอกจากผลประกอบการ ซึ่งเรามองว่าจะทำจุดสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่อง เราคงคำแนะนำซื้อ และคงราคาเหมาะสมที่ 51 บาท
(0) EPG กำไรปกติ 4Q18 (ม.ค.-มี.ค. 2018) ที่ 273 ล้านบาท สะท้อนการฟื้นตัวอย่างช้าๆ ตามคาด +37% Q-Q แต่ยัง -9% Y-Y จากการฟื้นตัวในทุกธุรกิจทั้งรายได้และการคุมต้นทุนการผลิตที่ดีขึ้น แต่ยังมีรายจ่ายขายและบริหารที่สูงต่อเนื่อง ไม่เช่นนั้นกำไรในไตรมาสนี้จะกลับมายืนเหนือระดับ 300 ล้านบาทต่อไตรมาสได้ สำหรับภาพทั้งปี 2018 (สิ้นสุด มี.ค. 2018) ต้นทุนและรายจ่ายที่สูงกว่าปกติ บวกกับขาดทุน FX ทำให้กำไรสุทธิ -28% Y-Y เหลือ 991 ล้านบาท เราคงประมาณการกำไรปี 2019 (สิ้นสุด มี.ค. 2019) ฟื้น 26% Y-Y เป็น 1.25 พันล้านบาทจากการคุมต้นทุนและรายจ่ายที่ดีขึ้น คงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้ามาย 12 บาท
(0) BEAUTY ราคาหุ้นเริ่มฟื้นตัวกลับหลังจากที่ทรุดตัวหนักตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เรายังกังวลกับอัตราการเติบโตที่ชะลอ สังเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เร่งตัวขึ้น (BEAUTY ไม่เคยมีปัญหานี้) ซึ่งสะท้อนภาพการแข่งขันที่เริ่มรุนแรง ขณะที่ การขยายตลาดไปต่างประเทศยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก โดยถ้าหากกำไร 2Q18 ทำได้ไม่เกิน 300 ลบ. คาดว่าตลาดจะปรับประมาณการกำไรทั้งปีที่คาด 1.5-1.6 พันลบ.ลง (เฉลี่ย 380-400 ลบ. ต่อไตรมาส) เรากำลังอยู่ในช่วงทบทวนประมาณการ (เราคาด 1,568 ลบ. +28% Y-Y ชะลอจากปี 2017 ที่ +87% Y-Y) และราคาเป้าหมายที่ให้ไว้ 20.5 บาท แม้ราคาหุ้นจะปรับลงจนเปิด Upside ให้ซื้อ แต่เรายังแนะนำให้ชะลอการลงทุนเพื่อรอผลประกอบการ 2Q18 ก่อน
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
30 พ.ค.- ไทย: ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา กม. ลูก ส.ส.
- สหรัฐฯ: 1Q18 GDP ครั้งที่ 2
31 พ.ค.- ยูโรโซน: อัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงาน (พ.ค.)
- MSCI Index Review
1 มิ.ย. - สหรัฐฯ: ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร (พ.ค.)
5 มิ.ย.- จีน: Caixin PMI ภาคการผลิต (พ.ค.)
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงหลังประเด็นสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนถูกปธ.ทรัมป์นำกลับขึ้นมาพูดอีกครั้ง
(-) ตลาดหุ้นยุโรปได้ปรับตัวลงจากความกังวลทางการเมืองในประเทศอิตาลี ซึ่งอาจนำไปสู่การออกจากสหภาพ EU รวมไปถึงการเจรจาเรื่อง BREXIT ที่มีทีท่าว่าจะรุนแรงขึ้น
(-) Sentiment เชิงลบจากสหรัฐและยุโรป ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ ในขณะที่นักลงทุนยังคงต้องติดตามตัวเลขพันธบัตรของอิตาลีที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
() ค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบบริเวณ 32.10-32.20 บาท/ดอลลาร์
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ก.ค. ปรับตัวลดลง มาอยู่บริเวณ 66.84 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยระหว่างวันมีแรงเทขายออกมา จากความกังวลเรื่องการยกเลิกข้อตกลงลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC ในเดือนหน้า
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. ทรงตัวอยู่ที่ 1,300.70 ดอลลาร์/ออนซ์
Contact person : Jitra Amornthum Register : 014530
Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com
FB : FINNANSIA SYRUS SECURITIES LINE : @fnsyrus
OO9384