- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 07 May 2018 17:36
- Hits: 1247
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
Market summary
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา SET เผชิญกับแรงขายสูง โดยมีแรงขายในหุ้นขนาดใหญ่อย่าง PTT, SCC, AOT และกลุ่มธนาคารอย่าง KBANK, BBL, TMB และกลุ่มปิโตรมีแรงขายทำกำไรใน IVL, PTTGC และกลุ่มโรงพยาบาล BCH, BH อย่างไรก็ตามมีแรงซื้อในกลุ่มโรงไฟฟ้าอย่าง GPSC, GULF ณ.สิ้นวัน SET ปิดที่ระดับ 1,779.8 จุด (-10.9 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 5.5 หมื่นล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้าที่ 5.8 หมื่นล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยที่ 4,144 ล้านบาท และกลับมาเปิดสถานะ Short SET50 index future ที่ 5,232 สัญญา
Investment theme
ประเทศไทยเผชิญกับแรงขายทั้งในตลาดหุ้นและพันธบัตร : หากนับตั้งแต่ต้นปี (YTD) เราพบว่านักลงทุนต่างประเทศขายทำกำไรตลาดหุ้นสูงกว่า 2,791 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 8.8 หมื่นล้านบาท) สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน (ซื้อสุทธิ 7.0 พันล้านบาท) ซึ่งการขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยสอดคล้องกับภูมิภาค โดยนักลงทุนต่างประเทศได้ขายหุ้นไต้หวัน, เกาหลี, อินโดนีเซีย รวมสูงกว่า 1.1 หมื่นล้านเหรียญ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐและผลประกอบการ 1Q18 ส่วนใหญ่ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้สูง ทำให้มีโอกาสถูกปรับประมาณการขึ้น ในขณะที่การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ใจความสำคัญที่ยกไปที่การลดยอดการขาดดุลการค้าของสหรัฐ ซึ่งหากจีนปฎิบัติตาม กล่าวคือหันไปนำเข้าสินค้าจากสหรัฐแทนประเทศอื่นๆ เช่น สินค้า Semiconductor ที่หันไปนำเข้าจากสหรัฐแทนไต้หวันและเกาหลีใต้เป็นต้น โดยเราแนะจับตาว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน อีกทั้งการลดยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐ ซึ่งล่าสุดรายงานตัวเลขขาดดุลการค้าเดือนมีนาคมลดลง 15% ต่ำสุดในรอบ 8 เดือน ประเด็นดังกล่าวคือเป็นปัจจัยกดดันให้ค่าดอลลาร์กลับมาแข็งค่าอีกครั้ง และส่งผลให้ความน่าสนใจในการลงทุนในตลาดหุ้นฝั่ง EM รวมถึงประเทศไทยลดลง ส่งผลให้เรามองว่าการลงทุนในเดือนพฤษภาคมจะยากขึ้น (จาก Liquidity ในตลาดที่ลดลง)
Investment Theme: คาด SET ระยะสั้นแกว่งในกรอบ 1770-1805 จุด โดยแนะนำกลยุทธ์ ขึ้นขาย-ลงซื้อ เน้นหุ้นกลุ่ม Big Cap ที่มีแนวโน้มของผลประกอบการเติบโตเด่นทั้งไตรมาส 1 และ 2 เช่น กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPN, SF), ขนส่ง (BTS, BEM), พลังงานและปิโตรเคมี (IVL, PTTEP) และอสังหาฯ (LH)
Big issue
เมื่อคืนที่ผ่านมา – สหรัฐรายงานตัวเลขอัตราการว่างงานที่ 3.9% ต่ำสุดในรอบ 18 ปี แต่รายงานตัวเลขค่าจ้างต่ำกว่าคาดที่ 0.15% (คาด 0.2%) และรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรต่ำกว่าที่คาดที่ 164,000 ตำแหน่ง / สหรัฐตั้งเป้าลดยอดขายดุลการค้ากับจีนลดลง 2.0 แสนล้านเหรียญ
Market summary
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา SET เผชิญกับแรงขายสูง โดยมีแรงขายในหุ้นขนาดใหญ่อย่าง PTT, SCC, AOT และกลุ่มธนาคารอย่าง KBANK, BBL, TMB และกลุ่มปิโตรมีแรงขายทำกำไรใน IVL, PTTGC และกลุ่มโรงพยาบาล BCH, BH อย่างไรก็ตามมีแรงซื้อในกลุ่มโรงไฟฟ้าอย่าง GPSC, GULF ณ.สิ้นวัน SET ปิดที่ระดับ 1,779.8 จุด (-10.9 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 5.5 หมื่นล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้าที่ 5.8 หมื่นล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยที่ 4,144 ล้านบาท และกลับมาเปิดสถานะ Short SET50 index future ที่ 5,232 สัญญา
Investment theme
ประเทศไทยเผชิญกับแรงขายทั้งในตลาดหุ้นและพันธบัตร : หากนับตั้งแต่ต้นปี (YTD) เราพบว่านักลงทุนต่างประเทศขายทำกำไรตลาดหุ้นสูงกว่า 2,791 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 8.8 หมื่นล้านบาท) สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน (ซื้อสุทธิ 7.0 พันล้านบาท) ซึ่งการขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยสอดคล้องกับภูมิภาค โดยนักลงทุนต่างประเทศได้ขายหุ้นไต้หวัน, เกาหลี, อินโดนีเซีย รวมสูงกว่า 1.1 หมื่นล้านเหรียญ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐและผลประกอบการ 1Q18 ส่วนใหญ่ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้สูง ทำให้มีโอกาสถูกปรับประมาณการขึ้น ในขณะที่การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ใจความสำคัญที่ยกไปที่การลดยอดการขาดดุลการค้าของสหรัฐ ซึ่งหากจีนปฎิบัติตาม กล่าวคือหันไปนำเข้าสินค้าจากสหรัฐแทนประเทศอื่นๆ เช่น สินค้า Semiconductor ที่หันไปนำเข้าจากสหรัฐแทนไต้หวันและเกาหลีใต้เป็นต้น โดยเราแนะจับตาว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน อีกทั้งการลดยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐ ซึ่งล่าสุดรายงานตัวเลขขาดดุลการค้าเดือนมีนาคมลดลง 15% ต่ำสุดในรอบ 8 เดือน ประเด็นดังกล่าวคือเป็นปัจจัยกดดันให้ค่าดอลลาร์กลับมาแข็งค่าอีกครั้ง และส่งผลให้ความน่าสนใจในการลงทุนในตลาดหุ้นฝั่ง EM รวมถึงประเทศไทยลดลง ส่งผลให้เรามองว่าการลงทุนในเดือนพฤษภาคมจะยากขึ้น (จาก Liquidity ในตลาดที่ลดลง)
Investment Theme: คาด SET ระยะสั้นแกว่งในกรอบ 1770-1805 จุด โดยแนะนำกลยุทธ์ ขึ้นขาย-ลงซื้อ เน้นหุ้นกลุ่ม Big Cap ที่มีแนวโน้มของผลประกอบการเติบโตเด่นทั้งไตรมาส 1 และ 2 เช่น กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPN, SF), ขนส่ง (BTS, BEM), พลังงานและปิโตรเคมี (IVL, PTTEP) และอสังหาฯ (LH)
Big issue
เมื่อคืนที่ผ่านมา – สหรัฐรายงานตัวเลขอัตราการว่างงานที่ 3.9% ต่ำสุดในรอบ 18 ปี แต่รายงานตัวเลขค่าจ้างต่ำกว่าคาดที่ 0.15% (คาด 0.2%) และรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรต่ำกว่าที่คาดที่ 164,000 ตำแหน่ง / สหรัฐตั้งเป้าลดยอดขายดุลการค้ากับจีนลดลง 2.0 แสนล้านเหรียญ
Stock pick : TPIPP
TPIPP: ซื้อ ราคาเหมาะสมเป็น 8.50 บาท/หุ้น
บริษัทรายงานผลประกอบการ 1Q18 ทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ที่ 754 ล้านบาท (+8%YoY, +27%QoQ) สูงกว่าที่เราคาดไว้ 7.7% ผลประกอบการได้แรงหนุนจาก ประสิทธิภาพการผลิตของโรงไฟฟ้าดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่มีการติดตั้ง Boiler เพิ่ม ทำให้ปริมาณขายไฟ เพิ่มขึ้นมาเป็น 259 ล้านหน่วย (+11%QoQ, +31%YoY)
คาดผลประกอบการ 2Q18 เติบโตทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง และดีขึ้นใน 3Q18 จากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ 70MW (TG6) รวมกับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้ง 30 MW (TG4) ซึ่งค่อยๆเดินเครื่องจาก 70% เป็น 90% คาดจะช่วยเพิ่มกำไรประมาณ 2-2.5 พันล้านบาทต่อปี
TPIPP มีสถานะ Net Cash คาดจ่ายปันผลประมาณ 4.5-5% ในขณะที่ปัจจุบัน PER ต่ำเพียง 13.1เท่า คงคะแนะนำซื้อ
Trading idea – – ทยอยสะสม BEM (9.00), BTS (10.50) และซื้อ BJC เมื่ออ่อนตัวบริเวณ 61.0 บาท
Technical View
บริษัทรายงานผลประกอบการ 1Q18 ทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ที่ 754 ล้านบาท (+8%YoY, +27%QoQ) สูงกว่าที่เราคาดไว้ 7.7% ผลประกอบการได้แรงหนุนจาก ประสิทธิภาพการผลิตของโรงไฟฟ้าดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่มีการติดตั้ง Boiler เพิ่ม ทำให้ปริมาณขายไฟ เพิ่มขึ้นมาเป็น 259 ล้านหน่วย (+11%QoQ, +31%YoY)
คาดผลประกอบการ 2Q18 เติบโตทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง และดีขึ้นใน 3Q18 จากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ 70MW (TG6) รวมกับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้ง 30 MW (TG4) ซึ่งค่อยๆเดินเครื่องจาก 70% เป็น 90% คาดจะช่วยเพิ่มกำไรประมาณ 2-2.5 พันล้านบาทต่อปี
TPIPP มีสถานะ Net Cash คาดจ่ายปันผลประมาณ 4.5-5% ในขณะที่ปัจจุบัน PER ต่ำเพียง 13.1เท่า คงคะแนะนำซื้อ
Trading idea – – ทยอยสะสม BEM (9.00), BTS (10.50) และซื้อ BJC เมื่ออ่อนตัวบริเวณ 61.0 บาท
Technical View
ฟอร์มไหล่ขวา Head and Shoulders หัวกลับ : แรงขายระยะสั้นของหุ้นกลุ่ม Big Cap. ทำให้ดัชนีไม่เกิดแรง Rebound ต่อเนื่อง ขณะนี้จึงมองว่าดัชนีมีโอกาสฟอร์มตัวเป็นไหล่ขวาของ Head and Shoulders หัวกลับ ซึ่งยังคงรอการ Break Neckline ของรูปแบบดังกล่าวที่ 1800 หากผ่านไปได้ Upside ระยะกลางจะเปิดมากขึ้น แต่ระยะสั้นการอ่อนตัวไม่ควรหลุดแนวรับ 1770 ด้วยเช่นกัน โดยหากหลุด 1770 Downside จะเปิดถึง 1755 กลยุทธ์การลงทุน 1) มีหุ้น: Trading ในกรอบ 1770-1800 เน้นขึ้นขาย-ลงซื้อ หากหลุด 1770 เน้น Lock Profit 2) ไม่มีหุ้น: จังหวะอ่อนระหว่างวัน มองเป็นโอกาสซื้อที่แนวรับเพื่อเล่น Trading สั้นๆ
Eyes on
ปัจจัยต่างประเทศ: มาเลเซียเลือกตั้ง 9 พ.ค. นี้ /Trump เดินทางเยือนเกาหลีใต้ 22 พ.ค. / จีนรายงานตัวเลขการค้า 8 พ.ค. / 12 พ.ค. สหรัฐพิจารณาข้อตกลงนิวเคลียร์
ปัจจัยในประเทศ: นายกฯ เตรียมเดินทางบุรีรัมย์
หุ้นเทคนิค:
TRUE (B 7.80-7.90, Tp 8.20//8.50, Cut 7.70)
PTTEP (B 136.00, Tp 142.00, Cut 134.00)
Eyes on
ปัจจัยต่างประเทศ: มาเลเซียเลือกตั้ง 9 พ.ค. นี้ /Trump เดินทางเยือนเกาหลีใต้ 22 พ.ค. / จีนรายงานตัวเลขการค้า 8 พ.ค. / 12 พ.ค. สหรัฐพิจารณาข้อตกลงนิวเคลียร์
ปัจจัยในประเทศ: นายกฯ เตรียมเดินทางบุรีรัมย์
หุ้นเทคนิค:
TRUE (B 7.80-7.90, Tp 8.20//8.50, Cut 7.70)
PTTEP (B 136.00, Tp 142.00, Cut 134.00)
นักวิเคราะห์ : สรพล วีระเมธีกุล / วิจิตร อารยะพิศิษฐ / จรูญพันธ์ วัฒนวงศ์
Research Department Tel. 02-658-5000
OO8434
Research Department Tel. 02-658-5000
OO8434