- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 14 May 2018 18:07
- Hits: 2102
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“บาทแข็งค่า ศุกร์พลิกต่างชาติซื้อสุทธิ”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : AP, STEC (จากถือเป็นซื้อ), WORK (จากถือเป็นซื้อ)
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ทะยาน 19.04 จุด ปิดที่ 1765.93 จุด สอดคล้องกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน มูลค่าการซื้อขายปานกลางที่ 52.2 พันล้านบาท มีแรงซื้อหุ้นกลุ่มหลักทั่วทั้งตลาด โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารที่กลับมาฟื้นตัวดี แม้แต่หุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรก็พลิก บวกได้ปัจจัยบวกมาจากปัจจัยราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น หลังทรัมป์คว่ำบาตรอิหร่านและความไม่สงบในตะวันออกกลาง และดอลลาร์กลับมาอ่อนลง บาทแข็งค่าขึ้น ช่วยลดแรงขายต่างชาติที่เคยกังวลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน หากไม่รีบขายหุ้น และที่น่าสังเกตคือ ผู้นำซื้อสุทธิกลับเป็นนักลงทุนต่างชาติซึ่งปกติแล้วจะขายสุทธิมาตลอด รวมทั้งสถาบันก็เป็นผู้ซื้อสุทธิ ด้านผู้ขายสุทธิคือนักลงทุนรายย่อยและบริษัทหลักทรัพย์
แนวโน้มและกลยุทธ์– สถานการณ์ระยะนี้มีข้อดีคือ เงินดอลลาร์ที่กลับมาอ่อนค่า และเงินบาทแข็งค่าขึ้น ช่วยลดปัจจัยลบต่างชาติเร่งขายหุ้นลดผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี กลับมาอ่อนกว่า 3% ลดความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่สูง หากต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่องจะเป็นสัญญาณที่ดีขึ้น แม้ราคาน้ำมันวันศุกร์ลดลงเล็กน้อย แต่ยังมีทิศทางเป็นบวก หลังทรัมป์คว่ำบาตรอิหร่าน เช้านี้ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านบวกเล็กน้อย แต่เรื่องการกีดกันทางการค้าที่ไม่แน่นอนยังคอยกดดันดัชนีฯ อีกทั้งค่าเงินบาทมีความผันผวนเทียบกับดอลลาร์มาก ส่วนการเมืองไทยหากเลือกตั้งได้ ก.พ.62 ตามโรดแม็ปจะเป็นบวก ช่วงนี้ยังจับตารายงานกำไรบจ.งวด 1Q61 ซึ่งจะใกล้เส้นตายกลางเดือนพ.ค.คือพรุ่งนี้แล้ว แต่ยังมีการเปรียบเทียบกับประมาณการ (Preview) ในสัปดาห์นี้ ยังคงกลยุทธ์เน้นหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ระยะสั้นมีกำไร 1Q61 ออกมาดีเกินคาด หรือมี Catalyst เฉพาะตัว ตามบทวิเคราะห์ DBS ส่วนหลักทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานออกมาต่ำกว่าคาด ก็เป็นแรงจูงใจให้มีการปรับลดคำแนะนำได้ จึงต้องคอยติดตาม ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบที่สูงขึ้นเป็น 1740-1790 จุด
Update กลุ่มและหุ้น : BBL –ปีนี้ไม่มี Surprise ธนาคารคาดผลกระทบจากการยกเลิกค่าธรรมเนียมดิจิตอลแบงค์กิ้งอยู่ที่ 3-4% ของรายได้ค่าธรรมเนียมทั้งหมด แต่ลูกคา้ จะหันมาใช้บริการผ่านระบบออนไลนม์ ากขึ้น และค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับสินเชื่อยังเติบโตไดดี้ ตั้งเป้ารายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัวเป็นเลขหลักเดียวด้านต่ำในปีนี้ NPL ที่เกิดใน 1Q61 เป็นลักษณะตกชั้นหนี้ แต่ NPL เกิดใหม่ลดลง โดย NPL กระจายไปหลายอุตสาหกรรมการผลิต ธนาคารแนะสำรองปีนี้ไว้ที่ 2 หมื่นล้านบาท คงคำแนะนำซื้อ ที่ราคาพื้นฐาน 218.00 บาท
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นบวกเล็กๆ ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯแกว่งแบบลง แต่มีรีบาวด์สั้นๆ เพราะระยะกลางมีสภาวะ Overbought+Divergence ยังคอยกดดัน ซื้อใหม่เน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1770-1780, 1790 โดยมีแนวรับ 1740-1730 สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น KBANK, SYNEX, GULF, AOT, BDMS, BANPU ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ BEM, WHA,SAT หุ้นที่หลุด ไม่มี และที่ให้หาจังหวะ Take profit เป็น PLANB,KKP,SPALI,TISCO,SEAFCO,PTG,D,RCL,BLAND
ปัจจัยต่างประเทศ
+ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ทยอยปรับลง หลังตัวเลขเงินเฟ้ออ่อน ส่งผลดีกับ SET
# ศุกร์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลง หลังจากการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งทำให้ลดโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน โดยต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนีจะดีดตัวขึ้น 0.3% หลังจากร่วงลง 0.1% ในเดือนมี.ค.
-/• ภาวะตลาดน้ำมัน : WTI และ Brent อ่อนลงเล็กน้อย
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 66 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 70.70 ดอลลาร์/บาร์เรล และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 35 เซนต์ หรือเกือบ 0.5% ปิดที่ 77.12 ดอลลาร์/บาร์เรล
# ราคาน้ำมันลดลง จากความไม่แน่นอนของอุปทานน้ำมันในตลาดโลก หลังจากที่สหรัฐประกาศถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ทำไว้ร่วมกับอิหร่าน หนึ่งในสมาชิกกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ซึ่งนำไปสู่การคว่ำบาตรอิหร่านรอบใหม่
+ ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า หลังตัวเลขเงินเฟ้อขยายตัวต่ำกว่าคาด
# ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (11 พ.ค.) หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งส่งผลให้เกิดกระแสคาดการณ์ในตลาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะไม่เร่งขึ้นปรับอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
# ดัชนีราคานำเข้าที่ปรับตัวขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนเม.ย.
+/- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์สหรัฐบวก หุ้นพลังงานยังช่วยผลักดัน
# ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดวันศุกร์ที่ 24,831.17 จุด เพิ่มขึ้น 91.64 จุด, +0.37%
# ดาวโจนส์ปิดปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ 7 ติดต่อกันเมื่อวันศุกร์ (11 พ.ค.) ซึ่งเป็นการปิดแดนบวกต่อเนื่องยาวนานที่สุดในรอบ 6 เดือน โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มบริการสุขภาพ ขณะที่บรรยากาศการซื้อขายโดยรวมในรอบสัปดาห์ได้ปัจจัยบวกจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่พุ่งขึ้นจากสถานการณ์ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน และมุมมองที่ว่าเฟดอาจจะยังไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ภายหลังข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภคที่ขยายตัวต่ำกว่าคาด ประกอบกับความเห็นของสมาชิกประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มองว่ายังไม่ถึงเวลาของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรอบใหม่
• ภาวะตลาดทองคำ : ลดเล็กน้อย หลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯซบเซา
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 1.60 ดอลลาร์ หรือ 0.1% ปิดที่ระดับ 1,320.70 ดอลลาร์/ออนซ์
# ทองคำปรับลงเล็กน้อย หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ไม่เพียงพอที่จะหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) พิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงระยะอันใกล้
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
• อย่าตื่นตระหนกกับ BANPU 1Q51 พลิกขาดทุน และ BPP กำไรสุทธิลดแรง y-o-y เป็นเรื่องเดิมคดีหงสา
# BANPU รายงานขาดทุนสุทธิ 1Q61 1.26 พันล้านบาท เทียบ y-o-y ที่กำไรสุทธิ 1.44 พันล้านบาท อาจทำให้นักลงทุนผิดหวังกับผลการดำเนินงาน เช่นเดียวกับ BPP ซึ่งเป็นบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 1Q61 470 ล้านบาท ลดลงถึง 55% y-o-y
# เรื่องนี้เป็นผลกระทบจากการตัดสินคดีหงสาที่ไปสิ้นสุดเมื่อ 6 มี.ค.61 ซึ่งทำให้นักลงทุนโล่งอกที่บริษัทในกลุ่ม BANPU มีค่าสินไหมทดแทนน้อยกว่าคาดมาก นั่นคือตามคำสั่งพิพากษาของศาลฎีกา ต้องจ่ายค่าทดแทนเป็นเงินต้นจำนวน 1,500 ล้านบาท และประเมินดอกเบี้ยอีกประมาณ 1,200 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 2,700 ล้านบาท (จากที่กังวลก่อนหน้าสูงถึง 3 หมื่นล้านบาท) ซึ่งจะบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายในไตรมาส 1/61 แบ่งการบันทึกในงบของ 3 บริษัท ได้แก่ BANPU , บมจ.บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) และบริษัท บ้านปู อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เท่าๆ กันบริษัทละประมาณ 900 ล้านบาท
# สำหรับ BANPU หากพิจารณาเฉพาะกำไรหลัก ไม่นับค่าสินไหมทดแทนตามคำพิพากษา 2.7 พันล้านบาท และขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนเป็น 2.5 พันล้านบาท เป็น 2.5 พันล้านบาท ยังมีการเติบโตดีเป็น 9.3% y-o-y ปัจจุบันราคาหุ้นปรับตัวขึ้นดีตามราคาถ่านหินในตลาดโลกที่กลับมาฟื้นตัวดี ตาม IAA Consensus แนะนำ ซื้อ ที่ราคาพื้นฐาน 25.40 บาท ราคาปิดยังมีส่วนเพิ่ม 25%
# สำหรับ BPP หากพิจารณาเฉพาะกำไรหลัก ไม่นับค่าสินไหมทดแทนตามคำพิพากษา 901 ล้านบาท และกำไรอัตราแลกเปลี่ยนเป็น 35 ล้านบาท เป็น 1.3 พันล้านบาท มีการเติบโตดีเป็น 25 y-o-y แรงสนับสนุนสำคัญมาจากกำไรตามส่วนได้เสียจากบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่สูงถึง 1,124 ล้านบาท (+59% y-o-y) แต่ไม่มีคำแนะนำและราคาพื้นฐานใน IAA
+ หลักทรัพย์กลุ่มยานยนต์กำไร 1Q61 ออกมาดี ทั้ง SAT และ TRU
# SAT: กำไรสุทธิ 1Q61 เติบโตก้าวกระโดด 37% y-o-y เป็น 235 ล้านบาท (EPS ที่ 0.55 บาท) สาเหตุจากอัตรากำไรขั้นต้นการขายและบริการเพิ่มสูงขึ้นเป็น 18.2% เทียบ y-o-y ที่ 15.9% แม้รายได้อยู่ในเกณฑ์ทรงตัว กอปรกับค่าใช้จ่ายในการบริหารและต้นทุนทางการเงินที่ปรับลงได้เป็นอย่างดี จากการพิจารณากำไรต่อหุ้นเฉลี่ยปี 61 ของ IAA Consensus ที่ 1.91 บาท สัดส่วนกำไร 1Q61 มากเป็น 29% แล้วจึงคาดว่าตลาดฯมีโอกาสจะปรับประมาณการให้ดีขึ้น ราคาพื้นฐานเฉลี่ยเป็น 23.08 บาท ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 7.4%
# TRU: กำไรสุทธิ 1Q61 เติบโตก้าวกระโดด 59% y-o-y เป็น 35 ล้านบาท ผลพวงจากรายได้การขาย-บริการเพิ่มขึ้น 6% อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยสูงขึ้นเป็น 18.9% เทียบ y-o-y ที่ 18.2% รวมทั้งส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมต่ำลงคาดว่าราคาหุ้นมีโอกาสตอบรับในทางบวกที่ผลการดำเนินงานฟื้นตัว ขณะที่ไม่มีผลสำรวจของ IAA Consensus ในหุ้น TRU
# การผลิตรถยนต์ของไทยโดยรวมเติบโตขึ้นดี 12% yoy ในเดือนเมษายน เกิดจากการอุปสงค์รถยนต์และการฟื้นตัวของการส่งออก ถือว่าหลักทรัพย์กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์มีความน่าสนใจในเรื่องการฟื้นตัวดี
+/- CGD: กำไรสุทธิ 1Q61 ดูเหมือนจะดีเป็น 24 ล้านบาท จาก y-o-y ที่ขาดทุน แต่เพราะกำไรอัตราแลกเปลี่ยน
# ประกาศกำไรสุทธิ 1Q61 ดีเป็น 24 ล้านบาท ฟื้นตัวจาก y-o-y ที่ -63 ล้านบาท ระยะสั้นตลาดฯอาจจะตอบรับในทางที่ดี แต่หากวิเคราะห์หาเฉพาะจากการดำเนินงานพบว่า 1Q61 ยังเป็นขาดทุน (Core Losses) ที่ -118 ล้านบาท ใกล้เคียงกับ y-o-y ที่ปรับแล้วเป็นขาดทุนที่ -117 ล้านบาท ซึ่ง 1Q61 และ 1Q60 มีการบันทึกกำไรอัตราแลกเปลี่ยนที่ 142 และ 54 ล้านบาท ตามลำดับ ดังนั้นผลการดำเนินงานจริงๆยังไม่กระเตื้องขึ้น ทั้งนี้ CGD มีความคาดหวังการโอนคอนโดขนาดใหญ่ที่ถ.เจริญกรุง คือ "โครงการเจ้าพระยา เอสเตท" ที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จปลายปีนี้และเริ่มเปิดขายอย่างเป็นทางการอีกครั้งนอกจากนี้ก็จะมีโครงการใหม่ขนาดใหญ่บนที่ดินแปลงใหม่ในย่านพระราม 3
-/+ รวบรวมหลักทรัพย์ที่เพิ่งจะประกาศผลกำไรสุทธิ 1Q61 ลดลงมาก และปรับเพิ่มขึ้นดี
# ฝ่ายวิจัยฯได้รวบรวมหลักทรัพย์ที่เพิ่งจะประกาศผลกำไรสุทธิ 1Q61 ลดลงมาก และปรับเพิ่มขึ้นดี ก็จะมีผลกับราคาหุ้นในระยะสั้นได้ สำหรับหลักทรัพย์ที่มีกำไรสุทธิลดลงมาก และอาจส่งผลลบกับราคาหุ้นคือ CBG, GRAMMY, RCL และ NOBLE ส่วนที่กำไรสุทธิเติบโตดี และอาจเป็นบวกกับราคาหุ้น คือ GLOBAL และ AAV ตามตารางด้านล่าง อย่างไรก็ตามราคาหุ้นอาจตอบรับไปบางส่วนตอนมีการจัดทำประมาณการ (Preview) 1Q61 ก่อนหน้ามาแล้ว
•/+ การเมืองไทย: โพลระบุยังอยากให้ ประยุทธ์เป็นนายกฯต่อ
# โพลระบุส่วนใหญ่อยากได้พรรคการเมืองใหม่ๆ เป็นรัฐบาล หนุน "บิ๊กตู่" เป็นนายกฯ แต่อยากให้เพื่อไทยได้คะแนนมากสุด ย้ำต้องแก้ปัญหาปากท้อง ไม่เชื่อจะมีการเลือกตั้ง ก.พ.62
+/- ราคาน้ำมันมีทิศทางปรับขึ้น ส่งผลดีกับกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และโรงกลั่น
# หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมัน ปิโตรเคมี และโรงกลั่นน้ำมันที่ได้รับผล sentiment ด้านบวกคือ PTT, PTTEP, PTTGC, TOP, ESSO, IRPC, BCP, SPRC แต่กลับเป็นลบกับหลักทรัพย์ที่อิงน้ำมันเป็นวัตถุดิบเช่น TASCO, EPG และเป็นลบกับหลักทรัพย์ขนส่งที่ใช้น้ำมันเป็นต้นทุนเช่น AAV, BA, THAI และ NOK
# PTTEP: แม้แนะนำ ถือ แต่จากข่าวการเปิดประมูลแหล่งก๊าซคาดว่า หาก PTTEP ได้บงกช และตามสัดส่วนที่ถือเดิมราคาพื้นฐานจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 15.00 บาท ราคาพื้นฐานจะขยับขึ้นเป็น 138.00 บาท จากปัจจุบัน 123.00 บาท และหากได้ 2 โครงการคือเอราวัณด้วย มูลค่าขายจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 33 บาท ราคาพื้นฐานจะขยับขึ้นเป็น 156.00 บาท แต่ในความเป็นจริง โอกาสที่จะได้ถึง 2 โครงการเป็นสิ่งที่ไม่ง่าย และในอนาคตอาจจะมีการร่วมทุนระหว่างกันได้อีก จึงต้องรอผล จึงคาดว่าจะมีการเก็งกำไร PTTEP จากเรื่องนี้
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO8731