- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 03 May 2018 18:25
- Hits: 1552
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
คาด SET ฟื้นตัวต่อ แต่ยังติด 1785-1790 จุด โดยจะมีแรงกดดันจากหุ้นน้ำมัน หลังสต๊อกน้ำมันมากกว่าคาด และมี supply จากสหรัฐที่เพิ่มขึ้น รวมถึงดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าต่อ แม้จะอ่อนตัวระยะสั้นก็ตาม ส่วนในประเทศ การเลือกตั้งอาจถูกเลื่อนออกไป แต่เชื่อว่าการเดินหน้าโครงการลงทุนภาครัฐยังคงมีต่อ ส่วนการรายงานงบ Real sector งวด 1Q61 มีน้ำหนักหนุนดัชนีน้อย กลยุทธ์ เน้น“Domestic Play” ชอบ DTAC(FV@B68)
ย้อนรอยหุ้นไทยวานนี้ ….. วอลลุ่มท้ายตลาดหนุน SET Index ปิดเหนือ 1790
วานนี้การเคลื่อนไหวของดัชนีฯ ช่วงเช้าแกว่งสลับบวกลบก่อนที่ช่วงท้ายตลาดได้แรงซื้อหนุนดัชนีขึ้นมาปิดที่ 1791.13 จุด เพิ่มขึ้น 11.02 จุด หรือ 0.62% มูลค่าการซื้อขาย 5.65 หมื่นล้านบาท แรงซื้อช่วงท้ายตลาดเข้ามาหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นโดดเด่นทั้งน้ำมัน PTT PTTEP ปิโตรฯ IVL ส่วนหุ้นถ่านหินอย่าง BANPU (+6.19%) ทำ new high รอบ 3 สัปดาห์ เนื่องจากราคาหุ้น laggard มากเมื่อเทียบกับ PTT, PTTEP ด้วยหุ้นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ นำโดย KTB ปรับตัวชึ้น xx%หลังจากสถาบันจัดอันดับเครดิต Fitch ได้ปรับเพิ่มเรตติ้งการกู้ยืมระยะสั้นจากเดิม F3 เป็น F2 และ ปรับเพิ่มการกู้ยืมระยะยาว จาก เดิม BBB เป็น AA+ โดยยังคง BBL, SCB, KBANK ส่วนหุ้นธนาคารเล็กทั้ง KKP และ TCAP ลดลง หลังขึ้น XD และมีแรงขายทำกำไร BLA หลังราคาหุ้นขึ้น 5% ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา
คาดว่าวันนี้ SET Index ยังแกว่งตัวในกรอบ 1790-1760 จุด โดยประเด็นที่กดดันน่าจะมาจากราคาน้ำมันดิบโลก หลังการประกาศสต๊อกน้ำมันสูงกว่าคาด และ earings result รายตัว
กลยุทธ์การลงทุน
คาด SET ฟื้นตัวต่อ แต่ยังติด 1785-1790 จุด โดยจะมีแรงกดดันจากหุ้นน้ำมัน หลังสต๊อกน้ำมันมากกว่าคาด และมี supply จากสหรัฐที่เพิ่มขึ้น รวมถึงดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าต่อ แม้จะอ่อนตัวระยะสั้นก็ตาม ส่วนในประเทศ การเลือกตั้งอาจถูกเลื่อนออกไป แต่เชื่อว่าการเดินหน้าโครงการลงทุนภาครัฐยังคงมีต่อ ส่วนการรายงานงบ Real sector งวด 1Q61 มีน้ำหนักหนุนดัชนีน้อย กลยุทธ์ เน้น“Domestic Play” ชอบ DTAC(FV@B68)
ย้อนรอยหุ้นไทยวานนี้ ….. วอลลุ่มท้ายตลาดหนุน SET Index ปิดเหนือ 1790
วานนี้การเคลื่อนไหวของดัชนีฯ ช่วงเช้าแกว่งสลับบวกลบก่อนที่ช่วงท้ายตลาดได้แรงซื้อหนุนดัชนีขึ้นมาปิดที่ 1791.13 จุด เพิ่มขึ้น 11.02 จุด หรือ 0.62% มูลค่าการซื้อขาย 5.65 หมื่นล้านบาท แรงซื้อช่วงท้ายตลาดเข้ามาหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นโดดเด่นทั้งน้ำมัน PTT PTTEP ปิโตรฯ IVL ส่วนหุ้นถ่านหินอย่าง BANPU (+6.19%) ทำ new high รอบ 3 สัปดาห์ เนื่องจากราคาหุ้น laggard มากเมื่อเทียบกับ PTT, PTTEP ด้วยหุ้นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ นำโดย KTB ปรับตัวชึ้น xx%หลังจากสถาบันจัดอันดับเครดิต Fitch ได้ปรับเพิ่มเรตติ้งการกู้ยืมระยะสั้นจากเดิม F3 เป็น F2 และ ปรับเพิ่มการกู้ยืมระยะยาว จาก เดิม BBB เป็น AA+ โดยยังคง BBL, SCB, KBANK ส่วนหุ้นธนาคารเล็กทั้ง KKP และ TCAP ลดลง หลังขึ้น XD และมีแรงขายทำกำไร BLA หลังราคาหุ้นขึ้น 5% ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา
คาดว่าวันนี้ SET Index ยังแกว่งตัวในกรอบ 1790-1760 จุด โดยประเด็นที่กดดันน่าจะมาจากราคาน้ำมันดิบโลก หลังการประกาศสต๊อกน้ำมันสูงกว่าคาด และ earings result รายตัว
Fed ขึ้นดอกเบี้ยตามคาด Dollar เริ่มย่อตัว แต่จะมีทิศทางแข็งค่าต่อ
ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) วานนี้เป็นไปตามคาดคือ คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5-1.75% โดยยังคงเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% เช่นเดิม แม้ล่าสุดจะขยับขึ้น 2.4% และการจ้างงานใกล้จุดอิ่มที่ (Full employment) สะท้อนจากอัตราการว่างงานทรงตัวต่อเนื่องที่ 4.1% ต่ำสุดตั้งแต่วิกฤตซับไพรม์ ขณะที่ราคาน้ำมันทรงตัวในระดับสูงถือเป็นความเสี่ยงต่อเป้าหมายเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ GDP Growth งวด 1Q61 ที่ชะลอตัวลง เหลือ 2.3%qoq ชะลอจาก 2.9%qoq ใน 4Q60 แต่หากเทียบกับงวด 1Q60 จะขยายตัว 2.9% ถือว่ายังสอดคล้องกับ IMF คาดทั้งปี 2561 ที่ 2.9%
โดยรวมทำให้คาดว่า Fed น่าจะขึ้นดอกเบี้ยฯ 2 ครั้ง ในการประชุมที่เหลืออีก 5 ครั้งในปีนี้ (ครั้งถัดไปคือรอบ มิ.ย. และ ก.ย. ขึ้นครั้งละ 0.25%) ทำให้ดอกเบี้ยฯ สิ้นปีนี้อยู่ที่ราว 2.25% แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทิศทางเงินเฟ้อนับจากนี้ และยังเป็นปัจจัยหนุน เงินดอลลาร์อยู่ในทิศทางแข็งค่า แม้จะอ่อนตัวในช่วงสั้นๆ ก็ตาม ตรงกันข้ามจะหนุนให้เงินบาทกลับมาอ่อนตัว ซึ่งจะดีต่อการส่งออกในงวด 2Q61 ซึ่งเป็นช่วง high seasons
ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) วานนี้เป็นไปตามคาดคือ คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5-1.75% โดยยังคงเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% เช่นเดิม แม้ล่าสุดจะขยับขึ้น 2.4% และการจ้างงานใกล้จุดอิ่มที่ (Full employment) สะท้อนจากอัตราการว่างงานทรงตัวต่อเนื่องที่ 4.1% ต่ำสุดตั้งแต่วิกฤตซับไพรม์ ขณะที่ราคาน้ำมันทรงตัวในระดับสูงถือเป็นความเสี่ยงต่อเป้าหมายเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ GDP Growth งวด 1Q61 ที่ชะลอตัวลง เหลือ 2.3%qoq ชะลอจาก 2.9%qoq ใน 4Q60 แต่หากเทียบกับงวด 1Q60 จะขยายตัว 2.9% ถือว่ายังสอดคล้องกับ IMF คาดทั้งปี 2561 ที่ 2.9%
โดยรวมทำให้คาดว่า Fed น่าจะขึ้นดอกเบี้ยฯ 2 ครั้ง ในการประชุมที่เหลืออีก 5 ครั้งในปีนี้ (ครั้งถัดไปคือรอบ มิ.ย. และ ก.ย. ขึ้นครั้งละ 0.25%) ทำให้ดอกเบี้ยฯ สิ้นปีนี้อยู่ที่ราว 2.25% แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทิศทางเงินเฟ้อนับจากนี้ และยังเป็นปัจจัยหนุน เงินดอลลาร์อยู่ในทิศทางแข็งค่า แม้จะอ่อนตัวในช่วงสั้นๆ ก็ตาม ตรงกันข้ามจะหนุนให้เงินบาทกลับมาอ่อนตัว ซึ่งจะดีต่อการส่งออกในงวด 2Q61 ซึ่งเป็นช่วง high seasons
สต๊อกน้ำมันเพิ่มมากกว่าคาด กดดันราคาน้ำมันลงต่อ
สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ(EIA) รายงานสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 2 ที่ 6.2 ล้านบาร์เรล (มากกว่าตลาดคาดเพิ่มขึ้น 7.3 แสนบาร์เรล) เป็นผลจากการนำเข้าน้ำมันลดลง ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้น ขณะที่ปัญหา Oversupply ในสหรัฐยังมีอยู่ สะท้อนจากหลุมขุดเจาะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 825 หลุม (สูงสุดในรอบ 3 ปี) หนุนกำลังการผลิตน้ำมันสหรัฐ ล่าสุด ขึ้นมาที่ 10.62 ล้านบาร์เรล/วัน(อันดับ 2 ของโลกรองจากรัสเซีย) และตั้งเป้า 11 ล้านบาร์เรลฯ ในปลายปีนี้ ทำให้อุปทานน้ำมันที่คาดว่าจะคลี่คลายใน 2H61 อาจจะเลื่อนออกไปปีหน้า
นอกจานี้เงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มแข็งค่าในระยะกลาง-ยาว ยังกดดันราคาน้ำมันดิบโลก ซึ่งทำให้คาดว่าราคาน้ำมันดูไบยังไม่ผ่านแนวต้าน 70 เหรียญบาร์เรล (ytd 65เหรียญฯ) ขณะที่ราคาหุ้นน้ำมันล้วนมี upside จำกัด ทั้ง PTTEP(FV@B137) และ PTT(FV@B54) จึงแนะนำ Switch ไป BANPU([email protected]) ซึ่ง ยัง laggards มากเมื่อเทียบกับหุ้นทั้ง 2
สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ(EIA) รายงานสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 2 ที่ 6.2 ล้านบาร์เรล (มากกว่าตลาดคาดเพิ่มขึ้น 7.3 แสนบาร์เรล) เป็นผลจากการนำเข้าน้ำมันลดลง ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้น ขณะที่ปัญหา Oversupply ในสหรัฐยังมีอยู่ สะท้อนจากหลุมขุดเจาะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 825 หลุม (สูงสุดในรอบ 3 ปี) หนุนกำลังการผลิตน้ำมันสหรัฐ ล่าสุด ขึ้นมาที่ 10.62 ล้านบาร์เรล/วัน(อันดับ 2 ของโลกรองจากรัสเซีย) และตั้งเป้า 11 ล้านบาร์เรลฯ ในปลายปีนี้ ทำให้อุปทานน้ำมันที่คาดว่าจะคลี่คลายใน 2H61 อาจจะเลื่อนออกไปปีหน้า
นอกจานี้เงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มแข็งค่าในระยะกลาง-ยาว ยังกดดันราคาน้ำมันดิบโลก ซึ่งทำให้คาดว่าราคาน้ำมันดูไบยังไม่ผ่านแนวต้าน 70 เหรียญบาร์เรล (ytd 65เหรียญฯ) ขณะที่ราคาหุ้นน้ำมันล้วนมี upside จำกัด ทั้ง PTTEP(FV@B137) และ PTT(FV@B54) จึงแนะนำ Switch ไป BANPU([email protected]) ซึ่ง ยัง laggards มากเมื่อเทียบกับหุ้นทั้ง 2
ศาลฯ นัดแถลงผลวินิจฉัย พ.ร.ป. 2 ฉบับ 23 พ.ค. เลือกตั้งอาจเลื่อนเป็น 2Q62
ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัย กรณีขอให้ตีความว่าร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.ฯ และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ฯ ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ในวันที่ 23 พ.ค. 2561ทั้งนี้หากผลการวินิจฉัยออกมาว่าไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็จะเริ่มกระบวนการนำร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ เข้าสู่กระบวนการนำขึ้นทูลเกล้าฯ แต่หากศาลฯ เห็นว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็จะเข้าสู่กระบวนการแก้ไข ซึ่งคาดหวังว่าจะใช้เวลาไม่นานหากเป็นการแก้ไขในชั้นของ สนช. เมื่อแล้วเสร็จจึงนำขึ้นทูลเกล้าฯ
หากเป็นกรณีที่ ศาลฯ วินิจฉัยว่าร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และ กระบวนการที่จะเดินจากนี้ใช้ระยะเวลาสูงสุดตามกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด คาดว่าจะเห็นการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ในช่วงต้นเดือน มิ.ย.2561 หลังจากนั้นภายใน 90 วัน หรือราว ก.ย. 2561 ก็น่าจะมีการลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งทำให้ พ.ร.ป.ว่าด้วย ส.ว.ฯ มีผลบังคับทันที่ ส่วน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.จะมีผลบังคับในอีก 90 วันข้างหน้า หรือ ธ.ค.2561 ส่วนการเลือกตั้งกำหนดให้จัดภายใน 150 วันหลังกฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องมีผลบังคับใช้ ซึ่งก็น่าจะทำให้กำหนดการเลือกตั้งถูกกำหนดในช่วง 2Q62 อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามขั้นตอนการปฎิบัติจากนี้ไปอีกหลายเรื่อง ซึ่งทำให้ปัจจัยการเมืองยังสร้างแรงกดดันต่อ SET Index
ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัย กรณีขอให้ตีความว่าร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.ฯ และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ฯ ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ในวันที่ 23 พ.ค. 2561ทั้งนี้หากผลการวินิจฉัยออกมาว่าไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็จะเริ่มกระบวนการนำร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ เข้าสู่กระบวนการนำขึ้นทูลเกล้าฯ แต่หากศาลฯ เห็นว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็จะเข้าสู่กระบวนการแก้ไข ซึ่งคาดหวังว่าจะใช้เวลาไม่นานหากเป็นการแก้ไขในชั้นของ สนช. เมื่อแล้วเสร็จจึงนำขึ้นทูลเกล้าฯ
หากเป็นกรณีที่ ศาลฯ วินิจฉัยว่าร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และ กระบวนการที่จะเดินจากนี้ใช้ระยะเวลาสูงสุดตามกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด คาดว่าจะเห็นการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ในช่วงต้นเดือน มิ.ย.2561 หลังจากนั้นภายใน 90 วัน หรือราว ก.ย. 2561 ก็น่าจะมีการลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งทำให้ พ.ร.ป.ว่าด้วย ส.ว.ฯ มีผลบังคับทันที่ ส่วน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.จะมีผลบังคับในอีก 90 วันข้างหน้า หรือ ธ.ค.2561 ส่วนการเลือกตั้งกำหนดให้จัดภายใน 150 วันหลังกฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องมีผลบังคับใช้ ซึ่งก็น่าจะทำให้กำหนดการเลือกตั้งถูกกำหนดในช่วง 2Q62 อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามขั้นตอนการปฎิบัติจากนี้ไปอีกหลายเรื่อง ซึ่งทำให้ปัจจัยการเมืองยังสร้างแรงกดดันต่อ SET Index
ต่างชาติสลับมาขายสุทธิหุ้นทุกแห่งในภูมิภาค
วานนี้ต่างชาติสลับมาขายสุทธิหุ้นในภูมิภาค 276 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วัน) และเป็นการขายสุทธิทุกประเทศ คือ ไต้หวันถูกขายสุทธิ 179 ล้านเหรียญ ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 11 ล้านเหรียญ, อินโดนีเซีย 37 ล้านเหรียญ, ฟิลิปปินส์ 7 ล้านเหรียญ และไทยที่ต่างชาติยังขายสุทธิ 42 ล้านเหรียญ หรือ 1.34 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 8 ด้วยมูลค่ารวมกว่า 1.46 หมื่นล้านบาท) ต่างกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิ 1.50 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3)
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย ต่างชาติยังขายสุทธิ 4.89 พันล้านบาท โดยเฉพาะตราสารหนี้ระยะยาว (T>1) ยังถูกขายอีก 3.7 พันล้านบาท และขายติดต่อกันกว่า 7 วัน ด้วยมูลค่ารวม 1.54 หมื่นล้านบาท หนุนให้ Bond Yield 10 ปี ของไทยยังขยับขึ้นมาอยู่ที่ 2.64% (สูงสุดในรอบเกือบ 11 เดือน) ขณะที่ Bond Yield สหรัฐฯ ยังทรงตัวอยู่ที่ 2.96%
วานนี้ต่างชาติสลับมาขายสุทธิหุ้นในภูมิภาค 276 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วัน) และเป็นการขายสุทธิทุกประเทศ คือ ไต้หวันถูกขายสุทธิ 179 ล้านเหรียญ ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 11 ล้านเหรียญ, อินโดนีเซีย 37 ล้านเหรียญ, ฟิลิปปินส์ 7 ล้านเหรียญ และไทยที่ต่างชาติยังขายสุทธิ 42 ล้านเหรียญ หรือ 1.34 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 8 ด้วยมูลค่ารวมกว่า 1.46 หมื่นล้านบาท) ต่างกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิ 1.50 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3)
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย ต่างชาติยังขายสุทธิ 4.89 พันล้านบาท โดยเฉพาะตราสารหนี้ระยะยาว (T>1) ยังถูกขายอีก 3.7 พันล้านบาท และขายติดต่อกันกว่า 7 วัน ด้วยมูลค่ารวม 1.54 หมื่นล้านบาท หนุนให้ Bond Yield 10 ปี ของไทยยังขยับขึ้นมาอยู่ที่ 2.64% (สูงสุดในรอบเกือบ 11 เดือน) ขณะที่ Bond Yield สหรัฐฯ ยังทรงตัวอยู่ที่ 2.96%
โครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 1 ใน EEC จะทำ TOR ดีต่อรับเหมาฯ
โ ครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐมีความคืบหน้าขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะโครงการร่วมทุนรัฐและเอกชนร่วมลงทุน (PPP) หลังจากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน กำลังอยู่ในระหว่างการเร่งจัดทำ TOR และน่าจะขายซองประมูลได้ภายในเดือนนี้ โครงการเร่งด่วนที่จะตามคือ คือ การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 วงเงินราว 1.2 แสนล้านบาท สัมปทาน 30 ปี (1 ใน โครงการ EEC)
ล่าสุดมีนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจลงทุนเช่นกัน โดยกระทรวงคมนาคมจะเร่งสรุปผลการศึกษาและจัดทำร่าง TOR น่าจะเปิดให้ยื่นข้อเสนอในเดือน ส.ค. ก่อนลงนามสัญญาในเดือน พ.ย. และน่าจะลงมือก่อสร้างได้ในเดือน ก.พ. 62
ถือเป็นประเด็นบวกต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ราคาหุ้นยัง laggard อย่างมาก อาทิ CK และ STEC ที่ได้ประโยชน์ตรงจากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ขณะที่โครงการท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 ผู้รับเหมาที่เคยได้รับงานก่อสร้างท่าเรือมาก่อน ทั้ง ITD และ NWR น่าจะได้ประโยชน์มากสุด
ลดกำไร DELTA ลงปีละ 24% จากต้นทุนสูงขึ้น
DELTA เผชิญปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนรุนแรงขึ้นในปี 2561 เนื่องจากความต้องการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ราคาวัตถุดิบชิ้นส่วนฯสูงขึ้น อาทิ แผงวงจร (Integrated Circuit) กดดันแนวโน้มประสิทธิภาพการทำกำไรในปี 2561 ลดลง นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อการใช้เวลาสั่งซื้อวัตถุดิบยาวนานขึ้น (lead time) เป็น 4-6 สัปดาห์ จากปกติอยู่ที่ 2-4 สัปดาห์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานงวด 2Q61 รุนแรงกว่างวด 1Q61 นำไปสู่การปรับลดประมาณการกำไรปี 2561-62 ลง 25.7% และ 22.4% จากเดิม
โดยภายหลังปรับลดประมาณการ คาดกำไรสุทธิปี 2561 จะลดตัวลง 12.6% yoy ขณะที่คาดกำไรจากการดำเนินงานในปี 2561 จะลดลงถึง 24.1% yoy จากปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบข้างต้น
กำหนดมูลค่าพื้นฐานใหม่เท่ากับ 60 บาท (เดิม 77.60 บาท) อิงวิธี DCF (WACC 11.58%) ราคาหุ้นปัจจุบันมี downside จากมูลค่าพื้นฐานกว่า 10% จึงยังคงคำแนะนำขาย
โ ครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐมีความคืบหน้าขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะโครงการร่วมทุนรัฐและเอกชนร่วมลงทุน (PPP) หลังจากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน กำลังอยู่ในระหว่างการเร่งจัดทำ TOR และน่าจะขายซองประมูลได้ภายในเดือนนี้ โครงการเร่งด่วนที่จะตามคือ คือ การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 วงเงินราว 1.2 แสนล้านบาท สัมปทาน 30 ปี (1 ใน โครงการ EEC)
ล่าสุดมีนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจลงทุนเช่นกัน โดยกระทรวงคมนาคมจะเร่งสรุปผลการศึกษาและจัดทำร่าง TOR น่าจะเปิดให้ยื่นข้อเสนอในเดือน ส.ค. ก่อนลงนามสัญญาในเดือน พ.ย. และน่าจะลงมือก่อสร้างได้ในเดือน ก.พ. 62
ถือเป็นประเด็นบวกต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ราคาหุ้นยัง laggard อย่างมาก อาทิ CK และ STEC ที่ได้ประโยชน์ตรงจากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ขณะที่โครงการท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 ผู้รับเหมาที่เคยได้รับงานก่อสร้างท่าเรือมาก่อน ทั้ง ITD และ NWR น่าจะได้ประโยชน์มากสุด
ลดกำไร DELTA ลงปีละ 24% จากต้นทุนสูงขึ้น
DELTA เผชิญปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนรุนแรงขึ้นในปี 2561 เนื่องจากความต้องการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ราคาวัตถุดิบชิ้นส่วนฯสูงขึ้น อาทิ แผงวงจร (Integrated Circuit) กดดันแนวโน้มประสิทธิภาพการทำกำไรในปี 2561 ลดลง นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อการใช้เวลาสั่งซื้อวัตถุดิบยาวนานขึ้น (lead time) เป็น 4-6 สัปดาห์ จากปกติอยู่ที่ 2-4 สัปดาห์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานงวด 2Q61 รุนแรงกว่างวด 1Q61 นำไปสู่การปรับลดประมาณการกำไรปี 2561-62 ลง 25.7% และ 22.4% จากเดิม
โดยภายหลังปรับลดประมาณการ คาดกำไรสุทธิปี 2561 จะลดตัวลง 12.6% yoy ขณะที่คาดกำไรจากการดำเนินงานในปี 2561 จะลดลงถึง 24.1% yoy จากปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบข้างต้น
กำหนดมูลค่าพื้นฐานใหม่เท่ากับ 60 บาท (เดิม 77.60 บาท) อิงวิธี DCF (WACC 11.58%) ราคาหุ้นปัจจุบันมี downside จากมูลค่าพื้นฐานกว่า 10% จึงยังคงคำแนะนำขาย
Earnings results งวด 1Q61: GLOW ดีกว่าคาด
วานนี้มีหุ้นในกลุ่มมิใช่ธนาคารฯ รายงานงบ 1Q61 เพิ่มคือ GLOW (FV@B) กำไรสุทธิ 2.6 พันล้านบาท เพิ่ม 34.9%qoq ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่ม จากผลของฤดูกาล และ Fx gains ที่เพิ่มขึ้นจากงวดก่อนจากผลของเงินบาทที่แข็งค่า และยังคาดว่างวด 2Q61 คาดกำไรจะทรงตัวระดับสูงใกล้เคียงงวด 1Q61 แต่กำไรโดยรวมในปี 2561 น่าจะทรงตัวจากปี 2560 และ มีลักษณะชะลอตัว ตราบที่ไม่มีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้น เพราะโรงไฟฟ้า IPP ทยอยใกล้หมดอายุ กำไรส่วนใหญ่จะมาจากโรงไฟฟ้า SPP (ประมาณ 60% ของรายได้)
ส่วนหุ้นที่นักวิเคราะห์ ASPS ทยอยทำ Earnings preview ออกมาเพิ่มเติมมีดังนี้
MCS ([email protected]) คาดกำไรสุทธิ พลิกกลับมาเป็นบวกอยู่ที่ 141 ล้านบาท (เทียบ 1Q60 ที่มีผลขาดทุน 63 ล้านบาท) จากที่ส่งมอบโครงสร้างเหล็กของโครงการ OH-1 และแม้ตัด FX Loss คาดมีกำไรปกติสูงถึง 151 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มผลกำไรในปี 2561 ประเมินว่าจะหดตัว 19% จากปี 2560 เพราะอัตราการทำกำไรที่ลดลง (จากงานที่กำไรต่ำ และ ผลของเงินบาทที่แข็งค่า เมื่อเทียบกับเงินเยน) แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าดีขึ้นในปี 2562 ขณะที่ MCS ยังอยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนทีมผู้บริหารใหม่เป็นคนไทยมีประสบการณ์ด้านการผลิต มาดูแลด้านการตลาดเต็มตัว แทนผู้บริหารเดิมที่ชำนาญตลาดญีปุ่น จะสามารถเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนได้เช่นเดิมหรือไม่ เป็นประเด็นที่ต้องติดตาม
ORI (Switch: [email protected]) คาดกำไรปกติ 1Q61 อยู่ที่ 141 ล้านบาท แม้เพิ่ม 96% yoy แต่กลับลดลง 55% qoq เพราะมียอดโอนลดลง แต่ช่วงที่เหลือของปีจะดีขึ้นตามยอดการโอนคอนโดใหม่ จำนวน 6 โครงการ
AP ([email protected]) คาดกำไรปกติ 1Q61 อยู่ที่ 785 ล้านบาท เพิ่ม 43% yoy (แต่ลดลง 42.1% qoq) จากยอดโอนฯ แนวราบ และอัตรากำไรที่ดีขึ้น และแนวโน้มจะดีขึ้นนับจาก 2H61 จากการเปิดตัวโครงการใหม่ 27 โครงการ, ยอดโอนคอนโดใหม่ 5 โครงการ และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรบริษัท JV มากขึ้น
BLA ([email protected]) คาดกำไรสุทธิ 1Q61 เท่ากับ 1.46 พันล้านบาท ลด 16.3% qoq (แต่เพิ่ม 58.2% yoy ) รายได้พิเศษจากการโอนกลับสำรองเบี้ยประกันชีวิต (LAT Reserve) มีแนวโน้มลดลงจากงวด 4Q61 (1 พันล้านบาท เหลือ 600 ล้านบาท) ที่แปรผกผันกับดอกเบี้ยตลาดที่เริ่มขยับตัวขึ้น (ส่วนใหญ่ อิง Bond Yield 10)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
OO8296
วานนี้มีหุ้นในกลุ่มมิใช่ธนาคารฯ รายงานงบ 1Q61 เพิ่มคือ GLOW (FV@B) กำไรสุทธิ 2.6 พันล้านบาท เพิ่ม 34.9%qoq ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่ม จากผลของฤดูกาล และ Fx gains ที่เพิ่มขึ้นจากงวดก่อนจากผลของเงินบาทที่แข็งค่า และยังคาดว่างวด 2Q61 คาดกำไรจะทรงตัวระดับสูงใกล้เคียงงวด 1Q61 แต่กำไรโดยรวมในปี 2561 น่าจะทรงตัวจากปี 2560 และ มีลักษณะชะลอตัว ตราบที่ไม่มีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้น เพราะโรงไฟฟ้า IPP ทยอยใกล้หมดอายุ กำไรส่วนใหญ่จะมาจากโรงไฟฟ้า SPP (ประมาณ 60% ของรายได้)
ส่วนหุ้นที่นักวิเคราะห์ ASPS ทยอยทำ Earnings preview ออกมาเพิ่มเติมมีดังนี้
MCS ([email protected]) คาดกำไรสุทธิ พลิกกลับมาเป็นบวกอยู่ที่ 141 ล้านบาท (เทียบ 1Q60 ที่มีผลขาดทุน 63 ล้านบาท) จากที่ส่งมอบโครงสร้างเหล็กของโครงการ OH-1 และแม้ตัด FX Loss คาดมีกำไรปกติสูงถึง 151 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มผลกำไรในปี 2561 ประเมินว่าจะหดตัว 19% จากปี 2560 เพราะอัตราการทำกำไรที่ลดลง (จากงานที่กำไรต่ำ และ ผลของเงินบาทที่แข็งค่า เมื่อเทียบกับเงินเยน) แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าดีขึ้นในปี 2562 ขณะที่ MCS ยังอยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนทีมผู้บริหารใหม่เป็นคนไทยมีประสบการณ์ด้านการผลิต มาดูแลด้านการตลาดเต็มตัว แทนผู้บริหารเดิมที่ชำนาญตลาดญีปุ่น จะสามารถเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนได้เช่นเดิมหรือไม่ เป็นประเด็นที่ต้องติดตาม
ORI (Switch: [email protected]) คาดกำไรปกติ 1Q61 อยู่ที่ 141 ล้านบาท แม้เพิ่ม 96% yoy แต่กลับลดลง 55% qoq เพราะมียอดโอนลดลง แต่ช่วงที่เหลือของปีจะดีขึ้นตามยอดการโอนคอนโดใหม่ จำนวน 6 โครงการ
AP ([email protected]) คาดกำไรปกติ 1Q61 อยู่ที่ 785 ล้านบาท เพิ่ม 43% yoy (แต่ลดลง 42.1% qoq) จากยอดโอนฯ แนวราบ และอัตรากำไรที่ดีขึ้น และแนวโน้มจะดีขึ้นนับจาก 2H61 จากการเปิดตัวโครงการใหม่ 27 โครงการ, ยอดโอนคอนโดใหม่ 5 โครงการ และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรบริษัท JV มากขึ้น
BLA ([email protected]) คาดกำไรสุทธิ 1Q61 เท่ากับ 1.46 พันล้านบาท ลด 16.3% qoq (แต่เพิ่ม 58.2% yoy ) รายได้พิเศษจากการโอนกลับสำรองเบี้ยประกันชีวิต (LAT Reserve) มีแนวโน้มลดลงจากงวด 4Q61 (1 พันล้านบาท เหลือ 600 ล้านบาท) ที่แปรผกผันกับดอกเบี้ยตลาดที่เริ่มขยับตัวขึ้น (ส่วนใหญ่ อิง Bond Yield 10)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
OO8296