- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 04 May 2018 20:04
- Hits: 2490
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ติดตามการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน ตัวเลขจ้างงาน”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ต่างประเทศ – ตลาดกลับมาให้ความสนใจการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ กังวลว่าจะออกมาในเชิงลบ แม้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งดุลการค้าและคำสั่งซื้อภาคโรงงานออกมาดี และติดตามตัวเลขการจ้างงานเม.ย.ที่จะมีการประกาศในคืนนี้ จากที่คาดกันว่าจะเพิ่มขึ้นจาก มี.ค. ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ยังผลให้สินค้าโภคภัณฑ์กลับมาปรับขึ้น และส่งผลดีกับ SET ความกังวลเงินไหลออกน้อยลง ด้านหุ้นกลุ่มพลังงาน ติดตามท่าทีทรัมป์ หากถอนตัวจากข้อตกลงสัญญานิวเคลียร์ ก็จะส่งสัญญาณการคว่ำบาตรอิหร่าน เรื่องห้ามส่งออกน้ำมัน ราคาน้ำมันก็มีโอกาสจะดีดตัวสูงขึ้น และส่งผลดีกับกลุ่มพลังงาน โดยทรัมป์มีเวลาตัดสินใจถึง 12 พ.ค.61
ในประเทศ – SET Index วันพฤหัสปรับลง 0.33 จุดปิดที่ 1790.80 จุด วานนี้หุ้นกลุ่มธนาคารฉุดตลาด เช่นเคยนลท.ต่างชาติยังขายสุทธิ 3.0 พันลบ. สถาบันในประเทศซื้อสุทธินำ 2.9 พันลบ. ดัชนีแกว่งแคบ คล้ายกับเพื่อนบ้าน รอผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ว่าประเด็นการกีดกันทางการค้าจะประทุขึ้นมาอีกหรือไม่ หลังประเด็นเฟดผ่านไป ติดตามรายงานกำไรบจ.งวด 1Q61 ซึ่งจะทยอยออกมาถึงกลางเดือนพ.ค. มีการเปรียบเทียบกับประมาณการ (Preview) ที่ระยะนี้มีการรายงานออกมาต่อเนื่อง ในสัปดาห์นี้ กลยุทธ์เน้นหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดีและมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ ระยะสั้นมีกำไร 1Q61 ออกมาดี หรือมี Catalyst เฉพาะตัว ตามบทวิเคราะห์ DBS
Update กลุ่มและหุ้น : SYNTEC –หุ้นปรับลงต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) มาก 35% คาดว่ากังวลกำไร 1Q61 และโครงการใหม่ คาดว่ากำไรหลัก 1Q61 เป็น 165 ล้านบาท ลดลงถึง 35% y-o-y อยู่ในช่วงเริ่มโครงการใหม่ แต่คาดว่ากำไรจะทยอยปรับตัวดีขึ้น โครงการใหม่ไปลงทุนโรงแรมที่พัทยาและภูเก็ต อาจกังวลเพิ่มทุน แต่เราเห็นว่ายังไม่จำเป็น คงคำแนะนำ ซื้อ หุ้นลงรับความกังวลมากไป แม้คาดว่าปีนี้กำไรหลักลด เพราะฐานปี 60 ดีเป็นพิเศษ แต่ปีนี้จะมีประเด็นกำไรพิเศษจากขายที่ดินเปล่าและโรงแรม ยังผลให้กำไรสุทธิพลิกเติบโตได้ ราคาพื้นฐานมีส่วนเพิ่มถึง 51%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เปลี่ยนเป็นลบเล็กๆ อีกครั้ง คาดตลาดฯวันนี้มีแกว่งแบบลง ซื้อใหม่เน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1800-1810, 1820 Stop loss ถ้าหลุด 1785 (SET ปิดที่ 1790.80) โดยมีแนวรับ 1760-1750
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น ORI, CKP, CENTEL, BLA, UTP, GOLD, CHOW ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ BEM,TGP,TPIPP,HMPRO,AOT,AAV,CPALL หุ้นที่หลุด List SAT, KTB และที่ให้หาจังหวะ Take profit เป็น GPSC, IVL, BCPG, BGRIM
ปัจจัยต่างประเทศ
+/- ติดตามการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่กรุงปักกิ่ง
# นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลัง นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) และนายวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์ จะเข้าร่วมประชุมเป็นเวลา 2 วันกับเจ้าหน้าที่ของจีนที่กรุงปักกิ่ง โดยการประชุมจะเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อวานนี้
• จีนอาจจะออกมาตรการระยะสั้น เพื่อให้สหรัฐฯเลื่อนการตัดสินใจใช้มาตรการกีดกันกับจีน
# แม้มีการคาดการณ์ว่า มีโอกาสไม่มากนักที่การเจรจาในช่วง 2 วันนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของจีนแต่หลายฝ่ายก็คาดหวังว่า จีนอาจจะออกมาตรการระยะสั้น เพื่อผลักดันให้สหรัฐเลื่อนเวลาการตัดสินใจใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ และจะครอบคลุมประเด็นกว้างๆเกี่ยวกับความไม่พอใจที่สหรัฐมีต่อการดำเนินนโยบายการค้าของจีน นับตั้งแต่ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการถ่ายโอนเทคโนโลยี ไป
• รอเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯคืนนี้
# ช่วงค่ำวันนี้ทางการสหรัฐจะประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม ส่วนตลาดญี่ปุ่นปิดทำการ เป็นวัน Greenery Day ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดเอเชียซบเซาตามไปด้วย นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรจะพุ่งขึ้น 192,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. หลังจากที่เพิ่มขึ้นเพียง 103,000 ตำแหน่งในเดือน มี.ค.
• ตลาดหุ้นยุโรปวานนี้ อ่อนตัวลง วิตกสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน
#ตลาดหุ้นยุโรปอ่อนตัวลง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ซึ่งจะมีการเจรจากันเป็นเวลาสองวัน
+/- ตัวเลขขาดดุลการค้าสหรัฐฯ ลดลง คำสั่งซื้อภาคโรงงานปรับขึ้น
# ตัวเลขขาดดุลการค้าปรับตัวลดลง 15.2% ในเดือนมี.ค. สู่ระดับ 4.9 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย.ปีที่แล้ว ส่วนคำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.6% ในเดือนมี.ค. มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.4% โดยยอดสั่งซื้อที่ปรับตัวขึ้นได้รับผลบวกจากการพุ่งขึ้นของคำสั่งซื้อเครื่องบิน เศรษฐกิจสหรัฐฯที่ฟื้นตัวส่งผลดีกับเศรษฐกิจโลก แต่หากร้อนแรง ก็จะเป็นแรงผลักดันให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็ว
-/+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์สหรัฐปรับตัวเพิ่มเล็กน้อย ติดตามเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,930.15 จุด เพิ่มขึ้น 5.17 จุด หรือ +0.02% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,629.73 จุด ลดลง 5.94 จุด หรือ -0.23% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,088.15 จุด ลดลง 12.75 จุด หรือ -0.18%
# นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายในช่วงที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐและจีนกำลังเจรจาด้านการค้า โดยความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีนได้บดบังปัจจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงยอดสั่งซื้อภาคโรงงานที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในเดือนมี.ค.
+ ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคาปรับขึ้น คาดสหรัฐฯคว่ำบาตรอิหร่าน
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย เพิ่มขึ้น 50 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 68.43 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 26 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 73.62 ดอลลาร์/บาร์เรล
# คาดการณ์กันว่า สหรัฐอาจใช้มาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่ออิหร่าน โดยนักลงทุนจับตาดูท่าทีของประธานาธิบดีโดนัดล์ทรัมป์ซึ่งมีเวลาจนถึงวันที่ 12 พ.ค.นี้ว่าจะถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ชาติมหาอำนาจทำไว้กับอิหร่านหรือไม่ โดยหาก ทรัมป์ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงดังกล่าว ก็จะปูทางให้สหรัฐทำการคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่ ซึ่งจะทำให้อิหร่านไม่สามารถส่งออกน้ำมันสู่ตลาด และจะเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น
+ ภาวะตลาดทองคำ : ราคาปรับขึ้น สอดรับดอลลาร์อ่อนค่า และซื้อกลับหลังร่วงติดกัน 3 วัน
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 7.10 ดอลลาร์ หรือ 0.54% ปิดที่ 1312.70 ดอลลาร์/ออนซ์
# นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากสัญญาทองคำร่วงลงติดต่อกัน 3 วันทำการก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังเพิ่มความน่าดึงดูดให้กับสัญญาทองคำเช่นกัน
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+ MTC มีทิศทางดีขึ้น หลังกฎหมายการเงินใหม่ ไม่จำกัดเพดานดอกเบี้ย
# เมืองไทยแคปปิตอล (MTC) หรือชื่อเดิม MTLS โล่งอก เหตุกฎหมายการเงินใหม่ไม่มีข้อกำหนดเพดานดอกเบี้ยไว้ห้ามเกิน 15% พร้อมยังคิดค่าธรรมเนียมได้ (ข่าวหุ้น) ขณะที่ SAWAD รอดตัวไปก่อนหน้านี้แล้ว เพราะทำอยู่ภายใต้ BFIT ซึ่งไม่ถูกกระทบจากกฎเกณฑ์ใหม่ที่ใช้สำหรับสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์
# แนะนำซื้อ MTC ด้วยราคาพื้นฐาน 52.00 บาท ประเมินด้วย PEG 1.0 เท่า แนวโน้มปี 61 ยังแข็งแกร่ง ผู้บริหารตั้งเป้าขยายสาขาเป็น 2,800 แห่งในสิ้นปี 61, 3,400 แห่งในสิ้นปี 62 และ 4,000 แห่งในสิ้นปี 63 ส่วนสินเชื่อคาดว่าจะโต 40% ในปีนี้ ส่วนกำไรคาดว่าจะเติบโตได้กว่า 30% อีกทั้งแนะนำ ซื้อ SAWAD ที่ราคาพื้นฐาน 80.00 บาท โดยราคาพื้นฐานอิงกับ P/BV ที่ 6.0 เท่า โดยประมาณการกำไรสุทธิปี 61-62 เติบโต 19% และ 25% ตามลำดับ
+ JBIC ญี่ปุ่น เข้าพบนายกฯและรองนายกฯ รายงานความคิบหน้าโครงการรถไฟเชื่อมสามสนามบิน
#กรรมการผู้อำนวยการและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) เข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ทาง JBIC มารายงานความคืบหน้าการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่าง จีน ญี่ปุ่น และไทยในโครงการต่างๆ ซึ่งพร้อมให้สนับสนุนด้านการเงินในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง และอู่ตะเภา) และก่อนที่จะมาพบกับตนได้มีการหารือกับทางการจีน ญี่ปุ่น
# JBIC ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าจะร่วมมือกับภาคเอกชนไทยรายใด แต่พร้อมให้ความช่วยเหลือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำและจะครอบคลุมเรื่องความเสี่ยงด้วย ส่วนรายละเอียดร่างทีโออาร์รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินต้องรอการประกาศใช้พ.ร.บ.เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกก่อน
#รัฐจะเปิดประมูลการร่วมทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินหลัก EEC คือ สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง-อู่ตะเภาจะมีทั้งงานในส่วนโยธาและบริหารเดินรถ ในมูลค่างานถึง 2.24 แสนล้านบาท ถือว่าเป็นงานใหญ่ และมีศักยภาพในอนาคตอย่างมาก ดังนั้นจึงต้องมีการจับคู่พันธมิตรเพื่อเข้าร่วมประมูล สาย CK คือ ร่วมกับลูกคือ BEM ส่วนสาย BTS จะเป็นกลุ่มเดิมที่เคยจับคือ STEC และมีข่าวเพิ่มเติมว่า PTT สนใจจะเข้าในกลุ่มนี้ด้วย แต่ยังไม่ยืนยัน ถ้าหากจริงก็ถือว่ากลุ่มนี้จะแข็งแกร่งมาก คงคำแนะนำ ซื้อ สำหรับ BEM, BTS และ CK
• จะมีการเปลี่ยนชื่อ และสัญลักษณ์การซื้อขายสำหรับ FER
# วันนี้หรือ 4 พ.ค.61 บริษัท เฟอร์รั่ม จำกัด (มหาชน) (FER) เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เซเว่น ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (7UP)
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO8358