- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 15 May 2018 18:23
- Hits: 3654
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“บรรยากาศการค้าสหรัฐฯ-จีนดีขึ้น”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : MC (จากถือเป็นซื้อ), VNG (จากถือเป็น Fully Valued)
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปรับตัวขึ้นต่อ 7.17 จุด ปิดที่ 1773.10 จุด สอดคล้องกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้านโดยส่วนใหญ่ มูลค่าซื้อขายปานกลางที่ 47.9 พันล้านบาท มีแรงซื้อหุ้นเฉพาะตัวที่มีข่าวเช่น นิคมฯ จากพรบ. EEC ที่ออกมาแล้ว หรือมีผลการดำเนินงานออกมาดีกว่าคาดปัจจัยบวกมาจากดอลลาร์อ่อนค่าลง และเงินบาทแข็งค่าขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันยังมีความผันผวน หลังปรับขึ้นมาสูง ผู้นำซื้อสุทธิคือ สถาบันและบัญชีหลักทรัพย์ ด้านผู้ขายสุทธิหลักคือนักลงทุนรายย่อย ขณะที่ต่างชาติกลับมาขายสุทธิเล็กน้อย
แนวโน้มและกลยุทธ์– สถานการณ์ระยะนี้ ติดตามสัญญาณจาก กนง.ที่จะประชุม 16 พ.ค.นี้ การประกาศหลักทรัพย์เข้า-ออกจาก MSCI ในวันนี้ รวมถึงคาดการณ์หุ้นเข้า-ออก SET50-100 กลางมิ.ย.61 ส่วนต่างประเทศคือ มีปัจจัยบวกเรื่องการค้าสหัฐฯ-จีนดีขึ้น เงินบาทแข็งค่าขึ้น ช่วยลดปัจจัยลบต่างชาติเร่งขายหุ้นลดผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน และราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นดี แต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี กลับมาใกล้แตะ 3% เป็นตัวกดดัน เช้านี้ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านบวก-ลบเล็กน้อยคละเคล้า คาดว่าดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวดีขึ้นต่อในระยะสั้น แต่ระยะกลาง-ยาวเรื่องการกีดกันทางการค้าที่ไม่แน่นอนอีกทั้งค่าเงินบาทมีความผันผวนเทียบกับดอลลาร์มากยังคอยกดดันดัชนีฯ ส่วนการเมืองไทยหากเลือกตั้งได้ ก.พ.62 ตามโรดแม็ปจะเป็นบวก ช่วงนี้ยังจับตารายงานกำไรบจ.งวด 1Q61 วันนี้เป็นวันสุดท้าย แต่ยังมีการเปรียบเทียบกับประมาณการ (Preview) ในสัปดาห์นี้ ยังคงกลยุทธ์เน้นหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ ระยะสั้นมีกำไร 1Q61 ออกมาดีเกินคาด หรือมี Catalyst เฉพาะตัวตามบทวิเคราะห์ DBS ส่วนหลักทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานออกมาต่ำกว่าคาด ก็เป็นแรงจูงใจให้มีการปรับลดคำแนะนำได้ จึงต้องคอยติดตาม ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบที่สูงขึ้นเป็น 1740-1800 จุด
Update กลุ่มและหุ้นเด่น : GOLD –หลังกำไรหลัก 2Q61 (สิ้นสุด มี.ค.61) เติบโตสูงถึง 52% y-o-y เราคาดว่ากำไร 3Q61 จะมีโมเม็มตัมการเติบโตดีเพราะมียอดขายรอโอน (Backlog) สูงเป็น 5.3 พันล้านบาทซึ่งส่วนใหญ่รับรู้ได้ทันปีนี้ ขณะที่รายได้โอน y-o-y และ q-o-q เป็น 2.8 และ 3.1 พันล้านบาท ล่าสุดได้ปรับประมาณการปีนี้และปีหน้าดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 23% และ 28% ตามลำดับ ยังผลให้อัตราการเติบโตกำไรหลักปีนี้และปีหน้าโดดเด่นเป็น 125%/17% ตามลำดับ เทียบ y-o-y และเป็นสถิติสูงสุดใหม่ ปรับราคาพื้นฐานใหม่เป็น 11.66 บาท ตามประมาณการ และประเมินด้วย P/E ปี 61 ที่ 12.0 เท่า ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 11%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นบวกเล็กๆ ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯแกว่งแบบลง แต่มีรีบาวด์สั้นๆ เพราะระยะกลางมีสภาวะ Overbought+Divergence ยังคอยกดดัน ซื้อใหม่เน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1780-1790, 1800 โดยมีแนวรับ 1740-1730
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น KTC, UNIQ, GOLD, BCH, AH, GLOBAL, VIBHA, CMAN ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ KBANK, SYNEX หุ้นที่หลุด ไม่มี และที่ให้หาจังหวะ Take profit เป็น BEM, WHA, SAT, GULF, AOT, BDMS, BANPU
ปัจจัยต่างประเทศ
+ บรรยากาศการค้าสหรัฐฯ-จีนดีขึ้น
# นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐและจีนกำลังร่วมมือกันเพื่อเปิดทางให้บริษัท ZTE ของจีนสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจอีกครั้งหลังจากที่บริษัทแห่งนี้ถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐ
+/- ติดตามความคืบหน้าถ้อยแถลงเฟด และการเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน รอบ 2
# ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 2 หลังการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI), ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และดัชนีราคานำเข้า
# ติดตามถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดในทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และความคืบหน้าของการเจรจาด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่สหรัฐฯ จากก่อนหน้าที่ประชุมที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน แต่ไม่คืบหน้านัก
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ กลับมาเพิ่ม เป็นลบกับ SET
# มีการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 2.988% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.119% เมื่อคืนนี้ สะท้อนความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่ยังมีต่อไป และเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก
+/• ภาวะตลาดน้ำมัน : WTI และ Brent เพิ่มขึ้น
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 26 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 70.96 ดอลลาร์/บาร์เรล และ สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค. พุ่งขึ้น 1.11 ดอลลาร์ หรือ 1.4% ปิดที่ 78.23 ดอลลาร์/บาร์เรล
# ราคาน้ำมันเพิ่ม ขานรับกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ที่ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกในปีนี้ นอกจากนี้สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง อันเนื่องมาจากชาวปาเลสไตน์ได้เดินขบวนประท้วงการเปิดสถานทูตสหรัฐแห่งใหม่ในกรุงเยรูซาเลมนั้น ยังเป็นอีกปัจจัยที่หนุนทั้งสัญญาน้ำมันดิบ WTI และน้ำมันดิบเบรนท์ ปิดในแดนบวกด้วย
+/- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์สหรัฐบวก หุ้นพลังงานยังช่วยผลักดัน
# ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 24,899.41 จุด เพิ่มขึ้น 68.24 จุด หรือ +0.27% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,730.13 จุด เพิ่มขึ้น 2.41 จุด หรือ +0.09% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,411.32 จุด เพิ่มขึ้น 8.43 จุด หรือ +0.11%
# ดัชนีดาวโจนส์ทำสถิติปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 8 เมื่อคืนนี้ (14 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐและจีนกำลังร่วมมือกันเพื่อเปิดทางให้บริษัท ZTE ของจีนสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจอีกครั้ง หลังจากที่ถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกเดือนเม.ย.
• ภาวะตลาดทองคำ : ลดลง กลับไปเก็งกำไรดอลลาร์และหุ้น
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 2.5 ดอลลาร์ หรือ 0.19% ปิดที่ 1,318.2 ดอลลาร์/ออนซ์
# ทองคำปรับลงเนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ได้ลดความน่าดึงดูดของสัญญาทองคำ นอกจากนี้ นักลงทุนยังเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่นหุ้น หลังจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นติดต่อกันยาวนานถึง 8 วันทำการ
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ต้องติดตาม
# สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่น่าสนใจที่จะมีการประกาศในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนเม.ย., ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือน พ.ค.จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ เป็นต้น
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+/- วันนี้ประกาศ MSCI และมองไปถึง SET50 ที่จะประกาศกลาง มิ.ย.61
# สำหรับ MSCI หลักทรัพย์ที่ถูกคาดว่าจะได้รับการคัดเลือกเข้าคือ BEAUTY, KTC และ GULF สำหรับ KTC มีการเก็งกำไรเรื่องแตกพาร์ ล่าสุดวานนี้บอร์ดให้ปรับลดพาร์จาก 10 บาท เป็น 1 บาท
# สำหรับ SET50 จะต้องใช้ราคาปิดสิ้น พ.ค.61 มาคำนวณ และประกาศกลาง มิ.ย.61 แต่ที่ Consensus ในตลาดฯ ประเมิน หลักทรัพย์ที่นำเข้ามาใหม่คือ RATCH,BLA,DTAC,GLOW,KTC ส่วนหลักทรัพย์ที่จะถูกตัดออกคือ BCP, KCE, PSH, SAWAD, WHA
# อย่างไรก็ตามในแง่พื้นฐาน เราคงคำแนะนำ ซื้อ สำหรับ KCE, SAWAD และ WHA ซึ่งเราได้ทำการวิเคราะห์อยู่
+/• การเมืองไทย: ติดตามคำวินิจฉัยกฎหมายลูกที่มา สส.และสว.23 พ.ค.61
# ศาลรัฐธรรมนูญจะนัดวินิจฉัยกฎหมายลูกที่มา สส.และสว.23 พ.ค.61 นี้ หากผ่าน ก็จะสามารถประกาศวันเลือกตั้งได้ประมาณ มิ.ย.-ก.ค.61 เราคาดว่าจะมีผลกับ SET เช่นกัน คือ หากยังเป็นไปตามโรดแม็ปคือ มีการเลือกตั้ง ก.พ.62 ดัชนีก็พร้อมจะปรับตัวขึ้น แต่ในทางกลับกันหากมีความล่าช้ามากก็จะเป็นผลลบกับ SET ได้
• ติดตามการประชุม กนง. 16 พ.ค.61 ว่าจะส่งสัญญาณด้านเศรษฐกิจอะไรออกมา
# แม้เป็นที่ทราบอยู่แล้วว่า กนง.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ แม้อัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกเป็นขาขึ้น เพื่อรักษาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย แต่สิ่งที่สำคัญคือ ทางกนง.จะส่งสัญญาณทางด้านเศรษฐกิจไทยอะไรออกมาหรือไม่ เพราะปัจจุบันกระแสของต่างประเทศมีความผันผวนรุนแรง และมีผลกระทบต่อไทยได้
+ พรบ.นโยบายระเบียงเศรษฐกิจ ผ่านแล้ว เริ่มบังคับใช้วันนี้ ส่งผลดีกับหลักทรัพย์หลายตัว
# พ.ร.บ.อีอีซีบังคับใช้วันนี้ (15 พ.ค.) กำหนดให้ จ.ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง เป็นเขตพัฒนาพิเศษ วางเป้าหมายอุตสาหกรรมพิเศษ อาทิ ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ การบิน เป็นต้น กำหนดการเช่าที่ดินของต่างชาติไม่เกิน 99 ปี
# หลักทรัพย์ที่ได้ประโยชน์คือ นิคมอุตสาหกรรมที่มีที่ดินในเขตจังหวัดดังกล่าวจะขายดีในอนาคต คงคำแนะนำ ซื้อ สำหรับ AMATA, ROJNA และ WHA รวมทั้งโครงการขนาดใหญ่ที่จะมีตามมา เช่น รถไฟฟ้าเชื่อมสามสนามบินหลัก ทางกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและบริหารเดินรถ ก็จะได้รับประโยชน์ เช่น สาย CK-BEM และสาย STEC-BTS และอาจจะมี PTT ร่วมด้วย
+/- DIF เคาะราคาขาย 13.90 บ. ไตรมาส 1 กำไรวูบเหลือ 2.72 พันล้านบ.
# DIF แจ้งราคาเสนอขายหน่วยลงทุนใหม่ที่ 13.90 บาทต่อหน่วย เป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขาย ด้านผลประกอบการไตรมาส 1/61 กำไรเหลือ 2.72 พันล้านบาท จาก 6.87 พันล้านบาทในไตรมาส 1/60 เผยกำไรลดลงมาจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของทรัพย์สิน และยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง (ข่าวหุ้น)
# ดูเหมือนว่าผู้ซื้อกองทุนในตลาดฯจะมีต้นทุนที่แพงกว่าไปซื้อภายนอก (PO) เพราะจากราคาปิดล่าสุดที่ 14.50 บาท หากหักปันผลที่ได้รับ 0.3375 บาท ในวัน XD คือ 17 พ.ค.61 จะมีต้นทุนที่ 14.1625 บาท ซึ่งสูงกว่า 13.90 บาท อยู่ 1.9% แต่ในความเป็นจริง ต้นทุนของนักลงทุนจะไม่เท่ากัน สืบเนื่องจากราคาหุ้น DIF ที่ปรับขึ้นมานั่นเอง
# ส่วนการประกาศกำไรลดลง ไม่น่ากังวล เพราะจะไม่กระทบต่อผลตอบแทน เพราะการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมไม่ใช่เงินสด (non-cash item) สามารถจ่ายแบบคืนทุนได้ แต่ก็อาจส่งผลกระทบในระยะสั้นได้ที่กำไรลดมาก คงคำแนะนำซื้อ DIF ราคาพื้นฐาน 15.90 บาท เพื่อรับเงินปันผลที่สูงขึ้น เมื่อซื้อสินทรัพย์เพิ่มได้สำเร็จ
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO8786