- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 14 May 2018 17:58
- Hits: 1193
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ยังมี Sell on fact รับงบ 1Q61 หุ้น Real sector สัปดาห์สุดท้าย และ fund flow ยังไหลออกจากภูมิภาค กดดัน SET Index แกว่งตัวต่ำกว่า 1750 จุด กลยุทธ์เน้นเลือกหุ้น Domestic Play 1) ประโยชน์จาก EEC (WHA, EASTW) 2) ผันผวนน้อย P/E ต่ำ ปันผลสูง (QH, LH, BBL) และ 3) ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า (HANA, GFPT, CPF) Top picks WHA([email protected]) และ SPF เพื่อพักเงินสดช่วงดัชนีผันผวน
ย้อนรอยหุ้นไทยวันศุกร์…. ซื้อหุ้นแบงก์-พลังงาน หนุนตลาดปิดพุ่ง 19 จุด
วันศุกร์ที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวขึ้นในแดนบวกตลอดทั้งวัน ก่อนจะปิด 1765.93 จุด เพิ่มขึ้นกว่า 19.04 จุด หรือ 1.09% มูลค่าการซื้อขาย 5.22 หมื่นล้านบาท แม้จะมีแรงขาย sell on fact ในหุ้นรายตัว (ESSO BEC MONO) แต่โดยรวมปรับตัวขึ้นโดยแรงหนุนหุ้นใหญ่ PTT PTTEP ปิโตรฯ IVL PTTGC ตามด้วยกลุ่ม ธ.พ. และกลุ่มโรงพยาบาลฟื้นตัวต่อ โดยเฉพาะ CHG ปรับขึ้นแรงกว่า 8.54% หลังกำไร 1Q61 เติบโตมาก 26.6% yoy และกลุ่มค้าปลีก rebound กลับเข้ามา (HMPRO BJC)
คาดว่าวันนี้ SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1754-1775 จุด โดยยังให้น้ำหนักกับหุ้นน้ำมัน จากปัญหา supply อาจจะหายไปจากที่สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่าน และการเลื่อน IFRS 9 ยังกดดันงบธนาคาร อยู่ดี
กลยุทธ์การลงทุน
ยังมี Sell on fact รับงบ 1Q61 หุ้น Real sector สัปดาห์สุดท้าย และ fund flow ยังไหลออกจากภูมิภาค กดดัน SET Index แกว่งตัวต่ำกว่า 1750 จุด กลยุทธ์เน้นเลือกหุ้น Domestic Play 1) ประโยชน์จาก EEC (WHA, EASTW) 2) ผันผวนน้อย P/E ต่ำ ปันผลสูง (QH, LH, BBL) และ 3) ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า (HANA, GFPT, CPF) Top picks WHA([email protected]) และ SPF เพื่อพักเงินสดช่วงดัชนีผันผวน
ย้อนรอยหุ้นไทยวันศุกร์…. ซื้อหุ้นแบงก์-พลังงาน หนุนตลาดปิดพุ่ง 19 จุด
วันศุกร์ที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวขึ้นในแดนบวกตลอดทั้งวัน ก่อนจะปิด 1765.93 จุด เพิ่มขึ้นกว่า 19.04 จุด หรือ 1.09% มูลค่าการซื้อขาย 5.22 หมื่นล้านบาท แม้จะมีแรงขาย sell on fact ในหุ้นรายตัว (ESSO BEC MONO) แต่โดยรวมปรับตัวขึ้นโดยแรงหนุนหุ้นใหญ่ PTT PTTEP ปิโตรฯ IVL PTTGC ตามด้วยกลุ่ม ธ.พ. และกลุ่มโรงพยาบาลฟื้นตัวต่อ โดยเฉพาะ CHG ปรับขึ้นแรงกว่า 8.54% หลังกำไร 1Q61 เติบโตมาก 26.6% yoy และกลุ่มค้าปลีก rebound กลับเข้ามา (HMPRO BJC)
คาดว่าวันนี้ SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1754-1775 จุด โดยยังให้น้ำหนักกับหุ้นน้ำมัน จากปัญหา supply อาจจะหายไปจากที่สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่าน และการเลื่อน IFRS 9 ยังกดดันงบธนาคาร อยู่ดี
ชะลอใช้ IFRS9 ไป 1 ปี... แบงก์พาณิชย์พร้อม แต่แบงก์รัฐยังไม่พร้อม
การฟื้นตัวของดัชนีหุ้นไทยเมื่อวันศุกร์ เป็นเพราะ ภาครัฐ เห็นชอบให้ชะลอการใช้ IFRS 9 ออกไป 1 ปี เพื่อลดผลกระทบจากการชะลอปล่อยสินเชื่อ SME และ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ รวมถึง Non-bank บางแห่ง ที่ยังไม่พร้อม แต่ อย่างไรก็ตาม ในช่วงตั้งแต่ มิ.ย.61 – มิ.ย.62 ให้ ธ.พ.ทดลองนำมาตรฐานบัญชีใหม่มาใช้ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนใช้จริง
ฝ่ายวิจัยยังยืนยันมุมมองเช่นเดิม คือ การตั้งสำรองฯ ในปี 2561 ยังเข้มงวด แม้ ส่วนใหญ่ได้เตรียมความพร้อมบ้างแล้ว แต่ภายใต้เกณฑ์ใหมที่เข้ม ผลกระทบจึงยังแปรปรวนได้ เช่น
1. การคำนวณอัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (EIR) ซึ่งต้องคำนวณ IRR ตลอดอายุสัญญา แต่ปัจจุบันคำนวณ ณ วันทำสัญญา ทำให้ดอกเบี้ยผันผวนตลอดทาง
2. การจัดประเภทรายการสินทรัพย์ทางการเงิน โดยเฉพาะเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นรายการที่มีการนำมาใช้ตกแต่งงบกำไรขาดทุน (P/L) เพราะเกณฑ์ปัจจุบันหากเป็นสินทรัพย์ที่ถือไว้เพื่อค้า (ระยะสั้น) การเปลี่ยนแปลงราคาหลักทรัพย์ตามตลาด จะบันทึกผ่านงบกำไรขาดทุน (P&L) แต่ถ้าเป็นหลักทรัพย์เพื่อขาย (ลงทุน) ต้องบันทึกผ่านงบกำไรเบ็ดเสร็จ (OCI) และจะรับรู้กำไรผ่าน P&L เมื่อขาย แต่มาตรฐานใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเงินลงทุนสั้น/ยาว ต้องเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งเพื่อป้องกันการแต่งงบฯ
3. การบัญชีป้องกันความเสี่ยง (hedge accounting) ปัจจุบันเป็นภาระหนี้สินที่บันทึกนอกงบดุล มาสะท้อนในงบการเงินมากขึ้น
ประเด็นเรื่องของการตั้งสำรองฯ จึงได้รวมไว้ในประมาณการแล้ว รวมถึงแนวโน้มรายได้ค่าธรรมเนียมฯ จากธุรกรรมโอนเงิน ชำระเงิน (ธ.พ.ใหญ่) ที่จะลดลงอย่างมีนัยฯ และเป็นผลทำให้ต้องปรับประมาณการกำไรของรายธ.พ. ลง นับจากต้น เม.ย. จึงยังให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาด และยังแนะนำลงทุนหุ้นายตัว BBL(FV@B220), TCAP(FV@B65)
ราคาน้ำมันทรงตัวสูง 70 เหรียญฯ แต่หุ้นน้ำมัน upside จำกัด
การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของสหรัฐต่อ อิหร่านในรอบนี้ (มีผลในอีก 180 วัน หรือภายใน 4 พ.ย. 2561) สร้างความกังวล Supply น้ำมันจะหายไป เพราะอิหร่านเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของกลุ่ม OPEC คือ ราววันละ 3.75 ล้านบาร์เรล ราว 11.7% ของกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC ทั้งหมด แต่ ผลกระทบด้าน Supply ที่หายไป อาจจะน้อยกว่าการคว่ำบาตรในปี 2555-2558 เพราะอะไร :
ในอดีต สหรัฐยังนำเข้าน้ำมันสูง จากที่ผลิตในประเทศราว 5.4 ล้านบาร์เรล/วัน แต่บริโภคน้ำมัน 20.7 ล้านบาร์เรล/วัน ทำให้ต้องนำเข้าราว 15.3 ล้านบาร์เรล/วัน แต่ปัจจุบัน สหรัฐสามารถผลิตน้ำมันดิบได้เพิ่มขึ้น ล่าสุดวันละ 11 ล้านบาร์เรล มากสุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากรัสเซีย และตั้งเป้า 11 ล้านบาร์เรลฯ ในปลายปีนี้ แต่ยังใช้น้ำมัน 19.8 ล้านบาร์เรล ทำให้มีการนำเข้าลดลงเหลือวันละ 9 ล้านบาร์เรลฯ (ดังรูป)
Dollar index ในอดีตนอ่อนค่าราว 12%(88 จุดกลางปี 2553 ลงมาต่ำสุดที่ 74 จุดใน กลางปี 2554) ขณะที่ปัจจุบัน Dollar index มีแนวโน้มแข็งค่าในระยะกลาง-ยาว ยังกดดันกรอบการเคลื่อนไหวราคาน้ำมันดิบโลก
ในอดีตพบว่า การคว่ำบาตร ทำให้อิหร่านส่งออกน้ำมันดิบในตลาดโลกน้อยลงราว 8 แสนบาร์เรล/วัน หรือราว 21% ของกำลังการผลิตต่อวัน แต่รอบนี้ผลกระทบน้อยกว่าและคาดว่า ราคาน้ำมันดูไบยังแกว่งอยู่ในกรอบ 70 เหรียญบาร์เรล (ytd65เหรียญฯ) ยกเว้น ปัญหาการสู้รบในตะวันออกกลางอาจจะหนุนน้ำมันขึ้นช่วงสั้น เท่านั้น ขณะที่ปัญหา Over Supply ยังมีอยู่ สะท้อนจากหลุมน้ำมันสหรัฐ ยังเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 6 สัปดาห์ ล่าสุดเพิ่ม 10 หลุม อยู่ที่ 844 หลุม(สูงสุดในรอบ 3 ปี)
ปรับลดกำไร และ FV ของ BLA กระทบจาก BBL ร่วมมือกับ AIA
ตามที่ฝ่ายวิจัยได้นำเสนอถึงผลบวกจากการที่ Bond yield รัฐบาลไทย อายุ 10 ปี ที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อ BLA ที่จะทำให้ภาระหนี้สินตามสัญญาประกันภัย (คิดลดตามวิธีมูลค่าปัจจุบัน) ที่จะต้องมีการสำรองเบี้ยฯ ลดลง ดังจะเห็นได้จาก BLA มีการบันทึกโอนกลับสำรองเบี้ยประกันชีวิตทั้งในงวด 4Q60 และ 1Q61 ที่ผ่านมาแล้วนั้น
อย่างไรก็ตาม ผลบวกดังกล่าวถูกหักล้างจากผลกระทบที่ BBL ได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับ AIA ในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันฯ ผ่านช่องทาง Bancassurance ซึ่ง BBL เริ่มเปิดทดลองจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไปแล้ว 40 สาขา ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ของ AIA มีความหลากหลายกว่า ให้ความคุ้มครองระยะยาว (whole life) ตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ขณะที่ผลิตภัณฑ์ของ BLA จะมีความหลากหลายน้อยกว่า และให้ความคุ้มครองระยะสั้น ต่ำกว่า 15 ปี ผลที่เกิดขึ้นคือ ยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตของ BLA ลดลงอย่างมีนัยฯ (คาดเกินครึ่ง) ของที่เคยจำหน่ายได้ โดยคาดว่าเป้าหมายเบี้ยปีแรกสำหรับปี 2561 น่าจะหดตัวกว่า 10%yoy จากเดิมที่คาดเติบโต 10-15% yoy
ฝ่ายวิจัยจึงปรับลดกำไรสุทธิปี 2561-62 ลดลงเฉลี่ย 12% จากเดิม เพื่อสะท้อนเบี้ยปีแรกที่ลดลง ข้างต้น หลังลดกำไรปี 2561-62 เติบโตลดลงเหลือ 10.5% yoy และ 13.0% yoy จากเดิม และ Fair Value ลดลงมาอยู่ที่ 38.90 บาท (เดิม 40.60 บาท) แม้จะยังแนะนำ ซื้อ แต่ด้วย sentiment เชิงลบดังกล่าว อีกทั้ง upside ที่เหลือเพียง 8% จึงแนะนำรอจังหวะเข้าลงทุนเมื่อราคาอ่อนตัว
การฟื้นตัวของดัชนีหุ้นไทยเมื่อวันศุกร์ เป็นเพราะ ภาครัฐ เห็นชอบให้ชะลอการใช้ IFRS 9 ออกไป 1 ปี เพื่อลดผลกระทบจากการชะลอปล่อยสินเชื่อ SME และ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ รวมถึง Non-bank บางแห่ง ที่ยังไม่พร้อม แต่ อย่างไรก็ตาม ในช่วงตั้งแต่ มิ.ย.61 – มิ.ย.62 ให้ ธ.พ.ทดลองนำมาตรฐานบัญชีใหม่มาใช้ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนใช้จริง
ฝ่ายวิจัยยังยืนยันมุมมองเช่นเดิม คือ การตั้งสำรองฯ ในปี 2561 ยังเข้มงวด แม้ ส่วนใหญ่ได้เตรียมความพร้อมบ้างแล้ว แต่ภายใต้เกณฑ์ใหมที่เข้ม ผลกระทบจึงยังแปรปรวนได้ เช่น
1. การคำนวณอัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (EIR) ซึ่งต้องคำนวณ IRR ตลอดอายุสัญญา แต่ปัจจุบันคำนวณ ณ วันทำสัญญา ทำให้ดอกเบี้ยผันผวนตลอดทาง
2. การจัดประเภทรายการสินทรัพย์ทางการเงิน โดยเฉพาะเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นรายการที่มีการนำมาใช้ตกแต่งงบกำไรขาดทุน (P/L) เพราะเกณฑ์ปัจจุบันหากเป็นสินทรัพย์ที่ถือไว้เพื่อค้า (ระยะสั้น) การเปลี่ยนแปลงราคาหลักทรัพย์ตามตลาด จะบันทึกผ่านงบกำไรขาดทุน (P&L) แต่ถ้าเป็นหลักทรัพย์เพื่อขาย (ลงทุน) ต้องบันทึกผ่านงบกำไรเบ็ดเสร็จ (OCI) และจะรับรู้กำไรผ่าน P&L เมื่อขาย แต่มาตรฐานใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเงินลงทุนสั้น/ยาว ต้องเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งเพื่อป้องกันการแต่งงบฯ
3. การบัญชีป้องกันความเสี่ยง (hedge accounting) ปัจจุบันเป็นภาระหนี้สินที่บันทึกนอกงบดุล มาสะท้อนในงบการเงินมากขึ้น
ประเด็นเรื่องของการตั้งสำรองฯ จึงได้รวมไว้ในประมาณการแล้ว รวมถึงแนวโน้มรายได้ค่าธรรมเนียมฯ จากธุรกรรมโอนเงิน ชำระเงิน (ธ.พ.ใหญ่) ที่จะลดลงอย่างมีนัยฯ และเป็นผลทำให้ต้องปรับประมาณการกำไรของรายธ.พ. ลง นับจากต้น เม.ย. จึงยังให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาด และยังแนะนำลงทุนหุ้นายตัว BBL(FV@B220), TCAP(FV@B65)
ราคาน้ำมันทรงตัวสูง 70 เหรียญฯ แต่หุ้นน้ำมัน upside จำกัด
การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของสหรัฐต่อ อิหร่านในรอบนี้ (มีผลในอีก 180 วัน หรือภายใน 4 พ.ย. 2561) สร้างความกังวล Supply น้ำมันจะหายไป เพราะอิหร่านเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของกลุ่ม OPEC คือ ราววันละ 3.75 ล้านบาร์เรล ราว 11.7% ของกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC ทั้งหมด แต่ ผลกระทบด้าน Supply ที่หายไป อาจจะน้อยกว่าการคว่ำบาตรในปี 2555-2558 เพราะอะไร :
ในอดีต สหรัฐยังนำเข้าน้ำมันสูง จากที่ผลิตในประเทศราว 5.4 ล้านบาร์เรล/วัน แต่บริโภคน้ำมัน 20.7 ล้านบาร์เรล/วัน ทำให้ต้องนำเข้าราว 15.3 ล้านบาร์เรล/วัน แต่ปัจจุบัน สหรัฐสามารถผลิตน้ำมันดิบได้เพิ่มขึ้น ล่าสุดวันละ 11 ล้านบาร์เรล มากสุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากรัสเซีย และตั้งเป้า 11 ล้านบาร์เรลฯ ในปลายปีนี้ แต่ยังใช้น้ำมัน 19.8 ล้านบาร์เรล ทำให้มีการนำเข้าลดลงเหลือวันละ 9 ล้านบาร์เรลฯ (ดังรูป)
Dollar index ในอดีตนอ่อนค่าราว 12%(88 จุดกลางปี 2553 ลงมาต่ำสุดที่ 74 จุดใน กลางปี 2554) ขณะที่ปัจจุบัน Dollar index มีแนวโน้มแข็งค่าในระยะกลาง-ยาว ยังกดดันกรอบการเคลื่อนไหวราคาน้ำมันดิบโลก
ในอดีตพบว่า การคว่ำบาตร ทำให้อิหร่านส่งออกน้ำมันดิบในตลาดโลกน้อยลงราว 8 แสนบาร์เรล/วัน หรือราว 21% ของกำลังการผลิตต่อวัน แต่รอบนี้ผลกระทบน้อยกว่าและคาดว่า ราคาน้ำมันดูไบยังแกว่งอยู่ในกรอบ 70 เหรียญบาร์เรล (ytd65เหรียญฯ) ยกเว้น ปัญหาการสู้รบในตะวันออกกลางอาจจะหนุนน้ำมันขึ้นช่วงสั้น เท่านั้น ขณะที่ปัญหา Over Supply ยังมีอยู่ สะท้อนจากหลุมน้ำมันสหรัฐ ยังเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 6 สัปดาห์ ล่าสุดเพิ่ม 10 หลุม อยู่ที่ 844 หลุม(สูงสุดในรอบ 3 ปี)
ปรับลดกำไร และ FV ของ BLA กระทบจาก BBL ร่วมมือกับ AIA
ตามที่ฝ่ายวิจัยได้นำเสนอถึงผลบวกจากการที่ Bond yield รัฐบาลไทย อายุ 10 ปี ที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อ BLA ที่จะทำให้ภาระหนี้สินตามสัญญาประกันภัย (คิดลดตามวิธีมูลค่าปัจจุบัน) ที่จะต้องมีการสำรองเบี้ยฯ ลดลง ดังจะเห็นได้จาก BLA มีการบันทึกโอนกลับสำรองเบี้ยประกันชีวิตทั้งในงวด 4Q60 และ 1Q61 ที่ผ่านมาแล้วนั้น
อย่างไรก็ตาม ผลบวกดังกล่าวถูกหักล้างจากผลกระทบที่ BBL ได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับ AIA ในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันฯ ผ่านช่องทาง Bancassurance ซึ่ง BBL เริ่มเปิดทดลองจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไปแล้ว 40 สาขา ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ของ AIA มีความหลากหลายกว่า ให้ความคุ้มครองระยะยาว (whole life) ตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ขณะที่ผลิตภัณฑ์ของ BLA จะมีความหลากหลายน้อยกว่า และให้ความคุ้มครองระยะสั้น ต่ำกว่า 15 ปี ผลที่เกิดขึ้นคือ ยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตของ BLA ลดลงอย่างมีนัยฯ (คาดเกินครึ่ง) ของที่เคยจำหน่ายได้ โดยคาดว่าเป้าหมายเบี้ยปีแรกสำหรับปี 2561 น่าจะหดตัวกว่า 10%yoy จากเดิมที่คาดเติบโต 10-15% yoy
ฝ่ายวิจัยจึงปรับลดกำไรสุทธิปี 2561-62 ลดลงเฉลี่ย 12% จากเดิม เพื่อสะท้อนเบี้ยปีแรกที่ลดลง ข้างต้น หลังลดกำไรปี 2561-62 เติบโตลดลงเหลือ 10.5% yoy และ 13.0% yoy จากเดิม และ Fair Value ลดลงมาอยู่ที่ 38.90 บาท (เดิม 40.60 บาท) แม้จะยังแนะนำ ซื้อ แต่ด้วย sentiment เชิงลบดังกล่าว อีกทั้ง upside ที่เหลือเพียง 8% จึงแนะนำรอจังหวะเข้าลงทุนเมื่อราคาอ่อนตัว
BGRIM และ RATCH มีโอกาสเข้า SET50 และ SET100 แนะสะสม
เริ่มเข้าใกล้ช่วงเวลาปรับเปลี่ยนหุ้นที่เข้า/ออก SET50 และ SET100 รอบ 2H61 (ปกติประกาศผลช่วงกลางเดือน มิ.ย.) ในเบื้องต้นฝ่ายวิจัยฯจึงได้ทำการคำนวณและคัดกรองหุ้นที่มีโอกาส เข้า – ออก ตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯกำหนด ได้หุ้นที่เข้า/ออก SET50 4 คู่ และหุ้นที่เข้า/ออก SET100 อีก 15 คู่ ดังตารางด้านล่าง (ข้อมูลที่ใช้คำนวณยังไม่ครบทั้ง 100% รวมถึงการคำนวณสุดท้ายแล้วยังขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของตลาดฯ เป็นสำคัญ จึงทำให้รายชื่อหุ้นบางตัวที่เข้า-ออก อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้)
กลยุทธ์การลงทุนยามตลาดหุ้นเผชิญกับแรงเทขายรับงบงวด 1Q61 แนะนำให้สะสมหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งที่มีโอกาสเข้าคำนวณทั้งใน SET50 และ100 ในรอบ 2H61 สูง คือ
BGRIM([email protected]) แนวโน้มการเติบโตยังสดใส ตามโครงการโรงไฟฟ้าในมือที่จะทยอยผลิตในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ (695 เมกะวัตต์) หนุนกำไรขึ้นทำ New high ต่อเนื่อง และยังเติบโตโดดเด่นเมื่อเทียบกับหุ้นโรงไฟฟ้าที่ฝ่ายวิจัยศึกษา อีกทั้งยังมีลุ้นเข้าคำนวณในดัชนี MSCI รอบ 1 มิ.ย. 61 สูง (ทราบผลในเช้าวันพรุ่งนี้) เนื่องจากมี Market Cap. ขนาดใหญ่ และยังผ่านเกณฑ์คัดเลือกเข้า SET50 ทุกข้อกำหนด
RATCH([email protected]) เป็นหุ้น Defensive ที่เห็นการเติบโตของกำไรต่อเนื่องในอีก 4 ปีข้างหน้า ตามโครงการที่อยู่ในมือ และในปีนี้ยังมีการรับรู้โครงการใหม่ในออสเตรเลียอีก 2 โครงการในงวด 4Q61 นอกจากนี้สามารถคาดหวังปันผลสม่ำเสมอถึง 4.7% ต่อปี และยังเป็นหุ้นที่ผันผวนต่ำกว่าตลาดฯ เนื่องจากมีค่า Beta เพียง 0.33
รายละเอียดอื่นๆ เช่น เกณฑ์การคัดเลือกหุ้นเข้า SET50-SET100, ความหมายของหุ้นสำรอง, Valuation ของหุ้นที่มีโอกาสเข้าคำนวณ เป็นต้น สามารถติดตามอ่านได้ในบทวิเคราะห์ Quantitative Analysis ในเช้าวันนี้
เริ่มเข้าใกล้ช่วงเวลาปรับเปลี่ยนหุ้นที่เข้า/ออก SET50 และ SET100 รอบ 2H61 (ปกติประกาศผลช่วงกลางเดือน มิ.ย.) ในเบื้องต้นฝ่ายวิจัยฯจึงได้ทำการคำนวณและคัดกรองหุ้นที่มีโอกาส เข้า – ออก ตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯกำหนด ได้หุ้นที่เข้า/ออก SET50 4 คู่ และหุ้นที่เข้า/ออก SET100 อีก 15 คู่ ดังตารางด้านล่าง (ข้อมูลที่ใช้คำนวณยังไม่ครบทั้ง 100% รวมถึงการคำนวณสุดท้ายแล้วยังขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของตลาดฯ เป็นสำคัญ จึงทำให้รายชื่อหุ้นบางตัวที่เข้า-ออก อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้)
กลยุทธ์การลงทุนยามตลาดหุ้นเผชิญกับแรงเทขายรับงบงวด 1Q61 แนะนำให้สะสมหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งที่มีโอกาสเข้าคำนวณทั้งใน SET50 และ100 ในรอบ 2H61 สูง คือ
BGRIM([email protected]) แนวโน้มการเติบโตยังสดใส ตามโครงการโรงไฟฟ้าในมือที่จะทยอยผลิตในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ (695 เมกะวัตต์) หนุนกำไรขึ้นทำ New high ต่อเนื่อง และยังเติบโตโดดเด่นเมื่อเทียบกับหุ้นโรงไฟฟ้าที่ฝ่ายวิจัยศึกษา อีกทั้งยังมีลุ้นเข้าคำนวณในดัชนี MSCI รอบ 1 มิ.ย. 61 สูง (ทราบผลในเช้าวันพรุ่งนี้) เนื่องจากมี Market Cap. ขนาดใหญ่ และยังผ่านเกณฑ์คัดเลือกเข้า SET50 ทุกข้อกำหนด
RATCH([email protected]) เป็นหุ้น Defensive ที่เห็นการเติบโตของกำไรต่อเนื่องในอีก 4 ปีข้างหน้า ตามโครงการที่อยู่ในมือ และในปีนี้ยังมีการรับรู้โครงการใหม่ในออสเตรเลียอีก 2 โครงการในงวด 4Q61 นอกจากนี้สามารถคาดหวังปันผลสม่ำเสมอถึง 4.7% ต่อปี และยังเป็นหุ้นที่ผันผวนต่ำกว่าตลาดฯ เนื่องจากมีค่า Beta เพียง 0.33
รายละเอียดอื่นๆ เช่น เกณฑ์การคัดเลือกหุ้นเข้า SET50-SET100, ความหมายของหุ้นสำรอง, Valuation ของหุ้นที่มีโอกาสเข้าคำนวณ เป็นต้น สามารถติดตามอ่านได้ในบทวิเคราะห์ Quantitative Analysis ในเช้าวันนี้
ต่างชาติซื้อหุ้นไทยวันแรก หลังขายต่อเนื่องมา 13 วัน
วันศุกร์ที่ผ่านมา แรงขายหุ้นจากต่างชาติลดลงและสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคกว่า 521 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิติดต่อกัน 8 วัน) โดยเป็นซื้อสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้นอินโดนีเซียยังถูกขายสุทธิ 31 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 14) ส่วนที่เหลืออีก 4 ประเทศถูกซื้อสุทธิ คือ ไต้หวันถูกซื้อสุทธิ 302 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 177 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 6 วัน), ฟิลิปปินส์ 11 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 4 วัน) และไทยที่ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิ 63 ล้านเหรียญ หรือ 2.01 พันล้านบาท (หลังจากขายสุทธิเป็นวันที่ 13 ด้วยมูลค่ารวมกว่า 2.84 หมื่นล้านบาท) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิ 1.08 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2)
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย ต่างชาติยังขายสุทธิ 574 ล้านบาท (เป็นการขายมาตลอด ตั้งแต่ช่วงกลางเดือน เม.ย. 61 จนถึงปัจจุบันราว 5.13 หมื่นล้านบาท) สงผลให้ Bond Yield 10 ปี ของไทยยังยืนอยู่ที่ระดับ 2.701% แต่ยังน้อยกว่า Bond Yield 10 ปี ของสหรัฐฯ ล่าสุดอยู่ที่ 2.970%
Sell on fact รับงบ 1Q61 ยังมีอยู่
ช่วงเวลาของการประกาศงบฯ 1Q61 ใกล้สิ้นสุด โดยสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายที่บริษัทจดทะเบียนต้องประกาศผลประกอบการงวด 1Q61 เช่นกัน ซึ่งคาดว่ายังมีแรงขายรับงบฯ และกดดัน SET ผันผวนมากยิ่งขึ้น โดยถึงเย็นวันศุกร์ พบว่ามี การประกาศงบ 1Q61 แล้วราว 270 บริษัท คิดเป็น 70% ของ Market Cap ทั้งตลาดฯ ทำกำไรสุทธิรวมกันได้ 2.40 แสนล้านบาท หากเปรียบเทียบเฉพาะบริษัทที่ประกาศแล้ว พบว่า มากกว่างวด 1Q60 ที่ทำกำไรสุทธิรวม 2.33 แสนล้านบาท และมากกว่า 4Q60 ที่มีกำไรสุทธิรวม 2.07 แสนล้านบาท (ขณะที่บริษัทที่อยู่ใน SET50 รายงานงบแล้ว 40 บริษัท) และหากนับผลการดำเนินงานเฉพาะภาคธุรกิจที่มิใช่ธนาคารพาณิชย์ (Real Sector) พบว่ากำไรสุทธิ 1Q61 รวมกันอยู่ที่ 1.88 แสนล้านบาท มากกว่า 1Q60 ที่ 1.81 แสนล้านบาท และ 4Q60 ที่ 2.08 แสนล้านบาท
ส่วนหุ้นที่รายงานงบ 1Q61 สรุปดังนี้คือ :
PTT (Switch: FV@B54) กำไรสุทธิงวด 1Q61 อยู่ที่ 3.98 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.5%qoq ตามคาด (คิดเป็น 28.1% ของประมาณการทั้งปี) เนื่องจากมี FX gain และไม่มีการบันทึกด้อยค่าสินทรัพย์ หากตัดรายการพิเศษกำไรปกติลดลง 4.0%qoq กดดันจากกำไรสต๊อกน้ำมันที่ลดลงอย่างมีนัย ส่วน 2Q61 จะยังโตได้ดีตามราคาน้ำมันที่สูงขึ้น แต่ภาพรวมธุรกิจยังไม่มีประเด็นใหม่ และยังคงประมาณการกำไรปกติในปี 2561 ที่เติบโต 13.1%yoy (ตามสมมติฐานราคาน้ำมันดิบอ้างอิงดูไบในปี 2561 และ 2562 ที่กำหนดไว้ที่ 65 และ 70 เหรียญฯต่อบาร์เรล และระยะยาวตั้งแต่ปี 2563 ที่ 75 เหรียญฯต่อบาร์เรล)
WHA (Buy: [email protected]) งบฯ สวย กำไรอยู่ที่ 780 ล้านบาท เติบโต 8.7 เท่าตัว YoY หนุนจากขายสินทรัยพ์เข้า HREIT ขณะที่รายได้ค่าเช่าและบริการลดลง 7% YoY ตามคาด ส่วนใน 2Q61 คาดกำไรอาจชะลอตัวหากไม่มีการโอนที่ดิน Big lot แต่เชื่อจะกลับมาโดดเด่น 2H61 และ Peak สุด ใน 4Q61ที่มีการขายทรัพย์เข้า REIT อีกครั้ง
PYLON (Buy: [email protected]) กำไรสุทธิงวด 1Q61 อยู่ที่ 71.3 ล้านบาท (+192%QoQ,+27%YoY) สูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากการรับรู้รายได้หลายโครงการใหญ่พร้อมกัน และนโยบายควบคุมค่าใช้จ่ายที่เข้มงวด สำหรับแนวโน้มผลประกอบการ 2Q61 อาจชะลอตัวจากผลกระทบวันหยุด แต่ทิศทางธุรกิจระยะยาวยังสดใส เพราะได้รับประโยชน์จากการเกิดขึ้นของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ส่งผลให้ประกอบการในช่วง 3 ปีจากนี้สร้างสถิติสูงสุดใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
OO8721
วันศุกร์ที่ผ่านมา แรงขายหุ้นจากต่างชาติลดลงและสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคกว่า 521 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิติดต่อกัน 8 วัน) โดยเป็นซื้อสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้นอินโดนีเซียยังถูกขายสุทธิ 31 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 14) ส่วนที่เหลืออีก 4 ประเทศถูกซื้อสุทธิ คือ ไต้หวันถูกซื้อสุทธิ 302 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 177 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 6 วัน), ฟิลิปปินส์ 11 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 4 วัน) และไทยที่ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิ 63 ล้านเหรียญ หรือ 2.01 พันล้านบาท (หลังจากขายสุทธิเป็นวันที่ 13 ด้วยมูลค่ารวมกว่า 2.84 หมื่นล้านบาท) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิ 1.08 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2)
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย ต่างชาติยังขายสุทธิ 574 ล้านบาท (เป็นการขายมาตลอด ตั้งแต่ช่วงกลางเดือน เม.ย. 61 จนถึงปัจจุบันราว 5.13 หมื่นล้านบาท) สงผลให้ Bond Yield 10 ปี ของไทยยังยืนอยู่ที่ระดับ 2.701% แต่ยังน้อยกว่า Bond Yield 10 ปี ของสหรัฐฯ ล่าสุดอยู่ที่ 2.970%
Sell on fact รับงบ 1Q61 ยังมีอยู่
ช่วงเวลาของการประกาศงบฯ 1Q61 ใกล้สิ้นสุด โดยสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายที่บริษัทจดทะเบียนต้องประกาศผลประกอบการงวด 1Q61 เช่นกัน ซึ่งคาดว่ายังมีแรงขายรับงบฯ และกดดัน SET ผันผวนมากยิ่งขึ้น โดยถึงเย็นวันศุกร์ พบว่ามี การประกาศงบ 1Q61 แล้วราว 270 บริษัท คิดเป็น 70% ของ Market Cap ทั้งตลาดฯ ทำกำไรสุทธิรวมกันได้ 2.40 แสนล้านบาท หากเปรียบเทียบเฉพาะบริษัทที่ประกาศแล้ว พบว่า มากกว่างวด 1Q60 ที่ทำกำไรสุทธิรวม 2.33 แสนล้านบาท และมากกว่า 4Q60 ที่มีกำไรสุทธิรวม 2.07 แสนล้านบาท (ขณะที่บริษัทที่อยู่ใน SET50 รายงานงบแล้ว 40 บริษัท) และหากนับผลการดำเนินงานเฉพาะภาคธุรกิจที่มิใช่ธนาคารพาณิชย์ (Real Sector) พบว่ากำไรสุทธิ 1Q61 รวมกันอยู่ที่ 1.88 แสนล้านบาท มากกว่า 1Q60 ที่ 1.81 แสนล้านบาท และ 4Q60 ที่ 2.08 แสนล้านบาท
ส่วนหุ้นที่รายงานงบ 1Q61 สรุปดังนี้คือ :
PTT (Switch: FV@B54) กำไรสุทธิงวด 1Q61 อยู่ที่ 3.98 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.5%qoq ตามคาด (คิดเป็น 28.1% ของประมาณการทั้งปี) เนื่องจากมี FX gain และไม่มีการบันทึกด้อยค่าสินทรัพย์ หากตัดรายการพิเศษกำไรปกติลดลง 4.0%qoq กดดันจากกำไรสต๊อกน้ำมันที่ลดลงอย่างมีนัย ส่วน 2Q61 จะยังโตได้ดีตามราคาน้ำมันที่สูงขึ้น แต่ภาพรวมธุรกิจยังไม่มีประเด็นใหม่ และยังคงประมาณการกำไรปกติในปี 2561 ที่เติบโต 13.1%yoy (ตามสมมติฐานราคาน้ำมันดิบอ้างอิงดูไบในปี 2561 และ 2562 ที่กำหนดไว้ที่ 65 และ 70 เหรียญฯต่อบาร์เรล และระยะยาวตั้งแต่ปี 2563 ที่ 75 เหรียญฯต่อบาร์เรล)
WHA (Buy: [email protected]) งบฯ สวย กำไรอยู่ที่ 780 ล้านบาท เติบโต 8.7 เท่าตัว YoY หนุนจากขายสินทรัยพ์เข้า HREIT ขณะที่รายได้ค่าเช่าและบริการลดลง 7% YoY ตามคาด ส่วนใน 2Q61 คาดกำไรอาจชะลอตัวหากไม่มีการโอนที่ดิน Big lot แต่เชื่อจะกลับมาโดดเด่น 2H61 และ Peak สุด ใน 4Q61ที่มีการขายทรัพย์เข้า REIT อีกครั้ง
PYLON (Buy: [email protected]) กำไรสุทธิงวด 1Q61 อยู่ที่ 71.3 ล้านบาท (+192%QoQ,+27%YoY) สูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากการรับรู้รายได้หลายโครงการใหญ่พร้อมกัน และนโยบายควบคุมค่าใช้จ่ายที่เข้มงวด สำหรับแนวโน้มผลประกอบการ 2Q61 อาจชะลอตัวจากผลกระทบวันหยุด แต่ทิศทางธุรกิจระยะยาวยังสดใส เพราะได้รับประโยชน์จากการเกิดขึ้นของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ส่งผลให้ประกอบการในช่วง 3 ปีจากนี้สร้างสถิติสูงสุดใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
OO8721