- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 09 May 2018 17:28
- Hits: 537
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ >> Earnings and Laggard Play
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET ปรับตัวลงแรงผิดคาดนำโดยหุ้น Big Cap หลายตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี เนื่องจากไม่ว่าสหรัฐฯจะถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านหรือไม่ ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสที่จะพักฐานระยะสั้นค่อนข้างแน่ นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิในตลาดหุ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 12 อีก 2.9 พันลบ. (และ Short ใน Index Futures สูงถึง 1.6 หมื่นสัญญา) ส่วนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิราว 2.3 ลบ.
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET Index ยังคงอยู่ในช่วงของการแกว่งพักตัว โดยกลุ่มพลังงานอาจหนุนตลาดได้บ้างหลังถูกขายหนักวานนี้ โดยสหรัฐฯถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์และคว่ำบาตรอิหร่านรอบใหม่ซึ่งแม้ราคาน้ำมันจะถูก Sell on Fact ช่วงแรก แต่ดีดกลับไปยืนเหนือระดับ 70 เหรียญต่อบาร์เรลได้อีกครั้ง ขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน 1Q18 ที่จะประกาศออกมาโดยรวมยังไม่ได้สร้าง Surprise ในเชิงบวกอย่างมีนัยยะ จึงยังมองกรอบการบวกของ SET ยังจำกัดบริเวณ 1,770-1,780 จุด
กลยุทธ์ : เก็งกำไรหุ้นที่ Laggard และมีกำไร 1Q18 แข็งแกร่ง
หุ้นเด่นเดือน พ.ค. : BEM, CHG, EA, SC, THANI
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$277ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากไต้หวัน US$111ล้าน และไทย US$90ล้าน ไม่มีประเทศใดที่มีเงินทุนไหลเข้า แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคหลังสหรัฐประกาศมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่ออิหร่าน
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> RS <<
แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 35 บาท
ราคาหุ้น -11% MTD จากข่าวทางการจับสำอางผิดกฎหมาย และกสทช.ไม่ให้โฆษณาสินค้าไม่มีอย. ซึ่งสินค้าของ RS ไม่มีปัญหา แต่อาจต้องปรับโฆษณาอาหารเสริมบางตัว และปรับกลยุทธ์มาส่งเสริมการขายเครื่องสำอางมากขึ้น
แนวโน้มกำไรปกติ 1Q18 อ่อนลง Q-Q แต่เพิ่มสูง 95% Y-Y กำไรอ่อนลง Q-Q จากรายได้ธุรกิจทีวีดิจิตอลได้รับผลกระทบจากโฆษณาสื่อทีวีที่ซบเซา แต่คาดผลประกอบการตั้งแต่ 2Q18 สดใสขึ้น ขณะที่ ธุรกิจ MPC ยังแกร่งคาด +19% Q-Q, +179% Y-Y
ราคาหุ้นลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน ราว 10% ซึ่งเป็นระดับที่มักมีการฟื้นตัวเมื่อเทียบกับอดีต อีกทั้ง ยังเริ่มมีแรงซื้อคืนเมื่อลงแตะเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันวานนี้ด้วย
กลยุทธ์วันนี้ >> Earnings and Laggard Play
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET ปรับตัวลงแรงผิดคาดนำโดยหุ้น Big Cap หลายตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี เนื่องจากไม่ว่าสหรัฐฯจะถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านหรือไม่ ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสที่จะพักฐานระยะสั้นค่อนข้างแน่ นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิในตลาดหุ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 12 อีก 2.9 พันลบ. (และ Short ใน Index Futures สูงถึง 1.6 หมื่นสัญญา) ส่วนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิราว 2.3 ลบ.
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET Index ยังคงอยู่ในช่วงของการแกว่งพักตัว โดยกลุ่มพลังงานอาจหนุนตลาดได้บ้างหลังถูกขายหนักวานนี้ โดยสหรัฐฯถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์และคว่ำบาตรอิหร่านรอบใหม่ซึ่งแม้ราคาน้ำมันจะถูก Sell on Fact ช่วงแรก แต่ดีดกลับไปยืนเหนือระดับ 70 เหรียญต่อบาร์เรลได้อีกครั้ง ขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน 1Q18 ที่จะประกาศออกมาโดยรวมยังไม่ได้สร้าง Surprise ในเชิงบวกอย่างมีนัยยะ จึงยังมองกรอบการบวกของ SET ยังจำกัดบริเวณ 1,770-1,780 จุด
กลยุทธ์ : เก็งกำไรหุ้นที่ Laggard และมีกำไร 1Q18 แข็งแกร่ง
หุ้นเด่นเดือน พ.ค. : BEM, CHG, EA, SC, THANI
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$277ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากไต้หวัน US$111ล้าน และไทย US$90ล้าน ไม่มีประเทศใดที่มีเงินทุนไหลเข้า แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคหลังสหรัฐประกาศมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่ออิหร่าน
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> RS <<
แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 35 บาท
ราคาหุ้น -11% MTD จากข่าวทางการจับสำอางผิดกฎหมาย และกสทช.ไม่ให้โฆษณาสินค้าไม่มีอย. ซึ่งสินค้าของ RS ไม่มีปัญหา แต่อาจต้องปรับโฆษณาอาหารเสริมบางตัว และปรับกลยุทธ์มาส่งเสริมการขายเครื่องสำอางมากขึ้น
แนวโน้มกำไรปกติ 1Q18 อ่อนลง Q-Q แต่เพิ่มสูง 95% Y-Y กำไรอ่อนลง Q-Q จากรายได้ธุรกิจทีวีดิจิตอลได้รับผลกระทบจากโฆษณาสื่อทีวีที่ซบเซา แต่คาดผลประกอบการตั้งแต่ 2Q18 สดใสขึ้น ขณะที่ ธุรกิจ MPC ยังแกร่งคาด +19% Q-Q, +179% Y-Y
ราคาหุ้นลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน ราว 10% ซึ่งเป็นระดับที่มักมีการฟื้นตัวเมื่อเทียบกับอดีต อีกทั้ง ยังเริ่มมีแรงซื้อคืนเมื่อลงแตะเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันวานนี้ด้วย
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) MTC กำไรดีกว่าที่เราและตลาดคาดไว้ที่ 834 ลบ. +12% Q-Q และ+55% Y-Y เนื่องจากรายได้รวมที่สูงกว่าคาด ทั้งรายได้ดอกเบี้ยรับและรายได้ค่าธรรมเนียม ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยทรงตัวที่ 20% แต่ Loan per branch ชะลอลงมาอยู่ที่ 26.7 ลบ.ต่อสาขาต่อปี จากเดิม 28 ลบ. ต่อสาขาต่อปี เนื่องจากการเร่งการเปิดสาขาใหม่ตั้งแต่ต้นปีราว 214 สาขา YTD (หรือครึ่งหนึ่งของเป้าหมายทั้งปี 400 สาขา) NPL Ratio ทรงตัวที่ 1.29% Coverage ratio ยังแข็งแกร่ง คงคำแนะนำซื้อ ไตรมาสที่เหลือของปีน่าจะยังรักษากำไรสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง คงราคาเหมาะสม 51 บาท
(+) SYNEX กำไรสุทธิ 1Q18 ทุบสถิติสูงสุดใหม่ที่ 210 ลบ. +28% Q-Q, +41% Y-Y ที่เราประทับใจมากคือ อัตรากำไรสุทธิเร่งตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็น 2.5% ดีกว่าค่าเฉลี่ยผู้ค้าส่งสินค้าไอทีทั่วโลกที่ทำได้เพียง 1.5% ขณะที่ กระแสเงินสดพลิกเป็นบวกมากถึง 308 ลบ. ซึ่งแม้ส่วนหนึ่งจะได้แรงหนุนจากบาทแข็ง แต่การบริหารคลังสินค้าและเงินทุนหมุนเวียนก็ถือว่ามีส่วนอย่างมากในไตรมาสนี้ และด้วยกำไร 1Q18 ที่คิดเป็น 28% ของคาดการณ์กำไรทั้งปีที่ 750 ลบ. +20% Y-Y ซึ่งปกติกำไรไตรมาส 1 จะคิดเป็นเพียง 24% ของทั้งปี ทำให้ประมาณการของเรามี Upside เรายังคงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 20 บาท
(0) SAMART แนวโน้มกำไรปี 2018 คาดว่าจะพลิกจากขาดทุนหนักในปี 2017 มามีกำไรราว 200 ลบ. แต่ยังเป็นระดับที่ไม่น่าพอใจหากเทียบกับอดีต แม้ธุรกิจ Non-Listed และ SAMTEL จะเติบโตและ SDC ตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ลดลง แต่ผลการดำเนินงานปกติของ SDC คาดว่ายังขาดทุนเพราะอยู่ระหว่างเปลี่ยนธุรกิจ โดยภาพรวมจึงยังไม่น่าสนใจนัก เราแนะนำเพียงเก็งกำไร SAMART (ราคาเหมาะสม 10 บาท) SAMTEL (ราคาเหมาะสมราว 11.20 บาท) ส่วน SDC ยังหลีกเลี่ยง
(-) KCE กำไรสุทธิ 1Q18 ยังแย่ต่ออยู่ที่ 517 ลบ. -13.5% Q-Q, -22% Y-Y จากเงินบาทแข็ง ราคาทองแดงแพง และราคาขายปรับลง 2% กดดันอัตรากำไรขั้นต้นลดลงหนักต่อเนื่องเหลือ 25.8% จาก 30.7% ใน 1Q17 กำไร 1Q18 คิดเป็น 19% ของประมาณการทั้งปี เราอยู่ระหว่าง update ข้อมูลเพิ่มเติมกับผู้บริหารในประชุมนักวิเคราะห์วันนี้ เบื้องต้นยังคงราคาเป้าหมายที่ 79 บาท ราคาหุ้นปรับลงจากที่เราแนะนำขาย ทำให้ upside กว้างขึ้น จึงปรับขึ้นเป็นถือ
(+) PCSGH ได้งานผลิตชิ้นส่วนให้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มอีก 4 พันลบ. อายุโครงการ 5 ปี เป็นโครงการต่อเนื่องจากกลุ่มลูกค้าเดิม (ในยุโรป) ที่เคยได้รับปลายปีก่อน 2 พันลบ. (รวมเป็น 6 พันลบ.) ถือเป็นปัจจัยบวกต่อการเติบโตระยะยาว ซึ่งจะทำให้ PCSGH ฉีกหนีภาวะอิ่มตัวของกลุ่มยานยนต์แบบดั้งเดิมได้ตั้งแต่ปี 2020 และช่วยลดความกังวลต่อการหากำไรในโรงงานยุโรปที่เพิ่งลงทุนไป (เราคาดว่าโครงการหลังจะเพิ่มมูลค่าอีกราว 3-4 บาทหุ้น) ขณะที่ กำไร 1Q18 เราคาดโต 13%Q-Q, 19%Y-Y อยู่ที่ 180 ลบ. คงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 13 บาท
(+) ATP30 กำไร 1Q18 ดีตามคาด ทรงตัว Q-Q แต่โตแรง 446% Y-Y (จากฐานที่ต่ำ) อยู่ที่ 10.5 ลบ. หนุนจากรายได้ และอัตรากำไรขั้นต้นที่ทำระดับสูงสุดใหม่พร้อมกัน ขณะที่โมเมนตัมกำไรจะโดดเด่นขึ้นอีกใน 2Q18 จากการให้บริการลูกค้าใหม่เต็มไตรมาส คงคำแนะนำซือ ราคาเป้าหมาย 2.30 บาท
(+) MTC กำไรดีกว่าที่เราและตลาดคาดไว้ที่ 834 ลบ. +12% Q-Q และ+55% Y-Y เนื่องจากรายได้รวมที่สูงกว่าคาด ทั้งรายได้ดอกเบี้ยรับและรายได้ค่าธรรมเนียม ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยทรงตัวที่ 20% แต่ Loan per branch ชะลอลงมาอยู่ที่ 26.7 ลบ.ต่อสาขาต่อปี จากเดิม 28 ลบ. ต่อสาขาต่อปี เนื่องจากการเร่งการเปิดสาขาใหม่ตั้งแต่ต้นปีราว 214 สาขา YTD (หรือครึ่งหนึ่งของเป้าหมายทั้งปี 400 สาขา) NPL Ratio ทรงตัวที่ 1.29% Coverage ratio ยังแข็งแกร่ง คงคำแนะนำซื้อ ไตรมาสที่เหลือของปีน่าจะยังรักษากำไรสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง คงราคาเหมาะสม 51 บาท
(+) SYNEX กำไรสุทธิ 1Q18 ทุบสถิติสูงสุดใหม่ที่ 210 ลบ. +28% Q-Q, +41% Y-Y ที่เราประทับใจมากคือ อัตรากำไรสุทธิเร่งตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็น 2.5% ดีกว่าค่าเฉลี่ยผู้ค้าส่งสินค้าไอทีทั่วโลกที่ทำได้เพียง 1.5% ขณะที่ กระแสเงินสดพลิกเป็นบวกมากถึง 308 ลบ. ซึ่งแม้ส่วนหนึ่งจะได้แรงหนุนจากบาทแข็ง แต่การบริหารคลังสินค้าและเงินทุนหมุนเวียนก็ถือว่ามีส่วนอย่างมากในไตรมาสนี้ และด้วยกำไร 1Q18 ที่คิดเป็น 28% ของคาดการณ์กำไรทั้งปีที่ 750 ลบ. +20% Y-Y ซึ่งปกติกำไรไตรมาส 1 จะคิดเป็นเพียง 24% ของทั้งปี ทำให้ประมาณการของเรามี Upside เรายังคงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 20 บาท
(0) SAMART แนวโน้มกำไรปี 2018 คาดว่าจะพลิกจากขาดทุนหนักในปี 2017 มามีกำไรราว 200 ลบ. แต่ยังเป็นระดับที่ไม่น่าพอใจหากเทียบกับอดีต แม้ธุรกิจ Non-Listed และ SAMTEL จะเติบโตและ SDC ตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ลดลง แต่ผลการดำเนินงานปกติของ SDC คาดว่ายังขาดทุนเพราะอยู่ระหว่างเปลี่ยนธุรกิจ โดยภาพรวมจึงยังไม่น่าสนใจนัก เราแนะนำเพียงเก็งกำไร SAMART (ราคาเหมาะสม 10 บาท) SAMTEL (ราคาเหมาะสมราว 11.20 บาท) ส่วน SDC ยังหลีกเลี่ยง
(-) KCE กำไรสุทธิ 1Q18 ยังแย่ต่ออยู่ที่ 517 ลบ. -13.5% Q-Q, -22% Y-Y จากเงินบาทแข็ง ราคาทองแดงแพง และราคาขายปรับลง 2% กดดันอัตรากำไรขั้นต้นลดลงหนักต่อเนื่องเหลือ 25.8% จาก 30.7% ใน 1Q17 กำไร 1Q18 คิดเป็น 19% ของประมาณการทั้งปี เราอยู่ระหว่าง update ข้อมูลเพิ่มเติมกับผู้บริหารในประชุมนักวิเคราะห์วันนี้ เบื้องต้นยังคงราคาเป้าหมายที่ 79 บาท ราคาหุ้นปรับลงจากที่เราแนะนำขาย ทำให้ upside กว้างขึ้น จึงปรับขึ้นเป็นถือ
(+) PCSGH ได้งานผลิตชิ้นส่วนให้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มอีก 4 พันลบ. อายุโครงการ 5 ปี เป็นโครงการต่อเนื่องจากกลุ่มลูกค้าเดิม (ในยุโรป) ที่เคยได้รับปลายปีก่อน 2 พันลบ. (รวมเป็น 6 พันลบ.) ถือเป็นปัจจัยบวกต่อการเติบโตระยะยาว ซึ่งจะทำให้ PCSGH ฉีกหนีภาวะอิ่มตัวของกลุ่มยานยนต์แบบดั้งเดิมได้ตั้งแต่ปี 2020 และช่วยลดความกังวลต่อการหากำไรในโรงงานยุโรปที่เพิ่งลงทุนไป (เราคาดว่าโครงการหลังจะเพิ่มมูลค่าอีกราว 3-4 บาทหุ้น) ขณะที่ กำไร 1Q18 เราคาดโต 13%Q-Q, 19%Y-Y อยู่ที่ 180 ลบ. คงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 13 บาท
(+) ATP30 กำไร 1Q18 ดีตามคาด ทรงตัว Q-Q แต่โตแรง 446% Y-Y (จากฐานที่ต่ำ) อยู่ที่ 10.5 ลบ. หนุนจากรายได้ และอัตรากำไรขั้นต้นที่ทำระดับสูงสุดใหม่พร้อมกัน ขณะที่โมเมนตัมกำไรจะโดดเด่นขึ้นอีกใน 2Q18 จากการให้บริการลูกค้าใหม่เต็มไตรมาส คงคำแนะนำซือ ราคาเป้าหมาย 2.30 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
10 พ.ค.- สหรัฐฯ: อัตราเงินเฟ้อ (เม.ย.)
- อังกฤษ: ประชุม MPC คาดคงดอกเบี้ยที่ 0.5%
11 พ.ค.- สหรัฐฯ: ถ้อยแถลงของประธาน ECB
12 พ.ค.- สหรัฐฯ: พิจารณามาตรการคว่ำบาตรอิหร่านรอบใหม่
21 พ.ค.- ไทย: 1Q18 GDP
23 พ.ค.- ไทย: ศาลรัฐธรรมนูญนัดลงมติ กม. ลูก เลือกตั้ง ส.ว. และ ส.ส.
0) ตลาดหุ้นสหรัฐขยับเพียงเล็กน้อย หลังการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวนเนื่องจากสหรัฐตัดสินใจถอนตัวออกจากข้อตกลงกับอิหร่าน
(0) แม้ว่าตลาดจะได้รับข่าวดีจากการควบรวมกิจการ หลังบริษัททาเคดา ฟาร์มาซูติคอลบรรลุข้อตกลงในการซื้อบริษัทไชร์ แต่ก็ถูกหักล้างด้วยข่าวการถอนตัวของทางสหรัฐ
(0) ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวผสมผสาน แม้ว่าตัวเลขการค้าจากประเทศจีนโดยเฉพาะการส่งออก ออกมามากกว่าที่ตลาดคาดการไว้ ในขณะที่ในสัปดาห์หน้าต้องคอยดูผลการเจรจาทางการค้ารอบใหม่ระหว่างจีนกับสหรัฐ หลังจากการเจรจาก่อนหน้ายังไม่มีความคืบหน้า
() ค่าเงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเงินบาท ล่าสุดเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 31.90-32.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. เมื่อคืนนี้ปรับตัวลดลง 1.67 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 69.06 ดอลลาร์/บาเรลล์ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเช้านี้กลับมายืนอยู่ที่ประมาณ 70.33 ดอลลาร์/บาเรลล์อีกครั้ง
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. ลดลง 0.40 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1,313.70 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังแรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์
Contact person : Jitra Amornthum Register : 014530
Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com
FB : FINNANSIA SYRUS SECURITIES LINE : @fnsyrus
10 พ.ค.- สหรัฐฯ: อัตราเงินเฟ้อ (เม.ย.)
- อังกฤษ: ประชุม MPC คาดคงดอกเบี้ยที่ 0.5%
11 พ.ค.- สหรัฐฯ: ถ้อยแถลงของประธาน ECB
12 พ.ค.- สหรัฐฯ: พิจารณามาตรการคว่ำบาตรอิหร่านรอบใหม่
21 พ.ค.- ไทย: 1Q18 GDP
23 พ.ค.- ไทย: ศาลรัฐธรรมนูญนัดลงมติ กม. ลูก เลือกตั้ง ส.ว. และ ส.ส.
0) ตลาดหุ้นสหรัฐขยับเพียงเล็กน้อย หลังการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวนเนื่องจากสหรัฐตัดสินใจถอนตัวออกจากข้อตกลงกับอิหร่าน
(0) แม้ว่าตลาดจะได้รับข่าวดีจากการควบรวมกิจการ หลังบริษัททาเคดา ฟาร์มาซูติคอลบรรลุข้อตกลงในการซื้อบริษัทไชร์ แต่ก็ถูกหักล้างด้วยข่าวการถอนตัวของทางสหรัฐ
(0) ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวผสมผสาน แม้ว่าตัวเลขการค้าจากประเทศจีนโดยเฉพาะการส่งออก ออกมามากกว่าที่ตลาดคาดการไว้ ในขณะที่ในสัปดาห์หน้าต้องคอยดูผลการเจรจาทางการค้ารอบใหม่ระหว่างจีนกับสหรัฐ หลังจากการเจรจาก่อนหน้ายังไม่มีความคืบหน้า
() ค่าเงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเงินบาท ล่าสุดเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 31.90-32.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. เมื่อคืนนี้ปรับตัวลดลง 1.67 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 69.06 ดอลลาร์/บาเรลล์ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเช้านี้กลับมายืนอยู่ที่ประมาณ 70.33 ดอลลาร์/บาเรลล์อีกครั้ง
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. ลดลง 0.40 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1,313.70 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังแรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์
Contact person : Jitra Amornthum Register : 014530
Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com
FB : FINNANSIA SYRUS SECURITIES LINE : @fnsyrus
OO8555