- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 22 May 2018 16:58
- Hits: 1471
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“น้ำมันขึ้นต่อ เก็งทรัมป์คว่ำบาตรเวเนฯ”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : SAWAD (จากซื้อเป็นถือ)
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ทะยาน 14.14 จุด ปิดที่ 1768.31 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านมีความผันผวน ทั้งบวกและลบ มูลค่าซื้อขายปานกลางที่ 47.2 พันล้านบาท ดัชนีฯได้รับแรงเสริมจากปัจจัยต่างประเทศคือ ยุติสงครามการค้าสหรัฐและจีน เมื่อจีนยอมซื้อสินค้าสหัฐมากขึ้น และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐทยอยปรับลดลง วานนี้กลุ่มธนาคารเด่น มีการฟื้นตัวของราคา นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิต่อ 2.2 พันลบ. และรายย่อย 2.8 พันลบ. ด้านผู้ซื้อสุทธิคือ สถาบัน 4.6 พันลบ.และบัญชีหลักทรัพย์ 0.4 พันลบ.
แนวโน้มและกลยุทธ์– ปัจจัยต่างประเทศ ประเด็นใหม่คือ สหรัฐอาจคว่ำบาตรเวเนฯ เพราะไม่รับผลการเลือกตั้ง อาจทำให้น้ำมันยิ่งดีดตัวแรง เป็นบวกกับหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรฯ ปัจจัยบวกเดิมคือ การยุติสงครามการค้าสหรัฐและจีน เมื่อจีนยอมซื้อสินค้าสหัฐมากขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐทยอยปรับลดลง บาทแข็งค่าขึ้น สถานการณ์ในประเทศระยะนี้ ปัจจัยบวกเป็นเรื่องสภาพัฒน์ประกาศ GDP 1Q61 สูงเกินคาด คาดว่าดัชนีฯมีโอกาสปรับขึ้นต่อได้จากปัจจัยต่างประเทศที่คลี่คลายลงบ้าง แต่สลับกับแรงขายทำกำไร ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ sideways ส่วนระยะกลาง-ยาวยังต้องติดตามเรื่องการกีดกันทางการค้าที่ไม่แน่นอน ได้รับปัจจัยลบจาก MSCI ถ่วงน้ำหนักไทยลดลงมีผล 31 พ.ค.61 อีกทั้งค่าเงินบาทมีความผันผวนเทียบกับดอลลาร์มาก ส่วนการเมืองไทยยังไม่มีอะไรมากระทบเป็นนัยสำคัญ หากเลือกตั้งได้ ก.พ.62 ตามโรดแม็ปจะเป็นบวก กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ มีแรงกระตุ้น (Catalyst) เฉพาะตัว ตามบทวิเคราะห์ DBS ได้ นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้น ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย เพือล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบที่ขยับขึ้นเป็น 1740-1790 จุด
Update หุ้นเด่น : VGI – วันพุธนี้บริษัทจะมีงาน “Pioneering Solutions for Tomorrow” ซึ่งเราคาดว่าจะทำให้นักวิเคราะห์และผู้ลงทุนเข้าใจถึงจุดแข็งของบริษัทในการเป็นผู้นำการให้บริการโฆษณาสื่อนอกบ้านครบวงจรซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตสูง ตามไลฟสไตล์คนรุ่นใหม่ ปัจจุบันมีส่วนครองตลาดถึง 50% พัฒนาตนเองจนสามารถให้บริการสื่อออนไลน์และออฟไลน์ หรือ O2O เป็นรายแรก ล่าสุดสิ้นสุด มี.ค. 61 ทำได้รายได้สูงสุดตั้งแต่ตั้งบริษัทมาเป็น 3,936 ล้านบาท คาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรปี 62 และ 63 สดใสโต +31%/+18% ตามลำดับ y-o-y ราคาพื้นฐานให้ไว้เป็น 8.66 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 62-63 ที่ 50 เท่า ที่ให้ Forward P/E สูง เพราะสมควรได้รับส่วนเพิ่ม (Premium) ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เหมือนเป็นบวกเล็กๆ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนแล้วจึงปรับลง เพราะระยะกลางมีสภาวะ Overbought & Divergence ยังคอยกดดัน ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1775-1780, 1790 โดยมีแนวรับ 1740-1730
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น TMB, SEAFCO, MBK, KCE, BJC, SNC, GLOBAL, MACO ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ PTT, EGCO, SAT, TAPAC, IVL หุ้นที่หลุด-ไม่มี- และที่ให้หาจังหวะTake profit เป็น VGI, TOA, BPP, BTS
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+/- น้ำมันขึ้นแรง กังวลสหรัฐจะคว่ำบาตรเวเนฯหรือไม่
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 96 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 72.24 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย. 2557 และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 71 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 79.22 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 ปีเมื่อคืนนี้ (21 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า การผลิตน้ำมันในเวเนซุเอลามีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบ หากรัฐบาลสหรัฐตัดสินใจคว่ำบาตรอุตสาหกรรมน้ำมันของเวเนเซุเอลา หลังจากที่คณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งซึ่งระบุว่านายนิโคลัส มาดูโร ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเวเนซุเอลา
•/- เปิดเผยรายงานประชุมเฟด 1-2 พ.ค.ในวันพุธนี้
# นักลงทุนจับตาการเปิดเผยรายงานการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ประจำวันที่ 1-2 พ.ค. ในวันพุธนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในปีนี้
+ สหรัฐประกาศเจรจาการค้ากับจีนคืบหน้า จะไม่ทำสงครามการค้า
# การเปิดเผยของนายมนูชินรัฐมนตรีคลังสหรัฐมีขึ้นหลังจากที่จีนและสหรัฐได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันเกี่ยวกับผลการเจรจาหารือด้านเศรษฐกิจและการค้าเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ทำสงครามการค้าระหว่างวัน และยังได้ตกลงที่จะบังคับใช้มาตรการต่างๆ เพื่อลดยอดขาดดุลการค้าที่สหรัฐมีต่อจีน
+/- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐทยอยปรับลง แต่ดอลลาร์ยังแข็งค่า ส่วนบาทเช้านี้แข็งค่าขึ้น
# อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ลดลงอีกสู่ระดับ 3.0569% หลังไปทำยอดสูงสุดใหม่เมื่อวันพุธสัปดาห์ที่แล้วเกิน 3.1% ที่ 3.1048%
# ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (21 พ.ค.) หลังจากสหรัฐและจีนได้ตกลงที่จะระงับการทำสงครามการค้าเป็นการชั่วคราว โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนซึ่งเป็นสองชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก
# เช้านี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยที่ 32.1080 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แม้แนวโน้มใหญ่เป็นลักษณะอ่อนค่า
• ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสัปดาห์นี้
# ข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่นักลงทุนให้ความสนใจในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนพ.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเบื้องต้นเดือนพ.ค.จากมาร์กิต, ยอดขายบ้านใหม่เดือนเม.ย., สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาบ้านเดือนมี.ค., ยอดขายบ้านมือสองเดือนเม.ย., ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนเม.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นสุดท้ายเดือนพ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์สหรัฐพุ่ง สะท้อนปัจจัยบวกเรื่องยุติสงครามการค้า สหรัฐ-จีน
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,013.29 จุด พุ่งขึ้น 298.20 จุด หรือ +1.21% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,733.01 จุด เพิ่มขึ้น 20.04 จุด หรือ +0.74% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,394.04 จุด เพิ่มขึ้น 39.70 จุด หรือ +0.54%
# ดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้นเกือบ 300 จุดเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากทั้งสองประเทศได้ตกลงที่จะระงับการทำสงครามการค้าเป็นการชั่วคราว โดยปัจจัยบวกดังกล่าวได้ช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดดีดตัวขึ้นมายืนเหนือระดับ 25,000 จุดได้อีกครั้ง นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมยังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กเช่นกัน
# ดาวโจนส์ล่วงหน้าปรับขึ้นดี เวลาไทย 8:09 น. +283 จุด สะท้อนข่าวบวกเรื่องการเจรจากการค้าสหรัฐ-จีน
• ภาวะตลาดทองคำ : ปรับลง เก็งกำไรดอลลาร์
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 40 เซนต์ หรือ 0.03% ปิดที่ 1,290.90 ดอลลาร์/ออนซ์
# ราคาทองคำลด เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้ส่งผลให้สัญญาทองคำมีความน่าดึงดูดน้อยลงนอกจากนี้ นักลงทุนยังเทขายทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าหลังจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นออย่างแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+ สภาพัฒน์ปรับคาดการณ์ GDP ขึ้นเป็น โต 4.2%-4.7%
# หลัง GDP ไตรมาส 1 อยู่ที่ 4.8% สูงกว่าที่ตลาดคาดที่ 4.0%
# และถือว่าสูงสุดในรอบ 5 ปี โดยยังได้แรงหนุนจากการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวในระดับสูง ขณะที่การใช้จ่ายครัวเรือนเริ่มเห็นสัญญาณการเติบโตที่ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า นอกจากนี้ผลผลิตภาคเกษตรที่ขยายตัวเร่งขึ้นอย่างมากก็เป็นตัวหนุน GDP ที่สำคัญในไตรมาสนี้ ท่ามกลางการส่งออกที่คาดว่าจะเติบโตได้ในระดับสูงต่อเนื่องทั้งปีนี้ประกอบกับค่าเงินบาทที่เริ่มกลับมาอ่อนค่าตั้งแต่ในช่วงเดือน เม.ย.61 น่าจะช่วยทำให้การส่งออกสินค้าในช่วงที่เหลือของปีเมื่อคิดเป็นเงินบาทกลับมาหนุนการเติบโตของ GDP ได้ในไตรมาสต่อๆ ไป (ศูนย์วิจัยกสิกรฯ)
+/- ราคาน้ำมันที่เร่งตัวขึ้น ส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปืโตรฯ แต่อาจกลับส่งผลลบในอนาคต
# ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นแม้จะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี เพราะคาดว่าผลการดำเนินงานจะดีขึ้น
# แต่ต้องติดตามราคาน้ำมัน หากยังปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องก็จะกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ (Cost Push Inflation) ก็จะผลักดันให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก เพื่อลดเงินเฟ้อ รวมทั้งกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนได้
# เป็นปัจจัยลบกับหุ้นกลุ่มที่ใช้น้ำมันเป็นต้นทุน เช่น TASCO และ EPG จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น แล้วแต่ว่าจะผลักภาะให้ลูกค้าได้แค่ไหน เช่นเดียวกับกลุ่มขนส่งที่จะมีต้นทุนพลังงานมากขึ้น ที่เห็นชัดคือ สายการบิน เช่น THAI, NOK, AAV และ BA เป็นต้น และกลุ่มเดินเรือ เช่น TTA, PSL และ RCL ซึ่งระยะหลังดัชนีเรือเทกอง (Baltic Dry Index) ก็ปรับลงต่อเนื่อง
• ปัจจัยการเมือง: คาดว่ายังไม่มีอะไรรุนแรง
# ช่วงนี้มีข่าว การชุมนุมของกลุ่มอยากเลือกตั้ง พบว่าจำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุมนั้นไม่มาก
# ตำรวจปล่อยตัว 8 แกนนำเพื่อไทย หลังเข้ารับทราบข้อกล่าวหาแถลงข่าววิจารณ์ คสช.
# ติดตามพิจารณากฎหมายลูกเกี่ยวกับที่มา สส. และ สว. ปลายเดือนนี้ที่จะมีผลกับกำหนดการเลือกตั้ง
-/+ CENTEL: เข้าสู่ Low Season – ยอดขายร้านอาหารยังชะลอ
# เป็นปกติ หากเทียบกับ q-o-q ย่อมต้องชะลอ แต่หากเทียบกับ y-o-y ที่ไม่มีปัจจัยฤดูกาลมาเกี่ยว ก็คาดว่าจะดีขึ้น
# คาดว่าธุรกิจโรงแรมที่มัลดีฟส์และไทยแข็งแกร่ง ขณะที่เห็นผลการควบคุมต้นทุนในธุรกิจอาหาร จะยังช่วยให้ธุรกิจเติบโตดี
# คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน 57.00 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 25% ด้านคาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรปีนี้และปีหน้าสดใสเป็น 14%/21% ตามลำดับ
-/+ สัปดาห์นี้ครบกำหนดจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทีวีดิจิตัล แต่ภาครัฐยังไม่ประกาศมาตรการช่วยเหลือ
# จากก่อนหน้าที่หลักทรัพย์กลุ่มนี้ ได้แก่ BEC, RS, WORK, MCOT, MONO รับข่าวดีไปส่วนหนึ่งแล้ว ในเรื่องมาตรการช่วยเหลือ ทั้งพักค่าธรรมเนียมใบอนุญาต 3 ปี และช่วยเหลือค่าใช้จ่ายโครงข่ายไปอีก 2 ปี จึงยังต้องติดตาม ว่าในที่สุดจะมีมาตรา 44 ออกมาหรือไม่ หากกลายเป็นว่าไม่มีหรือล่าช้า ก็อาจส่งผลลบต่อหลักทรัพย์หมวดนี้ได้ แต่ในทางกลับกันถ้ามีก็จะเป็นบวกได้ ด้านหลักทรัพย์ที่มีส่วนได้เสียมาก คือ BEC มีมากที่สุด 3 ช่อง และ MCOT 2 ช่อง
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO9104