- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 14 May 2018 18:06
- Hits: 1862
บล.โกลเบล็ก : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
Market Summary 11/05/2018
Market Summary 11/05/2018
Close 1,765.93 Volume Bt52,236M
Change 19.04 P/E 17.92
%Change 1.09% P/BV 2.04
Change 19.04 P/E 17.92
%Change 1.09% P/BV 2.04
หุ้นแนะนำพิเศษ
QH Analyst Meeting (ราคาปิด 3.10 ลงทุนระยะยาวรับเงินปันผล Bloomberg Consensus 3.54)
1Q61 มีกำไร 845 ลบ. -7%QoQ +29%YoY แม้มีรายได้รวม -21%QoQ -5%YoY จากรายได้จากการโอนอสังหาฯลดลงแต่รายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นจากการปรับเพิ่ม room rate 5-7% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นรวมดีขึ้นเป็น 35% จาก 33% ใน 4Q60 และ 30% ใน 1Q60 จากโครงการอสังหาฯมีอัตรากำไรขั้นต้นฯปรับดีขึ้นหลังโครงการเก่าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำเหลือน้อยลง ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสู่ 13% จาก 12% ใน 4Q60 และ 8% ใน 1Q60 ปลายงวด 1Q61 มี backlog 3.8 พันลบ.
ความเห็น แนวโน้มกำไร 2Q61 น่าจะปรับดีขึ้น YoY จากฐานต่ำเพียง 776 ลบ. ใน 2Q60 ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกจากความสามารถทำกำไรที่มีปรับดีขึ้นหนุนผลการดำเนินงานเติบโตมากกกว่าคาด และคาดว่า Bloomberg Consensus ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 61 จากปัจจุบันราว 3.6 พันลบ. +5% นอกจากนี้ QH ยังถือหุ้นอื่นในตลาดโดยถือหุ้น HMPRO 19.87% LHFG 13.74% QHPF 25.66% QHHR 31.33% ซึ่งมี mkt. cap เฉพาะส่วนที่ QH ถืออยู่คิดเป็น 4.26 บาทต่อหุ้น (ราคาปิด ณ 11 พ.ค.61) ประกอบกับมี yield ราว 6-7% ขณะที่ PER 9 เท่าต่ำกว่ากลุ่มที่ 17 เท่า จึงแนะนำลงทุนระยะยาวรับเงินปันผล
ส่องหุ้น
DIGI แนวรับ 0.60-0.59 บาท แนวต้าน 0.66 , 0.70-0.72 บาท
ระดับราคาเริ่มดีดกลับขึ้นมาต่อเนื่องหลังจากในช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ระดับราคาได้หลุดลงไปทดสอบแนวรับเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันแล้วไม่หลุด อีกทั้งยังเกิดสัญญาณโดจิ จึงมีแรงซื้อกลับเข้ามาโดยตลอด หากวันนี้ระดับราคาไม่ถอยกลับลงมาหรือปิดต่ำกว่าแถวๆ 0.60-0.59 บาทอีก ระดับราคาจึงจะมีลุ้นดีดกลับขึ้นทดสอบจุดสูงสุดเดิมในรอบ 8 วันแถวๆ 0.66 บาท ก่อนผ่านขึ้นทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันและจุดสูงสุดเดิมในรอบ 2 สัปดาห์ที่ 0.70-0.72 บาทต่อไป
MGT แนวรับ 2.38 บาท แนวต้าน 2.46 , 2.56-2.62 บาท
ระดับราคาสามารถดีดกลับขึ้นมาทำ New high ในรอบ 2 สัปดาห์ได้แล้ว พร้อมวอลุ่มซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อย อีกทั้ง MACD ที่ไม่หลุดลงไปต่ำกว่าศูนย์ เริ่มที่จะดีดกลับเล็กน้อย หากวันนี้ระดับราคาอ่อนตัวลงมาแถวๆ 2.38 บาทอีก น่าซื้อเพิ่ม ลุ้นดีดกลับขึ้นต่อได้แถวๆ 2.46 บาท ก่อนผ่านขึ้นทดสอบจุดสูงสุดเดิมในรอบ 3 สัปดาห์แถวๆ 2.56-2.62 บาทต่อไป
UTP แนวรับ 11.60-11.50 บาท แนวต้าน 12.10 , 13.10 บาท
ระดับราคาเริ่มดีดกลับขึ้นทำ New high วันต่อวันได้อีกครั้งแล้ว และกำลังมีลุ้นขยับขึ้นทดสอบแนวต้านจุดสูงสุดเดิมในรอบ 8 วันที่ 12.10 บาทอีกด้วย หากวันนี้ระดับราคาไม่ถอยกลับลงมาหรือปิดต่ำกว่าแนวรับเส้นค่าเฉลี่ย 10 วันที่ 11.60-11.50 บาทซะก่อน น่าซื้อเพิ่มลุ้นดีดกลับแถวๆ 12.10 บาท ก่อนผ่านขึ้นทำ New high แถวๆ 13.10 บาทต่อไป
Market View : ลุ้นไปต่อ
หุ้นแนะนำพิเศษ : QH
หุ้นมีข่าว : PTTEP MGT AP LH D
Technical Insight : SSP TMB
ภาวะตลาดหุ้นวานนี้ ปรับตัวขึ้นแรงอย่างต่อเนื่องจากหลายปัจจัยบวกต่างประเทศ ทั้งเงินเฟ้อสหรัฐฯฟื้นตัวช้ากว่าคาด ผ่อนคลายการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ FED และค่าเงินบาทยังกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง เปลี่ยนแนวโน้ม Fund Flow ในระยะสั้น เป็นผลให้หุ้น Big Cap. หนุนตลาดหลักๆ คือ ENERG BANK PETRO TRANS HELTH ICT เป็นต้น ส่งผลให้ SET Index ปิดที่ 1,765.93 จุด (+19.04 จุด) Volume 5.22 หมื่นลบ. ทั้งนี้เป็น Foreign Net +2,013.24 ลบ. TFEX Net –7,020 สัญญา ตราสารหนี้ -574.43ลบ.
แนวโน้มตลาดหุ้นไทย
+ดาวโจนส์ปิดดีดตัวขึ้นติดต่อกันนานสุดในรอบ 6 เดือน จาก CPI เดือน เม.ย. ที่ขยายตัวเล็กน้อย และความเห็นของสมาชิก FED ที่มองว่ายังไม่ถึงเวลาของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรอบใหม่
-น้ำมันย่อตัวลง หลังจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐฯ (Baker Huges) เพิ่มขึ้น 10 แท่น มาอยู่ที่ระดับ 844 แท่น สูงสุดตั้งแต่ มี.ค.2558 และประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศที่จะยังคงสนับสนุนข้อตกลงเรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่านต่อไป
+สหรัฐรายงานดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐทรงตัวที่ระดับ 98.8 ในเดือนพ.ค. โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 98.5
+ประธานเฟดเซนต์หลุยส์หนุนชะลอขึ้นดอกเบี้ย หวั่นกระทบการลงทุนและการจ้างงาน
+/- Fund Flow ต่างชาติมีสถานะขาย YTD ขาย 9.27 หมื่นล้านบาท (ล่าสุดซื้อสุทธิครั้งแรกรอบ 15 วันทำการ ขณะที่เงินบาทกลับมาแข็งค่าต่อเนื่อง 3 วันทำการ อยู่ที่ 31.82 บาท/USD
**จับตาการประชุม กนง. ในวันพุธที่ 16 พ.ค. 61
ภาวะตลาดหุ้นไทยได้ปัจจัยหนุนจากตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับขึ้นต่อเนื่องหลายวัน และการที่นักลงทุนต่างชติพลิกเป็นซื้อสุทธิ โดยมีปัจจัยลบจากราคาน้ำมัน คาด SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1,757-1,769 จุด
กลยุทธ์การลงทุน เก็งกำไรกลุ่มที่มีปัจจัยสนับสนุน
- PSL TTA ค่าระวางเรือปรับตัวขึ้นสู่ 1,453 จุด +11% ใน 8 วันที่ผ่านมา
- หุ้น MAI ที่คาดว่าผลประกอบการเติบโต SPA XO
- BANPU ราคาถ่านหินปรับตัวขึ้นสู่ 101$/Ton +9% ในช่วง 12 วันที่ผ่านมา
- คาด KTC BEAUTY GULF เข้าคำนวณดัชนี MSCI และลุ้นเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย (ที่มา ข่าวหุ้น)
หุ้นมีข่าว
PTTEP Analyst meeting (มุมมอง Neutral)
บริษัทคาดราคาน้ำมันจะเคลื่อนไหวเฉลี่ย 67 $/bbl โดยได้รับแรงหนุนจากกลุ่มโอเปกและนอกโอเปกที่ยังคงตรึงกำลังการผลิต อีกทั้งประเด็นการคว่ำบาตรอิหร่านจากสหรัฐเป็นแรงหนุนเพิ่มเติม
ปริมาณการใช้ก๊าซฯ ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องจากปี 16 ที่ 5,016 MMSCFD สู่ระดับ 4,851 MMSCFD ในปี 18 จากความต้องการใช้ก๊าซฯผลิตไฟฟ้าลดลงหลังมีโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น และความต้องการใช้ NGV จากรถยนต์ปรับตัวลงจากราคาน้ำมันที่ลดต่ำลง ส่งผลให้การลงทุนในประเทศเริ่มมองหาธุรกิจใหม่ อาทิ พลังงานทดแทนเข้ามาเสริม ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศยังเน้นการขยายกำลังการผลิตทั้งก๊าซฯและน้ำมันอย่างต่อเนื่อง
การประมูลแหล่งบงกชและเอราวัณ บริษัทเน้นการประมูลไปที่แหล่งบงกชเนื่องจากเป็นผู้ดำเนินการในปัจจุบัน โดยเบื้องต้นการประมูลในครั้งนี้ทางภาครัฐกำหนดให้ราคาประมูลเป็น บาทต่อMMBTU และสูตรราคาตลอดอายุสัญญา 10 ปีผูกกับราคาน้ำมันดูไบซึ่งต่างจากสูตรเก่าที่อิงตามราคาน้ำมันเตา(ข้อดีคือปรับราคาขายได้เร็วขึ้น) โดยภาครัฐกำหนดการผลิตขั้นต่ำจากแหล่งเอราวัณและบงกชที่ 800MMSCFD และ 700MMSCFD ตามลำดับ
คาดผลประกอบการไตรมาส 2 อาจไม่เติบโตมากนักแม้ว่าราคาน้ำมันจะทรงตัวในระดับสูงและราคาจำหน่ายก๊าซฯจะยังปรับตัวขึ้นจาก 6.07 $/MMBTU สู่ 6.3 $/MMBTU แต่ต้นทุนการผลิตที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจาก 27$/bbl สู่ 31$/bbl จากการรับรู้แหล่งผลิตใหม่และแหล่งผลิตที่มีต้นทุนสูงกลับมาดำเนินการผลิตเป็นปัจจัยกดดันต่อผลประกอบการ
MGT (ราคาปิด 2.38 บาท ซื้อ Bloomberg Consensus 3.12 บาท)
กำไรงวด 1Q61 ออกมาต่ำกว่าคาดมาอยูที่ 13.18 ล้านบาท (ต่ำราว 17%) แต่ยังเติบโตได้ราว 12%YoY แม้ราวได้รวมจะชะลอตัวเล็กน้อยราว 8.3%YoY แต่อัตรากำไรขั้นต้นยังเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 27.2% มาอยู่ท่ 31.5% ทำ New High ได้ตามคาด นอกจากนี้ผลขาดทุนจากบริษัทร่วม หรือ VTL แม้มีการเพิ่มขึ้นเล็กน้อย YOY จากที่ 0.73 ล้านบาท มาอยู่ที่ 0.94 ล้านบาท แต่ยังมีแนวโน้มที่ลดลง QoQ ชัดเจน จากผลขาดทุนในงวด 4Q60 กว่า 2.3 ล้านบาท หลังหยุดการผลิตในช่วงปลายปีก่อน ขณะที่ SG&A ไม่ได้ลดลงตามที่คาดไว้
กำไรที่ต่ำจากที่ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ไว้ เชื่อว่าไม่ได้มีผลต่อประมาณการทั้งปีมากนัก เนื่องจากคำนวนเป็นตัวเงินเพียง 2 - 3 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นงวด 1Q61 ยังออกมามากกว่าสมมติฐานในประมาณการ โดยแม้ตั้งแต่ต้นงวด 2Q61 จนถึงปัจจุบัน ค่าเงินบาทอ่อนค่ากว่า 2.3% แต่ค่าเฉลี่ยรายไตรมาสยังทรงตัวกับงวด 1Q61 โดยยรวมจึงคาดว่า MGT น่าจะยังสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ในระดับสูงต่อไปได้ และน่าจะมียอดขายที่เติบโตหลังจากมีการเพิ่มงบประมาณทีมขายเพื่อเพิ่มสินค้าในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ"
BCP (ราคาปิด 36 บาท Bloomberg Consensus 45 ) รายงานกำไร 1Q61 อยู่ที่ 1,146 ล้านบาท -45%Yo และ -17%QoQ ผลประกอบการอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้าเนื่องจากผลประกอบการธุรกิจโรงกลั่นถูกกดดันจากต้นทุนราคาน้ำมัน(Crude Premium) ที่ปรับตัวขึ้น อีกทั้งค่าการกลั่นอ่อนตัวลงตามน้ำมันเบนซินและน้ำมันเตาที่ปรับตัวลง อีกทั้งมีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันดิบอีก 70 ล้านบาทเข้ามากดดันเพิ่มเติม ด้านผลประกอบการสถานีจำหน่ายน้ำมันปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 4/60 แม้ว่าปริมาณจำหน่ายจะปรับตัวลง 3%QoQ แต่ค่าการตลาดต่อลิตปรับตัวขึ้นจาก 0.7 บาทต่อลิตรสู่ 0.83 บาทต่อลิตรตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น ธุรกิจโรงไฟฟ้าผลประกอบการปรับตัวลงแม้ว่าโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นจะดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มแต่ไม่มีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการเข้าซื้อกิจการส่งผลให้กำไรปรับตัวลงจากไม่มีรายการพิเศษดังกล่าว
BANPU (ราคาปิด 20.40 บาท Bloomberg Consensus 27.15) รายงานขาดทุน 1Q61 ที่ 1,262 ล้านบาท -188%YoY และ -157%QoQ เนื่องจากมีค่าปรับจากคดีความหงสาราว 2.5 พันล้านบาท และผลขาดทุนจากค่าเงินราว 1 พันล้านบาทเข้ามากดดัน อย่างไรก็ตามผลประกอบการธุรกิจธุรกิจถ่านหินปรับตัวดีขึ้นตามราคาถ่านหินที่ทรงตัวในระดับสูงกว่า 90$/Ton แม้ว่าปริมาณขายจะปรับตัวลง 1.2 ล้านตันจากไตรมาส 1/60 สู่ 7.3 ล้านตันเนื่องจากเหมืองในออสเตรเลียและอินโดนีเซียผลิตถ่านหินได้ลดลงจากสภาพธรณีวิทยาและเผชิญกับฤดูฝน ขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นจากโรงไฟฟ้า BLCP และ โรงไฟฟ้าหงสาเดินเครื่องได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น แม้ว่าโรงไฟฟ้าในจีนผลประกอบการจะอ่อนตัวลงจากต้นทุนถ่านหินที่ปรับตัวขึ้นก็ตาม
AP Analyst meeting (ราคาปิด 8.25 ราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 9.72)
1Q61 มีกำไรสุทธิ 807 ลบ. +47% โดยมีรายได้ 5.6 พันลบ. +34% มาร์จิ้นปรับดีขึ้นเป็น 35.3% จาก 32.8% ใน 1Q60 แต่ยังต่ำกว่าระดับ 37.4% ใน 4Q60 การคุมคชจ.ได้ดีทำให้สัดส่วนคชจ.ขายและบริหารต่อยอดขายทรงตัวเท่ากับ 4Q60 ที่ 18% และลดลงจาก 21.8% ใน 1Q60 อย่างไรก็ดี การมีคอนโดฯร่วมทุนส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 14% ปรับดีขึ้นจาก 13% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ความเห็น กำไร 2Q61 มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นจากการเริ่มโอนโครงกา Life-อโศก ปลายเดือนเม.ย. และจะคาดจะสูงสุดรายไตรมาสในไตรมาสสุดท้ายที่เป็นช่วงฤดูกาลและการเริ่มโอนโครงการ Aspire-สาธร ราชพฤกษ์ Bloomberg คาดกำไรปี 61 ราว 3,454.22 เติบโต 9.41% ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกจากกำไรมีศักยภาพในการเติบโต yield สูงราว 4-5% และมี PER ต่ำที่ 8.5 เท่าต่ำกว่ากลุ่มที่ 17 เท่า
LH (ราคาปิด 10.60 ราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 12.90)
รายงานกำไรสุทธิในช่วง 1Q61 เท่ากับ 2,466 ลบ. +39% พร้อมแจ้งข่าวบริษัทย่อย (ถือหุ้น 100%) ขายอพาร์ทเม้นท์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ในราคา 140 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 4,480 ล้านบาท ซึ่งมีกำไรหักภาษีเงินได้ประมาณ 41.17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,317.44 ล้านบาท รับรู้กำไรในช่วง 2Q61 (ที่มา SET news)
ความเห็น กำไรยังเติบโตดีและมีอัพไซต์จากรายการพิเศษดังกล่าวหนุนกำไร 2Q61 เติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรก ทั้งนี้ กำไรทั้งปี 61 มีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า Bloomberg Consensus คาดกำไรปกติปี 61 ราว 9,313 ลบ. -10.99%
D (ราคาปิด 10.5 ถือ ราคาเหมาะสม 10.80) เข้าซื้อกิจการวัสดุและอุปกรณ์ด้านทันตกรรมมูลค่าลงทุนไม่เกิน 250 ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ 200 ลบ. และเงินทุนหมุนเวียน 50 ลบ.เพื่อต่อยอดธุรกิจเดิม ในการช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน หนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ D แจ้งไตรมาส 1/61 มีกำไรสุทธิ 11.03 ลบ. -11%YoY -1%QoQ
ความเห็น กำไร 1Q61 คิดเป็น 19% ของประมาณการปี 61 ที่ราว 58 ลบ. เบื้องต้นยังคงประมาณการตามเดิม จากที่คาดว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นใน Q2 จากรับรู้รายได้จากคลินิกทันตกรรมที่เข้าซื้อ 3 แห่งที่รับรู้รายได้เต็มไตรมาส
นักวิเคราะห์ 02-672-5999 ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วิลาสินี บุญมาสูงทรง ext.5937 ระพีพัฒน์ ด่านไพบูลย์
ณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ext.5936 สรรพกัณฑ์ ปัทมบริสุทธิ์
ธนวินท์ พิเชษฐศิริพร ext.5940 ทศพล วิไลประภากร
OO8729
QH Analyst Meeting (ราคาปิด 3.10 ลงทุนระยะยาวรับเงินปันผล Bloomberg Consensus 3.54)
1Q61 มีกำไร 845 ลบ. -7%QoQ +29%YoY แม้มีรายได้รวม -21%QoQ -5%YoY จากรายได้จากการโอนอสังหาฯลดลงแต่รายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นจากการปรับเพิ่ม room rate 5-7% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นรวมดีขึ้นเป็น 35% จาก 33% ใน 4Q60 และ 30% ใน 1Q60 จากโครงการอสังหาฯมีอัตรากำไรขั้นต้นฯปรับดีขึ้นหลังโครงการเก่าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำเหลือน้อยลง ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสู่ 13% จาก 12% ใน 4Q60 และ 8% ใน 1Q60 ปลายงวด 1Q61 มี backlog 3.8 พันลบ.
ความเห็น แนวโน้มกำไร 2Q61 น่าจะปรับดีขึ้น YoY จากฐานต่ำเพียง 776 ลบ. ใน 2Q60 ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกจากความสามารถทำกำไรที่มีปรับดีขึ้นหนุนผลการดำเนินงานเติบโตมากกกว่าคาด และคาดว่า Bloomberg Consensus ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 61 จากปัจจุบันราว 3.6 พันลบ. +5% นอกจากนี้ QH ยังถือหุ้นอื่นในตลาดโดยถือหุ้น HMPRO 19.87% LHFG 13.74% QHPF 25.66% QHHR 31.33% ซึ่งมี mkt. cap เฉพาะส่วนที่ QH ถืออยู่คิดเป็น 4.26 บาทต่อหุ้น (ราคาปิด ณ 11 พ.ค.61) ประกอบกับมี yield ราว 6-7% ขณะที่ PER 9 เท่าต่ำกว่ากลุ่มที่ 17 เท่า จึงแนะนำลงทุนระยะยาวรับเงินปันผล
ส่องหุ้น
DIGI แนวรับ 0.60-0.59 บาท แนวต้าน 0.66 , 0.70-0.72 บาท
ระดับราคาเริ่มดีดกลับขึ้นมาต่อเนื่องหลังจากในช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ระดับราคาได้หลุดลงไปทดสอบแนวรับเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันแล้วไม่หลุด อีกทั้งยังเกิดสัญญาณโดจิ จึงมีแรงซื้อกลับเข้ามาโดยตลอด หากวันนี้ระดับราคาไม่ถอยกลับลงมาหรือปิดต่ำกว่าแถวๆ 0.60-0.59 บาทอีก ระดับราคาจึงจะมีลุ้นดีดกลับขึ้นทดสอบจุดสูงสุดเดิมในรอบ 8 วันแถวๆ 0.66 บาท ก่อนผ่านขึ้นทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันและจุดสูงสุดเดิมในรอบ 2 สัปดาห์ที่ 0.70-0.72 บาทต่อไป
MGT แนวรับ 2.38 บาท แนวต้าน 2.46 , 2.56-2.62 บาท
ระดับราคาสามารถดีดกลับขึ้นมาทำ New high ในรอบ 2 สัปดาห์ได้แล้ว พร้อมวอลุ่มซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อย อีกทั้ง MACD ที่ไม่หลุดลงไปต่ำกว่าศูนย์ เริ่มที่จะดีดกลับเล็กน้อย หากวันนี้ระดับราคาอ่อนตัวลงมาแถวๆ 2.38 บาทอีก น่าซื้อเพิ่ม ลุ้นดีดกลับขึ้นต่อได้แถวๆ 2.46 บาท ก่อนผ่านขึ้นทดสอบจุดสูงสุดเดิมในรอบ 3 สัปดาห์แถวๆ 2.56-2.62 บาทต่อไป
UTP แนวรับ 11.60-11.50 บาท แนวต้าน 12.10 , 13.10 บาท
ระดับราคาเริ่มดีดกลับขึ้นทำ New high วันต่อวันได้อีกครั้งแล้ว และกำลังมีลุ้นขยับขึ้นทดสอบแนวต้านจุดสูงสุดเดิมในรอบ 8 วันที่ 12.10 บาทอีกด้วย หากวันนี้ระดับราคาไม่ถอยกลับลงมาหรือปิดต่ำกว่าแนวรับเส้นค่าเฉลี่ย 10 วันที่ 11.60-11.50 บาทซะก่อน น่าซื้อเพิ่มลุ้นดีดกลับแถวๆ 12.10 บาท ก่อนผ่านขึ้นทำ New high แถวๆ 13.10 บาทต่อไป
Market View : ลุ้นไปต่อ
หุ้นแนะนำพิเศษ : QH
หุ้นมีข่าว : PTTEP MGT AP LH D
Technical Insight : SSP TMB
ภาวะตลาดหุ้นวานนี้ ปรับตัวขึ้นแรงอย่างต่อเนื่องจากหลายปัจจัยบวกต่างประเทศ ทั้งเงินเฟ้อสหรัฐฯฟื้นตัวช้ากว่าคาด ผ่อนคลายการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ FED และค่าเงินบาทยังกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง เปลี่ยนแนวโน้ม Fund Flow ในระยะสั้น เป็นผลให้หุ้น Big Cap. หนุนตลาดหลักๆ คือ ENERG BANK PETRO TRANS HELTH ICT เป็นต้น ส่งผลให้ SET Index ปิดที่ 1,765.93 จุด (+19.04 จุด) Volume 5.22 หมื่นลบ. ทั้งนี้เป็น Foreign Net +2,013.24 ลบ. TFEX Net –7,020 สัญญา ตราสารหนี้ -574.43ลบ.
แนวโน้มตลาดหุ้นไทย
+ดาวโจนส์ปิดดีดตัวขึ้นติดต่อกันนานสุดในรอบ 6 เดือน จาก CPI เดือน เม.ย. ที่ขยายตัวเล็กน้อย และความเห็นของสมาชิก FED ที่มองว่ายังไม่ถึงเวลาของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรอบใหม่
-น้ำมันย่อตัวลง หลังจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐฯ (Baker Huges) เพิ่มขึ้น 10 แท่น มาอยู่ที่ระดับ 844 แท่น สูงสุดตั้งแต่ มี.ค.2558 และประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศที่จะยังคงสนับสนุนข้อตกลงเรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่านต่อไป
+สหรัฐรายงานดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐทรงตัวที่ระดับ 98.8 ในเดือนพ.ค. โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 98.5
+ประธานเฟดเซนต์หลุยส์หนุนชะลอขึ้นดอกเบี้ย หวั่นกระทบการลงทุนและการจ้างงาน
+/- Fund Flow ต่างชาติมีสถานะขาย YTD ขาย 9.27 หมื่นล้านบาท (ล่าสุดซื้อสุทธิครั้งแรกรอบ 15 วันทำการ ขณะที่เงินบาทกลับมาแข็งค่าต่อเนื่อง 3 วันทำการ อยู่ที่ 31.82 บาท/USD
**จับตาการประชุม กนง. ในวันพุธที่ 16 พ.ค. 61
ภาวะตลาดหุ้นไทยได้ปัจจัยหนุนจากตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับขึ้นต่อเนื่องหลายวัน และการที่นักลงทุนต่างชติพลิกเป็นซื้อสุทธิ โดยมีปัจจัยลบจากราคาน้ำมัน คาด SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1,757-1,769 จุด
กลยุทธ์การลงทุน เก็งกำไรกลุ่มที่มีปัจจัยสนับสนุน
- PSL TTA ค่าระวางเรือปรับตัวขึ้นสู่ 1,453 จุด +11% ใน 8 วันที่ผ่านมา
- หุ้น MAI ที่คาดว่าผลประกอบการเติบโต SPA XO
- BANPU ราคาถ่านหินปรับตัวขึ้นสู่ 101$/Ton +9% ในช่วง 12 วันที่ผ่านมา
- คาด KTC BEAUTY GULF เข้าคำนวณดัชนี MSCI และลุ้นเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย (ที่มา ข่าวหุ้น)
หุ้นมีข่าว
PTTEP Analyst meeting (มุมมอง Neutral)
บริษัทคาดราคาน้ำมันจะเคลื่อนไหวเฉลี่ย 67 $/bbl โดยได้รับแรงหนุนจากกลุ่มโอเปกและนอกโอเปกที่ยังคงตรึงกำลังการผลิต อีกทั้งประเด็นการคว่ำบาตรอิหร่านจากสหรัฐเป็นแรงหนุนเพิ่มเติม
ปริมาณการใช้ก๊าซฯ ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องจากปี 16 ที่ 5,016 MMSCFD สู่ระดับ 4,851 MMSCFD ในปี 18 จากความต้องการใช้ก๊าซฯผลิตไฟฟ้าลดลงหลังมีโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น และความต้องการใช้ NGV จากรถยนต์ปรับตัวลงจากราคาน้ำมันที่ลดต่ำลง ส่งผลให้การลงทุนในประเทศเริ่มมองหาธุรกิจใหม่ อาทิ พลังงานทดแทนเข้ามาเสริม ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศยังเน้นการขยายกำลังการผลิตทั้งก๊าซฯและน้ำมันอย่างต่อเนื่อง
การประมูลแหล่งบงกชและเอราวัณ บริษัทเน้นการประมูลไปที่แหล่งบงกชเนื่องจากเป็นผู้ดำเนินการในปัจจุบัน โดยเบื้องต้นการประมูลในครั้งนี้ทางภาครัฐกำหนดให้ราคาประมูลเป็น บาทต่อMMBTU และสูตรราคาตลอดอายุสัญญา 10 ปีผูกกับราคาน้ำมันดูไบซึ่งต่างจากสูตรเก่าที่อิงตามราคาน้ำมันเตา(ข้อดีคือปรับราคาขายได้เร็วขึ้น) โดยภาครัฐกำหนดการผลิตขั้นต่ำจากแหล่งเอราวัณและบงกชที่ 800MMSCFD และ 700MMSCFD ตามลำดับ
คาดผลประกอบการไตรมาส 2 อาจไม่เติบโตมากนักแม้ว่าราคาน้ำมันจะทรงตัวในระดับสูงและราคาจำหน่ายก๊าซฯจะยังปรับตัวขึ้นจาก 6.07 $/MMBTU สู่ 6.3 $/MMBTU แต่ต้นทุนการผลิตที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจาก 27$/bbl สู่ 31$/bbl จากการรับรู้แหล่งผลิตใหม่และแหล่งผลิตที่มีต้นทุนสูงกลับมาดำเนินการผลิตเป็นปัจจัยกดดันต่อผลประกอบการ
MGT (ราคาปิด 2.38 บาท ซื้อ Bloomberg Consensus 3.12 บาท)
กำไรงวด 1Q61 ออกมาต่ำกว่าคาดมาอยูที่ 13.18 ล้านบาท (ต่ำราว 17%) แต่ยังเติบโตได้ราว 12%YoY แม้ราวได้รวมจะชะลอตัวเล็กน้อยราว 8.3%YoY แต่อัตรากำไรขั้นต้นยังเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 27.2% มาอยู่ท่ 31.5% ทำ New High ได้ตามคาด นอกจากนี้ผลขาดทุนจากบริษัทร่วม หรือ VTL แม้มีการเพิ่มขึ้นเล็กน้อย YOY จากที่ 0.73 ล้านบาท มาอยู่ที่ 0.94 ล้านบาท แต่ยังมีแนวโน้มที่ลดลง QoQ ชัดเจน จากผลขาดทุนในงวด 4Q60 กว่า 2.3 ล้านบาท หลังหยุดการผลิตในช่วงปลายปีก่อน ขณะที่ SG&A ไม่ได้ลดลงตามที่คาดไว้
กำไรที่ต่ำจากที่ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ไว้ เชื่อว่าไม่ได้มีผลต่อประมาณการทั้งปีมากนัก เนื่องจากคำนวนเป็นตัวเงินเพียง 2 - 3 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นงวด 1Q61 ยังออกมามากกว่าสมมติฐานในประมาณการ โดยแม้ตั้งแต่ต้นงวด 2Q61 จนถึงปัจจุบัน ค่าเงินบาทอ่อนค่ากว่า 2.3% แต่ค่าเฉลี่ยรายไตรมาสยังทรงตัวกับงวด 1Q61 โดยยรวมจึงคาดว่า MGT น่าจะยังสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ในระดับสูงต่อไปได้ และน่าจะมียอดขายที่เติบโตหลังจากมีการเพิ่มงบประมาณทีมขายเพื่อเพิ่มสินค้าในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ"
BCP (ราคาปิด 36 บาท Bloomberg Consensus 45 ) รายงานกำไร 1Q61 อยู่ที่ 1,146 ล้านบาท -45%Yo และ -17%QoQ ผลประกอบการอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้าเนื่องจากผลประกอบการธุรกิจโรงกลั่นถูกกดดันจากต้นทุนราคาน้ำมัน(Crude Premium) ที่ปรับตัวขึ้น อีกทั้งค่าการกลั่นอ่อนตัวลงตามน้ำมันเบนซินและน้ำมันเตาที่ปรับตัวลง อีกทั้งมีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันดิบอีก 70 ล้านบาทเข้ามากดดันเพิ่มเติม ด้านผลประกอบการสถานีจำหน่ายน้ำมันปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 4/60 แม้ว่าปริมาณจำหน่ายจะปรับตัวลง 3%QoQ แต่ค่าการตลาดต่อลิตปรับตัวขึ้นจาก 0.7 บาทต่อลิตรสู่ 0.83 บาทต่อลิตรตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น ธุรกิจโรงไฟฟ้าผลประกอบการปรับตัวลงแม้ว่าโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นจะดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มแต่ไม่มีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการเข้าซื้อกิจการส่งผลให้กำไรปรับตัวลงจากไม่มีรายการพิเศษดังกล่าว
BANPU (ราคาปิด 20.40 บาท Bloomberg Consensus 27.15) รายงานขาดทุน 1Q61 ที่ 1,262 ล้านบาท -188%YoY และ -157%QoQ เนื่องจากมีค่าปรับจากคดีความหงสาราว 2.5 พันล้านบาท และผลขาดทุนจากค่าเงินราว 1 พันล้านบาทเข้ามากดดัน อย่างไรก็ตามผลประกอบการธุรกิจธุรกิจถ่านหินปรับตัวดีขึ้นตามราคาถ่านหินที่ทรงตัวในระดับสูงกว่า 90$/Ton แม้ว่าปริมาณขายจะปรับตัวลง 1.2 ล้านตันจากไตรมาส 1/60 สู่ 7.3 ล้านตันเนื่องจากเหมืองในออสเตรเลียและอินโดนีเซียผลิตถ่านหินได้ลดลงจากสภาพธรณีวิทยาและเผชิญกับฤดูฝน ขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นจากโรงไฟฟ้า BLCP และ โรงไฟฟ้าหงสาเดินเครื่องได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น แม้ว่าโรงไฟฟ้าในจีนผลประกอบการจะอ่อนตัวลงจากต้นทุนถ่านหินที่ปรับตัวขึ้นก็ตาม
AP Analyst meeting (ราคาปิด 8.25 ราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 9.72)
1Q61 มีกำไรสุทธิ 807 ลบ. +47% โดยมีรายได้ 5.6 พันลบ. +34% มาร์จิ้นปรับดีขึ้นเป็น 35.3% จาก 32.8% ใน 1Q60 แต่ยังต่ำกว่าระดับ 37.4% ใน 4Q60 การคุมคชจ.ได้ดีทำให้สัดส่วนคชจ.ขายและบริหารต่อยอดขายทรงตัวเท่ากับ 4Q60 ที่ 18% และลดลงจาก 21.8% ใน 1Q60 อย่างไรก็ดี การมีคอนโดฯร่วมทุนส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 14% ปรับดีขึ้นจาก 13% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ความเห็น กำไร 2Q61 มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นจากการเริ่มโอนโครงกา Life-อโศก ปลายเดือนเม.ย. และจะคาดจะสูงสุดรายไตรมาสในไตรมาสสุดท้ายที่เป็นช่วงฤดูกาลและการเริ่มโอนโครงการ Aspire-สาธร ราชพฤกษ์ Bloomberg คาดกำไรปี 61 ราว 3,454.22 เติบโต 9.41% ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกจากกำไรมีศักยภาพในการเติบโต yield สูงราว 4-5% และมี PER ต่ำที่ 8.5 เท่าต่ำกว่ากลุ่มที่ 17 เท่า
LH (ราคาปิด 10.60 ราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 12.90)
รายงานกำไรสุทธิในช่วง 1Q61 เท่ากับ 2,466 ลบ. +39% พร้อมแจ้งข่าวบริษัทย่อย (ถือหุ้น 100%) ขายอพาร์ทเม้นท์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ในราคา 140 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 4,480 ล้านบาท ซึ่งมีกำไรหักภาษีเงินได้ประมาณ 41.17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,317.44 ล้านบาท รับรู้กำไรในช่วง 2Q61 (ที่มา SET news)
ความเห็น กำไรยังเติบโตดีและมีอัพไซต์จากรายการพิเศษดังกล่าวหนุนกำไร 2Q61 เติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรก ทั้งนี้ กำไรทั้งปี 61 มีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า Bloomberg Consensus คาดกำไรปกติปี 61 ราว 9,313 ลบ. -10.99%
D (ราคาปิด 10.5 ถือ ราคาเหมาะสม 10.80) เข้าซื้อกิจการวัสดุและอุปกรณ์ด้านทันตกรรมมูลค่าลงทุนไม่เกิน 250 ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ 200 ลบ. และเงินทุนหมุนเวียน 50 ลบ.เพื่อต่อยอดธุรกิจเดิม ในการช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน หนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ D แจ้งไตรมาส 1/61 มีกำไรสุทธิ 11.03 ลบ. -11%YoY -1%QoQ
ความเห็น กำไร 1Q61 คิดเป็น 19% ของประมาณการปี 61 ที่ราว 58 ลบ. เบื้องต้นยังคงประมาณการตามเดิม จากที่คาดว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นใน Q2 จากรับรู้รายได้จากคลินิกทันตกรรมที่เข้าซื้อ 3 แห่งที่รับรู้รายได้เต็มไตรมาส
นักวิเคราะห์ 02-672-5999 ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วิลาสินี บุญมาสูงทรง ext.5937 ระพีพัฒน์ ด่านไพบูลย์
ณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ext.5936 สรรพกัณฑ์ ปัทมบริสุทธิ์
ธนวินท์ พิเชษฐศิริพร ext.5940 ทศพล วิไลประภากร
OO8729