- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 07 May 2018 17:45
- Hits: 3471
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ตัวเลขจ้างงานสหรัฐอ่อนกว่าคาด”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ต่างประเทศ – ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯออกมาอ่อนกว่าคาด จึงลดความกังวลว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ แต่ตัวเลขอัตราการว่างงานกลับมาต่ำกว่าคาด และตลาดยังให้ความสนใจการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่ล่าสุดผลประชุมออกมายังไม่ชัดเจน มีทั้งเรื่องที่เห็นพ้องกัน และบางส่วนยังขัดแย้งกัน
ในประเทศ – SET Index วันศุกร์ปรับลงถึง 10.93 จุดปิดที่ 1779.87 จุด มีแรงขายกลุ่มพลังงานและธนาคาร เช่นเคยนลท.ต่างชาติยังขายสุทธิ 4.2 พันลบ. รายย่อยกลับมาซื้อสุทธินำ 5.0 พันลบ. ดัชนีมีทิศทางแกว่งลง คล้ายกับเพื่อนบ้าน จากปัจจัยต่างประเทศข้างต้น คาดว่าดัชนีฯระยะสั้นเป็นบวกจากตัวเลขจ้างงานที่ออกมาต่ำกว่าคาด แต่ยังต้องติดตามเรื่องการกีดกันทางการค้า และทรัมป์กับการคว่ำบาตรอิหร่านซึ่งจะมีผลกับราคาน้ำมัน ช่วงนี้ยังติดตามรายงานกำไรบจ.งวด 1Q61 ซึ่งจะทยอยออกมาถึงกลางเดือนพ.ค. มีการเปรียบเทียบกับประมาณการ (Preview) ที่ระยะนี้มีการรายงานออกมาต่อเนื่อง ในสัปดาห์นี้ กลยุทธ์เน้นหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ ระยะสั้นมีกำไร 1Q61 ออกมาดี หรือมี Catalyst เฉพาะตัว ตามบทวิเคราะห์ DBS
Update กลุ่มและหุ้น : SPALI –คาดการณ์กำไรหลัก 1Q61 ออกมาสดใสเป็น 1.0 พันล้านบาทเทียบ y-o-y (+48% y-o-y, -40% q-o-q) แรงหนุนนำมาจากรายได้จากการโอนที่สูงเป็น 4.5 พันล้านบาท เมื่อเทียบ y-o-y ไม่มีคอนโดใหม่สร้างเสร็จมาโอนไตรมาสนี้ แต่รายได้ส่วนใหญ่มาจากแนวราบ อีกทั้งยอดขาย (Presales) 1Q61 แข็งแกร่ง ทำยอดสูงสุดไตรมาส 1 เป็นประวัติการณ์ แม้ไม่มีการเปิดขายคอนโดใหม่ เป็น 8.8 พันล้านบาท (+17% y-o-y, +56% q-o-q) คงคำแนะนำ ซื้อ จัดให้เป็นหนึ่งใน Top Pick หุ้นกลุ่มที่อยู่อาศัย ราคาพื้นฐานเป็น 26.40 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 61 ที่ 9.0 เท่า ราคาปิดมีส่วนเพิ่ม 12%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบ คาดตลาดฯสัปดาห์นี้มีการแกว่งแบบลง เพราะระยะกลางมีสภาวะ Overbought+Divergence ซื้อใหม่เน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1790-1800, 1810 Stop loss ถ้าหลุด 1779 (SET ปิดที่ 1779.87) โดยมีแนวรับ 1760-1750
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น EPG, SEAFCO, SPALI, GULF, PTL, GLOBAL, MAJOR, COM7 ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ BEM, CPALL, GOLD หุ้นที่หลุด List TFG, TPIPP, HMPRO, AOT, AAV, CKP, CENTEL, UTP, CHOW และที่ให้หาจังหวะ Take profit เป็น ORI, CHOW
ปัจจัยต่างประเทศ
+/- ตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯอ่อนกว่าคาด แต่อัตราว่างงานลดลง
# กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนเม.ย. โดยเพิ่มขึ้นเพียง 164,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 192,000 ตำแหน่ง หลังจากที่เพิ่มขึ้น 135,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ส่วนอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 3.9% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2543 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 4.0%
# ข้อดีคือ ช่วยลดความกังวลเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยถึง 4 ครั้งในปีนี้ แต่ตัวเลขอัตราการว่างงานก็ยังต่ำกว่าคาด แสดงว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯก็ยังมีความแข็งแกร่งอยู่ เรื่องข้างต้นจึงเป็นปัจจัยบวกกับ SET ไม่ถึงกับเต็มที่นัก
•/- ศุกร์ที่แล้วเสร็จสิ้นการเจรจาการค้าสหรัฐฯกับจีน ไม่มีการเปิดเผยผลการเจรจานัก
# สำนักข่าวซินหัวของทางการจีน รายงานว่า เจ้าหน้าที่จีนและสหรัฐสามารถบรรลุฉันทามติร่วมกันในบางประเด็นอย่างไรก็ดี ทั้งสองฝ่ายยังคงมีความเห็นที่ไม่ตรงกันค่อนข้างมากเกี่ยวกับประเด็นอื่นๆ แต่ก็เห็นพ้องกันว่าจะมีการแก้ไขความขัดแย้งทางการค้าผ่านทางการเจรจา
-ADB แสดงความกังวลสงครามการค้าสหรัฐฯ จะกระทบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
# ที่ประชุมประจำปีของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) ที่กรุงมะนิลาในวันพฤหัสฯ เศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่ในเอเชียจะได้รับผลกระทบรุนแรง ถ้าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้าตามคำขู่ที่จะเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าจีนที่มีมูลค่ารวม 150,000 ล้านดอลลาร์ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือว่ามีผลประโยชน์ส่วนได้ส่วนเสียเป็นอย่างมากในกรณีที่ทรัมป์คิดจะสั่งเก็บภาษีนำเข้าสินค้าต่างๆ เพราะประเทศเหล่านี้มีส่วนในการผลิตสินค้าของจีนในทางอ้อม ก่อนที่จะถูกส่งสินค้าเหล่านี้ไปขายในสหรัฐ
# ซิน ยัง ปาร์ค ผู้อำนวยการฝ่ายความร่วมมือและบูรณาการในภูมิภาคเอเชียของ ADB กล่าวว่า ถ้าการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงประมาณ 1% เพราะผลจากการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐ มันจะส่งผลกระทบโดยลดการขยายตัวของ GDP ในประเทศที่เหลือของเอเชียลงไปประมาณ 0.3%
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์สหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก หุ้นเทคโนโลยีโดดเด่น
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,262.51 จุด เพิ่มขึ้น 332.36 จุด หรือ +1.39% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,663.42 จุด เพิ่มขึ้น 33.69 จุด หรือ +1.28% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,209.62 จุด เพิ่มขึ้น 121.47 จุด หรือ +1.71%
# ตลาดได้แรงหนุนจากการที่หุ้นแอปเปิล ซึ่งเป็น 1 ในหุ้น 30 ตัวของดัชนีดาวโจนส์ ทะยานขึ้นถึง 3.92% หลังมีรายงานว่าบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ ของนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีชาวสหรัฐ ได้ทุ่มเงินซื้อหุ้นของบริษัทแอปเปิลมากถึง 75 ล้านหุ้นในไตรมาสแรกของปีนี้ จากเดิมที่มีอยู่แล้วราว 165.3 ล้านหุ้น
+ ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคาปรับขึ้น คาดสหรัฐฯคว่ำบาตรอิหร่าน
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย เพิ่มขึ้น 1.29 ดอลลาร์ หรือ 1.9% ปิดที่ 69.72 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 1.25 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 74.87 ดอลลาร์/บาร์เรล
# คาดการณ์กันว่า สหรัฐอาจใช้มาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่ออิหร่าน โดยนักลงทุนจับตาดูท่าทีของประธานาธิบดีโดนัดล์ทรัมป์ซึ่งมีเวลาจนถึงวันที่ 12 พ.ค.นี้ว่าจะถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ชาติมหาอำนาจทำไว้กับอิหร่านหรือไม่ โดยหาก ทรัมป์ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงดังกล่าว ก็จะปูทางให้สหรัฐทำการคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่ ซึ่งจะทำให้อิหร่านไม่สามารถส่งออกน้ำมันสู่ตลาด และจะเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น
+ ภาวะตลาดทองคำ : เพิ่มเล็กน้อย ขานรับตัวเลขจ้างงานน้อยกว่าคาด
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 2 ดอลลาร์ หรือ 0.15% ปิดที่ 1,314.7 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเล็กน้อยเมื่อวันศุกร์ (4 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนได้หันมาซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนเม.ย.
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+/• CPT เผยผู้ถือหุ้นใหญ่ 4 รายแบ่งขายหุ้นรวม 6.22% หวังช่วยเพิ่มสภาพคล่องซื้อขายหุ้นในตลาด
# แจ้งว่าตามที่ปรากฏในรายการซื้อขายหุ้น CPT ผ่านระบบการซื้อขายของการตลาดหลักทรัพย์บนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) จำนวน 56,000,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 6.22 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท โดยขายในราคาหุ้น 2.30 บาท คิดเป็นเงินทั้งสิ้นรวม 128.8 ล้านบาท โดยรายการดังกล่าวเกิดจากการขายหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ซึ่งเป็นผู้บริหารของบริษัท และผู้ที่มีความสัมพันธ์รวม 4 ราย เพื่อเพิ่ม สภาพคล่องของการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยรายการดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างการจัดการ และนโยบายการดำเนินธุรกิจแต่อย่างใด
# ราคาที่ซื้อขายสูงกว่าราคาปิดวันศุกร์ที่ 2.14 บาท อยู่ 7.5% จึงอาจมีการเก็งกำไรต่อ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานบริษัท
+ ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ และแนวโน้ม "บ. ดีแทค ไตรเน็ต" ที่ "AA+/Negative"
# สะท้อนถึงความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของบริษัทในฐานะที่เป็นบริษัทย่อยรายสำคัญของ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ของไทย โดยที่อันดับเครดิตมีปัจจัยเสริมจากการที่บริษัทได้รับการสนับสนุนจาก Telenor ASA (Telenor) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทแม่อีกด้วย
# การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงสถานะทางการตลาดในการเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ของบริษัทและแนวโน้มการเติบโตที่ดีของการใช้บริการด้านข้อมูล อีกทั้งยังพิจารณาถึงการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรม รวมทั้งการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อให้มีปริมาณคลื่นความถี่ที่เพียงพอ และเพื่อพัฒนาคุณภาพโครงข่ายด้วย
# ฝ่ายวิจัยฯคาดว่า DTAC จะเป็นผู้ชนะได้ใบอนุญาต 1 ใบคือ 1.8 GHz แต่เดิม DTAC มีสมมุติฐานให้ได้ใบอนุญาต 2 ใบ แต่จากสมมุติฐานใหม่คาดว่าจะได้เพียง 1 ใบคือ คลื่น 1.8 GHz กลายกลับเป็นข้อดีคือ ค่าตัดจำหน่ายลดลง และมีกระแสเงินสดไหลออก (Cash Outflows) ลดลง อัตราการเติบโตกำไรปีนี้และปีหน้าสูงเป็น +8%/+180% เทียบ y-o-y ตามลำดับคำแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐานเป็น 56.00 บาท ด้วยวิธี DCF (WACC 8.1%, TG 2%) ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 10%
+ PTTEP และอีก 5 บริษัทสนใจเข้าร่วมพิจารณาคุณสมบัติประมูลบงกช-เอราวัณ
# PTTEP-เชฟรอน-มูบาดาลาฯ-โอเอ็มวีฯ-โททาล-กิจการร่วมค้าพลังงานสะอาดฯ ยื่นเจตจำนงร่วมพิจารณาคุณสมบัติประมูลบงกช-เอราวัณ ตามทีโออาร์การเปิดประมูลภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract : PSC)
# สำหรับขั้นตอนต่อไป บริษัทที่เข้ามายื่นเอกสารแสดงความจำนงดังกล่าว จะต้องนำเอกสารหลักฐานที่แสดงคุณสมบัติเบื้องต้นตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ มายื่นให้กรมเชื้อเพลิงฯในระหว่างวันที่ 15-16 พ.ค.61 ซึ่งจะใช้เวลาในการพิจารณาประมาณ 10 วัน และจะประกาศผลผู้ที่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้นในวันที่ 28 พ.ค.61
# แม้แนะนำ ถือ PTTEP แต่จากข่าวข้างต้นคาดว่า หาก PTTEP ได้บงกช และตามสัดส่วนที่ถือเดิม ราคาพื้นฐานจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 15.00 บาท ราคาพื้นฐานจะขยับขึ้นเป็น 138.00 บาท จากปัจจุบัน 123.00 บาท และหากได้ 2 โครงการ มูลค่าขายจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 33 บาท ราคาพื้นฐานจะขยับขึ้นเป็น 156.00 บาท แตในความเป็นจริง โอกาสที่จะได้ถึง 2 โครงการเป็นสิ่งที่ยาก และในอนาคตอาจจะมีการร่วมทุนระหว่างกันได้อีก จึงต้องรอผล จึงคาดว่าจะมีการเก็งกำไร PTTEP จากเรื่องนี้ อีกทั้งต้องติดตามเรื่อง ทรัมป์กับการคว่ำบาตรอิหร่าน หากเป็นจริงราคาน้ำมันปรับขึ้น ก็จะส่งผลดีกับ PTTEP ได้
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO8448