- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 21 May 2018 16:50
- Hits: 666
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
แม้ความกังวลสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนผ่อนคลาย แต่สถานการณ์การเมืองในประเทศ กลับมาเป็นปัจจัยสร้างแรงกดดันต่อตลาด อีกทั้ง Fund Flow ยังไหลออกต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามอาจมีปัจจัยบวก GDP Growth งวด 1Q61 เข้ามาหนุน คาด SET Index วันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 1744-1765 จุด แนะนำหุ้น laggards และราคาหุ้นยังมี upside เลือก BANPU ([email protected]) และ CK(FV@B34) เป็น Top picks
ย้อนรอยหุ้นไทยวันศุกร์…..ซื้อกลุ่มสื่อสารฯ ประคองตลาดปิดบวก
ศุกร์ที่ผ่านมา SET Index เคลื่อนไหวในแดนบวกสลับแดนลบตลอดวัน ก่อนจะปิดที่ระดับ 1,754.17 จุด เพิ่มขึ้น 2.97 จุด (+0.17%) มูลค่าการซื้อขาย 6.02 หมื่นล้านบาท ดัชนีฯ ได้แรงหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่ม ICT เป็นหลักโดยโดยเฉพาะหุ้น TRUE (+5.88%) มีแรงซื้อเก็งกำไรระยะสั้นเข้ามา หลังบริษัทฯ แจ้งข่าวไม่เข้าร่วมประมูลคลื่น 1800 MHz เนื่องจากมีคลื่นในมือเพียงพอแล้ว ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงาน (PTT PTTEP PTTGC) ย่อตัวลง เช่นเดียวกับหุ้นขนาดใหญ่ของตลาดที่ปรับตัวลดลง (AOT SCC CPALL)
คาดว่าวันนี้ SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1744-1765 จุด ประเด็นวันนี้ให้น้ำหนักไปที่ข้อตกลงเบื้องต้นของการเจรจาการระหว่างสหรัฐ-จีน ซึ่งจีนจะนำเข้าสินค้าจากสหรัฐมากขึ้น รวมทั้งการรายงาน GDP Growth 1Q61 ของไทย อีกทั้งประเด็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองตลอดสัปดาห์นี้
กลยุทธ์การลงทุน
แม้ความกังวลสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนผ่อนคลาย แต่สถานการณ์การเมืองในประเทศ กลับมาเป็นปัจจัยสร้างแรงกดดันต่อตลาด อีกทั้ง Fund Flow ยังไหลออกต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามอาจมีปัจจัยบวก GDP Growth งวด 1Q61 เข้ามาหนุน คาด SET Index วันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 1744-1765 จุด แนะนำหุ้น laggards และราคาหุ้นยังมี upside เลือก BANPU ([email protected]) และ CK(FV@B34) เป็น Top picks
ย้อนรอยหุ้นไทยวันศุกร์…..ซื้อกลุ่มสื่อสารฯ ประคองตลาดปิดบวก
ศุกร์ที่ผ่านมา SET Index เคลื่อนไหวในแดนบวกสลับแดนลบตลอดวัน ก่อนจะปิดที่ระดับ 1,754.17 จุด เพิ่มขึ้น 2.97 จุด (+0.17%) มูลค่าการซื้อขาย 6.02 หมื่นล้านบาท ดัชนีฯ ได้แรงหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่ม ICT เป็นหลักโดยโดยเฉพาะหุ้น TRUE (+5.88%) มีแรงซื้อเก็งกำไรระยะสั้นเข้ามา หลังบริษัทฯ แจ้งข่าวไม่เข้าร่วมประมูลคลื่น 1800 MHz เนื่องจากมีคลื่นในมือเพียงพอแล้ว ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงาน (PTT PTTEP PTTGC) ย่อตัวลง เช่นเดียวกับหุ้นขนาดใหญ่ของตลาดที่ปรับตัวลดลง (AOT SCC CPALL)
คาดว่าวันนี้ SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1744-1765 จุด ประเด็นวันนี้ให้น้ำหนักไปที่ข้อตกลงเบื้องต้นของการเจรจาการระหว่างสหรัฐ-จีน ซึ่งจีนจะนำเข้าสินค้าจากสหรัฐมากขึ้น รวมทั้งการรายงาน GDP Growth 1Q61 ของไทย อีกทั้งประเด็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองตลอดสัปดาห์นี้
สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนผ่อนคลาย, สภาพัฒน์รายงาน GDP 1Q61 วันนี้
ประเด็นสงครามการค้ามีท่าทีผ่อนคลายลง หลังจากทางคณะผู้แทนจีนได้ไปเยือนสหรัฐเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว และได้ข้อสรุปคือ จีนได้เสนอจะเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ (แต่ไม่ได้ระบุจำนวนเงิน) โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและพลังงาน เพื่อลดการขาดดุลการค้าตามที่สหรัฐต้องการ (ปี 2560 จีนได้ดุลการค้าสหรัฐราว 3.75 แสนล้านเหรียญฯ ราว 47%ของขาดดุลการค้าทั้งหมดของสหรัฐ) และเปิดการลงทุนธุรกิจการเงิน ทำให้ฝั่งสหรัฐชะลอการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าต่อจีน 25% ชั่วคราว
อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามว่า จีนจะปฎิบัติตามได้มากน้อยเพียงใด โดยทางสหรัฐจะส่งคณะตรวจสอบเพื่อติดตามผล ทั้งนี้การทำประชาพิจารณ์ของผู้ประกอบการในสหรัฐยังไม่ได้ข้อสรุป โดยสรุปเชื่อว่าจะไม่รุนแรงกว่าที่คาด เชื่อว่าทั้ง 2 ฝั่งจะผ่อนปรนลงได้ เนื่องจากหากเดินหน้ากีดกันการค้ารุนแรงหรือขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า เชื่อว่าจะได้ทั้ง 2 ประเทศจะได้รับผลกระทบในวงกว้าง
ขณะที่ไทย วันนี้สภาพัฒน์รายงาน GDP Growth งวด1Q61 (ทราบผลราว 9.30 น.) ตลาดคาด 4%yoy เทียบกับ ASPS คาด 4.2% หลักๆ มาจากการลงทุนเอกชน เนื่องจากสัญญาณฟื้นตัว สะท้อนจากยอด BOI ปี 1Q61 เพิ่มขึ้น 247%yoy คิดเป็นราว 28.49% ของเป้า BOI ทั้งปี และการส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี และสัปดาห์นี้ กระทรวงพาณิชย์จะรายงานยอดส่งออก&นำเข้าเดือน เม.ย. ตลาดคาดส่งออกขยายตัว 11.25%yoy และการนำเข้าขยายตัว 13.35%yoy
ประเด็นสงครามการค้ามีท่าทีผ่อนคลายลง หลังจากทางคณะผู้แทนจีนได้ไปเยือนสหรัฐเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว และได้ข้อสรุปคือ จีนได้เสนอจะเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ (แต่ไม่ได้ระบุจำนวนเงิน) โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและพลังงาน เพื่อลดการขาดดุลการค้าตามที่สหรัฐต้องการ (ปี 2560 จีนได้ดุลการค้าสหรัฐราว 3.75 แสนล้านเหรียญฯ ราว 47%ของขาดดุลการค้าทั้งหมดของสหรัฐ) และเปิดการลงทุนธุรกิจการเงิน ทำให้ฝั่งสหรัฐชะลอการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าต่อจีน 25% ชั่วคราว
อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามว่า จีนจะปฎิบัติตามได้มากน้อยเพียงใด โดยทางสหรัฐจะส่งคณะตรวจสอบเพื่อติดตามผล ทั้งนี้การทำประชาพิจารณ์ของผู้ประกอบการในสหรัฐยังไม่ได้ข้อสรุป โดยสรุปเชื่อว่าจะไม่รุนแรงกว่าที่คาด เชื่อว่าทั้ง 2 ฝั่งจะผ่อนปรนลงได้ เนื่องจากหากเดินหน้ากีดกันการค้ารุนแรงหรือขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า เชื่อว่าจะได้ทั้ง 2 ประเทศจะได้รับผลกระทบในวงกว้าง
ขณะที่ไทย วันนี้สภาพัฒน์รายงาน GDP Growth งวด1Q61 (ทราบผลราว 9.30 น.) ตลาดคาด 4%yoy เทียบกับ ASPS คาด 4.2% หลักๆ มาจากการลงทุนเอกชน เนื่องจากสัญญาณฟื้นตัว สะท้อนจากยอด BOI ปี 1Q61 เพิ่มขึ้น 247%yoy คิดเป็นราว 28.49% ของเป้า BOI ทั้งปี และการส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี และสัปดาห์นี้ กระทรวงพาณิชย์จะรายงานยอดส่งออก&นำเข้าเดือน เม.ย. ตลาดคาดส่งออกขยายตัว 11.25%yoy และการนำเข้าขยายตัว 13.35%yoy
การเมืองร้อนแรง ติดตาม 3 ประเด็นที่มีผลต่อ SET Index
สัปดาห์นี้มีประเด็นสำคัญทางการเมือง 3 เรื่องที่ต้องติดตามในฐานะปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อทิศทางของ SET Index เริ่มจาก
- วันอังคารที่ 22 พ.ค.2561 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 4 ปีการทำรัฐประหาร กลุ่มคนอยากเลือกตั้งกำหนดจะเคลื่อนย้ายกลุ่มผู้ชุมนุมจาก ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ไปยังทำเนียบรัฐบาลขณะที่ คสช. แสดงท่าทีไม่ให้เคลื่อนย้ายกลุ่มผู้ชุมนุมดังกล่าวมาข้างต้น ประเด็นนี้จึงต้องติดตามพัฒนาการของเหตุการณ์ว่าจะมีความรุนแรงหรือไม่
- วันพุธที่ 23 พ.ค. 2561 ศาลรัฐธรรมนูญจะนัดฟังคำวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ (ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และ ที่มา สว.) ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยที่ผลของคำวินิจฉัยน่าจะทำให้เส้นทางไปสู่การจัดการเลือกตั้งมีความชัดเจนขึ้น ทั้งนี้กรณีที่ศาลเห็นว่าไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือต้องมีการแก้ไขเล็กน้อยในชั้นของ สนช. และสามารถนำขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ในเดือน มิ.ย.2561 ประเมินว่าการเลือกตั้งมีโอกาสเกิดได้ไม่เกิน เดือน พ.ค. 2562 (อยู่บนสมมุติฐานว่าในขั้นตอนของการนำขึ้นทูลเกล้าฯ จนถึงการประกาศในราชกิจจานุเบกษใช้เวลา 90 วัน + พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มีผลหลังลงประกาศ 90 วัน + การเลือกตั้งจัดภายใน 150 วันหลัง กฎหมายบังคับใช้) แต่หากต้องแก้ไขหลายส่วนและไม่สามารถดำเนินการในชั้นของ สนช. ได้ กำหนดการเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไปจากที่กล่าวไว้ข้างต้น
- ประเด็นสุดท้ายเป็นพัฒนาการของเหตุการณ์หลังจากที่ คสช.ร้องทุกข์กล่าวโทษ พรรคเพื่อไทยและสมาชิกพรรค รวม 8 คน ที่แถลงข่าวในเชิงวิจารณ์การทำงานของ คสช. เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ต้องติดตามว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่ความร้อนแรงทางการเมืองหรือไม่ ทั้งนี้ประเมินว่า 3 ปัจจัยดังกล่าวน่าจะสร้างแรงกดดันต่อ SET Index ในสัปดาห์นี้
ต่างชาติยังขายหุ้นกลุ่ม TIP ส่วน Bond Yield ไทย ขยับขึ้นต่อ
ศุกร์ที่ผ่านมาต่างชาติยังคงเดินหน้าขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ด้วยมูลค่า 156 ล้านเหรียญ โดยภาพรวมเกิดแรงขายเฉพาะตลาดหุ้นกลุ่ม TIP แต่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้และไต้หวันต่างชาติสลับมาซื้อ 64 ล้านเหรียญ และ 24 ล้านเหรียญ ตามลำดับ สำหรับตลาดหุ้นกลุ่ม TIP ต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นทุกแห่ง โดยอินโดนีเซียถูกขายต่อเนื่องอีก 49 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 19), ฟิลิปปินส์ 14 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) และตลาดหุ้นไทยต่างชาติขายสุทธิสูงกว่า 180 ล้านเหรียญ หรือ 5.8 พันล้านบาท (ขายสูงที่สุดในรอบ 3 เดือน นับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์) ต่างกับสถาบันในประเทศที่สลับมาซื้อสุทธิ 3.3 พันล้านบาท
สำหรับตลาดตราสารหนี้ไทย ต่างชาติขายสุทธิสูงกว่า 8.16 พันล้านบาท หนุน Bond Yield 10 ปี ของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 2.782% (สูงสุดในรอบ 1 ปี) แต่ยังน้อยกว่า Bond Yield 10 ปี สหรัฐ ที่แกว่งตัวเหนือ 3.08% (สูงสุดในรอบเกือบ 7 ปี) ซึ่งเป็นแรงหนุนให้เงินทุนต่างชาติมีโอกาสไหลออกจากตลาดหุ้นในภูมิภาค และส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่อง
TRUE ไม่ประมูลคลื่น 1800MHz ดีต่อกลุ่มฯ, เชื่อ ADVANC-DTAC ไม่ซ้ำรอย
กรณีที่ TRUE แจ้งไม่เข้าร่วมประมูลคลื่น 1800 MHz ถือเป็นบวกต่อกลุ่มสื่อสาร เพราะช่วยลดการแข่งขันในการประมูล โดยคาดว่าจะมีเพียง ADVANC และ DTAC เข้าร่วมประมูล เนื่องจากยังมีความจำเป็นต้องได้คลื่น ทั้งนี้พิจารณาจากความหนาแน่นของจำนวนฐานลูกค้า ซึ่ง ADVANC มีผู้ใช้บริการ 0.74 ล้านรายต่อคลื่น 1 MHz หนาแน่นสุด (TRUE 0.5 ล้านราย ,DTAC 0.48 ล้านราย) , ส่วน DTAC แม้ 2300 MHz บริการ 4G ได้ แต่ 1800 MHz ถือเป็นคลื่นให้บริการ 2G และเป็น 4G มาตรฐาน โดยหากเข้าร่วม 2 ราย จะอยู่บนเงื่อนไข N-1 คือ ประมูล 1 ใบ แต่เชื่อทั้ง 2 รายจะได้คลื่นใกล้เคียงราคาตั้งต้น เพราะคาดคลื่นที่เหลือ กสทช. จะต้องนำมาประมูลโดยเร็ว นอกจากนี้ ทิศทาง TRUE เน้นการทำกำไรมากขึ้น ช่วยบรรเทาการแข่งขัน
ทั้งนี้การไม่เข้าร่วมประมูล TRUE น่าจะช่วยให้สามารถประหยัดต้นทุนการดำเนินงาน แต่ต้องแลกกับศักยภาพในการแข่งขันที่ TRUE เคยอยู่เหนือคู่แข่งในเรื่องทรัพยากรคลื่นความถี่ จึงอาจทำให้รายได้เติบโตช้ากว่าคาด หากกำหนดสมมติฐานกรณีดีสุด คือ ให้ TRUE ประหยัดค่าคลื่นได้ และรายได้ยังคงเดิม ขาดทุนในปี 2562-63 จะลดลงจากประมาณการปีละ 39% และคาดพลิกมามีกำไรเร็วขึ้นในปี 2564 จากเดิมคาดปี 2566 ขณะที่มูลค่าพื้นฐานจะเพิ่มเป็น 7.3 บาท ทั้งนี้กรณีรายได้ค่าบริการเติบโตต่ำกว่าสมมติฐานทุก 1% จะทำให้ TRUE ขาดทุนสูงขึ้นเทียบกับกรณีดีสุดปีละ 22% และส่งผลมูลค่าพื้นฐานลดลง 0.3 บาท คงคำแนะนำ Switch TRUE([email protected]) มาที่ ADVANC(FV@B230), DTAC(FV@B68)
สัปดาห์นี้มีประเด็นสำคัญทางการเมือง 3 เรื่องที่ต้องติดตามในฐานะปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อทิศทางของ SET Index เริ่มจาก
- วันอังคารที่ 22 พ.ค.2561 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 4 ปีการทำรัฐประหาร กลุ่มคนอยากเลือกตั้งกำหนดจะเคลื่อนย้ายกลุ่มผู้ชุมนุมจาก ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ไปยังทำเนียบรัฐบาลขณะที่ คสช. แสดงท่าทีไม่ให้เคลื่อนย้ายกลุ่มผู้ชุมนุมดังกล่าวมาข้างต้น ประเด็นนี้จึงต้องติดตามพัฒนาการของเหตุการณ์ว่าจะมีความรุนแรงหรือไม่
- วันพุธที่ 23 พ.ค. 2561 ศาลรัฐธรรมนูญจะนัดฟังคำวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ (ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และ ที่มา สว.) ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยที่ผลของคำวินิจฉัยน่าจะทำให้เส้นทางไปสู่การจัดการเลือกตั้งมีความชัดเจนขึ้น ทั้งนี้กรณีที่ศาลเห็นว่าไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือต้องมีการแก้ไขเล็กน้อยในชั้นของ สนช. และสามารถนำขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ในเดือน มิ.ย.2561 ประเมินว่าการเลือกตั้งมีโอกาสเกิดได้ไม่เกิน เดือน พ.ค. 2562 (อยู่บนสมมุติฐานว่าในขั้นตอนของการนำขึ้นทูลเกล้าฯ จนถึงการประกาศในราชกิจจานุเบกษใช้เวลา 90 วัน + พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มีผลหลังลงประกาศ 90 วัน + การเลือกตั้งจัดภายใน 150 วันหลัง กฎหมายบังคับใช้) แต่หากต้องแก้ไขหลายส่วนและไม่สามารถดำเนินการในชั้นของ สนช. ได้ กำหนดการเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไปจากที่กล่าวไว้ข้างต้น
- ประเด็นสุดท้ายเป็นพัฒนาการของเหตุการณ์หลังจากที่ คสช.ร้องทุกข์กล่าวโทษ พรรคเพื่อไทยและสมาชิกพรรค รวม 8 คน ที่แถลงข่าวในเชิงวิจารณ์การทำงานของ คสช. เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ต้องติดตามว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่ความร้อนแรงทางการเมืองหรือไม่ ทั้งนี้ประเมินว่า 3 ปัจจัยดังกล่าวน่าจะสร้างแรงกดดันต่อ SET Index ในสัปดาห์นี้
ต่างชาติยังขายหุ้นกลุ่ม TIP ส่วน Bond Yield ไทย ขยับขึ้นต่อ
ศุกร์ที่ผ่านมาต่างชาติยังคงเดินหน้าขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ด้วยมูลค่า 156 ล้านเหรียญ โดยภาพรวมเกิดแรงขายเฉพาะตลาดหุ้นกลุ่ม TIP แต่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้และไต้หวันต่างชาติสลับมาซื้อ 64 ล้านเหรียญ และ 24 ล้านเหรียญ ตามลำดับ สำหรับตลาดหุ้นกลุ่ม TIP ต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นทุกแห่ง โดยอินโดนีเซียถูกขายต่อเนื่องอีก 49 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 19), ฟิลิปปินส์ 14 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) และตลาดหุ้นไทยต่างชาติขายสุทธิสูงกว่า 180 ล้านเหรียญ หรือ 5.8 พันล้านบาท (ขายสูงที่สุดในรอบ 3 เดือน นับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์) ต่างกับสถาบันในประเทศที่สลับมาซื้อสุทธิ 3.3 พันล้านบาท
สำหรับตลาดตราสารหนี้ไทย ต่างชาติขายสุทธิสูงกว่า 8.16 พันล้านบาท หนุน Bond Yield 10 ปี ของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 2.782% (สูงสุดในรอบ 1 ปี) แต่ยังน้อยกว่า Bond Yield 10 ปี สหรัฐ ที่แกว่งตัวเหนือ 3.08% (สูงสุดในรอบเกือบ 7 ปี) ซึ่งเป็นแรงหนุนให้เงินทุนต่างชาติมีโอกาสไหลออกจากตลาดหุ้นในภูมิภาค และส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่อง
TRUE ไม่ประมูลคลื่น 1800MHz ดีต่อกลุ่มฯ, เชื่อ ADVANC-DTAC ไม่ซ้ำรอย
กรณีที่ TRUE แจ้งไม่เข้าร่วมประมูลคลื่น 1800 MHz ถือเป็นบวกต่อกลุ่มสื่อสาร เพราะช่วยลดการแข่งขันในการประมูล โดยคาดว่าจะมีเพียง ADVANC และ DTAC เข้าร่วมประมูล เนื่องจากยังมีความจำเป็นต้องได้คลื่น ทั้งนี้พิจารณาจากความหนาแน่นของจำนวนฐานลูกค้า ซึ่ง ADVANC มีผู้ใช้บริการ 0.74 ล้านรายต่อคลื่น 1 MHz หนาแน่นสุด (TRUE 0.5 ล้านราย ,DTAC 0.48 ล้านราย) , ส่วน DTAC แม้ 2300 MHz บริการ 4G ได้ แต่ 1800 MHz ถือเป็นคลื่นให้บริการ 2G และเป็น 4G มาตรฐาน โดยหากเข้าร่วม 2 ราย จะอยู่บนเงื่อนไข N-1 คือ ประมูล 1 ใบ แต่เชื่อทั้ง 2 รายจะได้คลื่นใกล้เคียงราคาตั้งต้น เพราะคาดคลื่นที่เหลือ กสทช. จะต้องนำมาประมูลโดยเร็ว นอกจากนี้ ทิศทาง TRUE เน้นการทำกำไรมากขึ้น ช่วยบรรเทาการแข่งขัน
ทั้งนี้การไม่เข้าร่วมประมูล TRUE น่าจะช่วยให้สามารถประหยัดต้นทุนการดำเนินงาน แต่ต้องแลกกับศักยภาพในการแข่งขันที่ TRUE เคยอยู่เหนือคู่แข่งในเรื่องทรัพยากรคลื่นความถี่ จึงอาจทำให้รายได้เติบโตช้ากว่าคาด หากกำหนดสมมติฐานกรณีดีสุด คือ ให้ TRUE ประหยัดค่าคลื่นได้ และรายได้ยังคงเดิม ขาดทุนในปี 2562-63 จะลดลงจากประมาณการปีละ 39% และคาดพลิกมามีกำไรเร็วขึ้นในปี 2564 จากเดิมคาดปี 2566 ขณะที่มูลค่าพื้นฐานจะเพิ่มเป็น 7.3 บาท ทั้งนี้กรณีรายได้ค่าบริการเติบโตต่ำกว่าสมมติฐานทุก 1% จะทำให้ TRUE ขาดทุนสูงขึ้นเทียบกับกรณีดีสุดปีละ 22% และส่งผลมูลค่าพื้นฐานลดลง 0.3 บาท คงคำแนะนำ Switch TRUE([email protected]) มาที่ ADVANC(FV@B230), DTAC(FV@B68)
Update คาดการณ์หุ้นเข้าออก SET50-SET100 เพิ่ม TOA และยังชอบ BGRIM
ฝ่ายวิจัยฯ ได้คาดการณ์รายชื่อหุ้นที่มีโอกาสเข้า/ออก SET50 และ SET100 รอบ 2H61 (ประกาศผลช่วงกลางเดือน มิ.ย.) และได้รายงานไปในบทวิเคราะห์ Quantitative Analysis ไปเมื่อ 14 พ.ค. 60 แต่เนื่องจากล่าสุดข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการคำนวณมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการวิเคราะห์อีกครั้ง ได้หุ้นที่มีโอกาส เข้า – ออก SET50 5 คู่ และหุ้นที่เข้า/ออก SET100 อีก 15 คู่ ดังตารางด้านล่าง (อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ใช้คำนวณยังไม่ครบทั้ง 100% รวมถึงการคำนวณสุดท้ายแล้วยังขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของตลาดฯ เป็นสำคัญ จึงทำให้รายชื่อหุ้นบางตัวที่เข้า-ออก อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้)
สังเกตได้ว่าการคำนวณในรอบนี้มีหุ้น TOA เพิ่มเข้ามาทั้งใน SET50 และ SET100 เนื่องจากข้อมูล Free Float ที่เพิ่มขึ้นในสัปดาห์ก่อนเป็น 25.02% (จากเดิม 13.29%) ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด (มากกว่า 20%) ส่วนเงื่อนไขอื่นๆ ผ่านเกณฑ์ที่ตลาดฯ กำหนดทั้งหมด
นอกจากนี้ยังมีหุ้น SAWAD ที่สัปดาห์ที่ผ่านมา ปรับตัวลงแรงกว่า 24% ทำให้ตลาดมองว่าอาจถูกคัดออกจาก SET50 หรือไม่? แต่จากคำนวณล่าสุด พบว่า SAWAD ยังมี Market Cap. เฉลี่ย 3 เดือนล่าสุดอยู่ที่ 6.13 หมื่นล้าบาท สูงเป็นอันดับที่ 47 ของหุ้นที่ผ่านเกณฑ์เข้าคำนวณ และหากราคาหุ้นยังรักษาระดับไว้ที่ราคาปัจจุบัน คือ 37 บาท จนถึงสิ้นเดือน พ.ค. 61 ทำให้ Market Cap. เฉลี่ยอยู่ที่ 5.82 หมื่นล้านบาท และยังสูงกว่าหุ้นที่มี Market Cap. เฉลี่ยอันดับที่ 51 อย่าง BLA ที่ 5.64 หมื่นล้านบาท สรุปคือ มีโอกาสน้อยมากที่ SAWAD จะหลุดออกจาก SET50
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนและจากสถิติในอดีตบ่งชี้ว่า ราคาหุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้าคำนวณมักปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 1.5 เดือนก่อนวันที่มีผล (Effective Date) โดยเฉพาะหุ้นที่เข้าคำนวณทั้งใน SET50 และ SET100 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 10.2% รองมาคือเข้าเฉพาะ SET50 ที่ 7.0% และเข้าเฉพาะ SET100 เพียง 1.2% โดยฝ่ายวิจัยแนะนำให้สะสมหุ้นที่มีโอกาสเข้าคำนวณทั้งใน SET50 และ SET100 อย่าง BGRIM ([email protected]) และ RATCH (FV@B67)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เจิดจรัส แก้วเกื้อ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
OO9036
ฝ่ายวิจัยฯ ได้คาดการณ์รายชื่อหุ้นที่มีโอกาสเข้า/ออก SET50 และ SET100 รอบ 2H61 (ประกาศผลช่วงกลางเดือน มิ.ย.) และได้รายงานไปในบทวิเคราะห์ Quantitative Analysis ไปเมื่อ 14 พ.ค. 60 แต่เนื่องจากล่าสุดข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการคำนวณมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการวิเคราะห์อีกครั้ง ได้หุ้นที่มีโอกาส เข้า – ออก SET50 5 คู่ และหุ้นที่เข้า/ออก SET100 อีก 15 คู่ ดังตารางด้านล่าง (อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ใช้คำนวณยังไม่ครบทั้ง 100% รวมถึงการคำนวณสุดท้ายแล้วยังขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของตลาดฯ เป็นสำคัญ จึงทำให้รายชื่อหุ้นบางตัวที่เข้า-ออก อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้)
สังเกตได้ว่าการคำนวณในรอบนี้มีหุ้น TOA เพิ่มเข้ามาทั้งใน SET50 และ SET100 เนื่องจากข้อมูล Free Float ที่เพิ่มขึ้นในสัปดาห์ก่อนเป็น 25.02% (จากเดิม 13.29%) ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด (มากกว่า 20%) ส่วนเงื่อนไขอื่นๆ ผ่านเกณฑ์ที่ตลาดฯ กำหนดทั้งหมด
นอกจากนี้ยังมีหุ้น SAWAD ที่สัปดาห์ที่ผ่านมา ปรับตัวลงแรงกว่า 24% ทำให้ตลาดมองว่าอาจถูกคัดออกจาก SET50 หรือไม่? แต่จากคำนวณล่าสุด พบว่า SAWAD ยังมี Market Cap. เฉลี่ย 3 เดือนล่าสุดอยู่ที่ 6.13 หมื่นล้าบาท สูงเป็นอันดับที่ 47 ของหุ้นที่ผ่านเกณฑ์เข้าคำนวณ และหากราคาหุ้นยังรักษาระดับไว้ที่ราคาปัจจุบัน คือ 37 บาท จนถึงสิ้นเดือน พ.ค. 61 ทำให้ Market Cap. เฉลี่ยอยู่ที่ 5.82 หมื่นล้านบาท และยังสูงกว่าหุ้นที่มี Market Cap. เฉลี่ยอันดับที่ 51 อย่าง BLA ที่ 5.64 หมื่นล้านบาท สรุปคือ มีโอกาสน้อยมากที่ SAWAD จะหลุดออกจาก SET50
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนและจากสถิติในอดีตบ่งชี้ว่า ราคาหุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้าคำนวณมักปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 1.5 เดือนก่อนวันที่มีผล (Effective Date) โดยเฉพาะหุ้นที่เข้าคำนวณทั้งใน SET50 และ SET100 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 10.2% รองมาคือเข้าเฉพาะ SET50 ที่ 7.0% และเข้าเฉพาะ SET100 เพียง 1.2% โดยฝ่ายวิจัยแนะนำให้สะสมหุ้นที่มีโอกาสเข้าคำนวณทั้งใน SET50 และ SET100 อย่าง BGRIM ([email protected]) และ RATCH (FV@B67)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เจิดจรัส แก้วเกื้อ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
OO9036