- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 26 April 2018 16:28
- Hits: 2338
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ยังผันผวนจาก Bond Yield ปรับขึ้น
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : DTAC (จากถือเป็นซื้อ), MALEE (จากซื้อเป็นถือ)
ภาวะตลาดและปัจจัย : ต่างประเทศ – นักลงทุนขาย Bond หลังคลายความกังวลเรื่องคาบสมุทรเกาหลี & ความไม่สงบในซีเรีย เศรษฐกิจสหรัฐเติบโตดี และราคาน้ำมันที่เพิ่มทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น เฟดก็อาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด นอกจากนั้นการลดงบดุลของเฟดก็ทำให้ Bond yield ปรับขึ้นด้วย นักวิเคราะห์ตลาดเงินประเมินว่า US 10-year Bond จะเคลื่อนไหวช่วง 3.0-3.5% ในปลายปีนี้
ในประเทศ – SET Index วานนี้อ่อนต่อ ปิดตลาด -8.68 จุดที่ 1779.52 โดยยังมีแรงขายในกลุ่มแบงค์ (ยกเว้น BBL), พลังงาน, สื่อ นักลงทุนสถาบันในปท.และต่างชาตินำขายสุทธิ ทั้งนี้เงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่า (เพราะ US$ แข็งขึ้น และ Bond yield สหรัฐสูงกว่าไทย โดยอายุ 10 ปี ของสหรัฐล่าสุดอยู่ที่ 3.02% ของไทย 2.49% ต่างกันถึง 53bps) ทำให้มีแรงจูงใจในการขายสินทรัพย์และหุ้นไทย อย่างไรก็ดี ในระยะสั้นมากตลาดก็มีปัจจัยหนุนจากการเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 1/61
Update กลุ่มและหุ้น : SCC – กำไร 1Q61 ออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย โดย -29%YoY และ -1%QoQ อยู่ที่ 12.4 พันลบ. โดยหลักมาจากกำไรสายปิโตรเคมีลดลง เพราะบาทแข็ง, ต้นทุนแนฟทาสูงขึ้น และส่วนแบ่งกำไรบ.ร่วมลดลง รวมทั้งใน 1Q60 มีกำไรพิเศษ 1.9 พันลบ.แต่งวดนี้ไม่มีแนวโน้มคาดว่าจะกำไรจะทรงๆ ใกล้กับ 1Q61 และทั้งปีกำไรจะอ่อนลงจากปีก่อนซึ่งเป็นฐานสูง แต่ยังคาดว่าจะจ่ายปันผลได้ 19 บาท/หุ้น (Yield ประมาณ 4% ที่ราคาหุ้น 474 บาท) เพราะกระแสเงินสดยังคงแข็งแกร่ง ผู้บริหารระบุยังไม่มีแผนแตกพาร์ แนะนำทยอยซื้อสะสม
CPALL – คาดกำไร 1Q61F โต 20%YoY และ 3%QoQ จาก SSSG ที่เป็นบวก เปิดสาขาใหม่ และอัตรากำไรทรงตัวสูงจากการเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงมากขึ้น แนวโน้ม 2Q61 แข็งแกร่งเพราะเป็นช่วงฤดูร้อนที่จะมียอดขายเครื่องดื่มสูงขึ้น แนะนำซื้อ DBSV ให้ราคาพื้นฐาน 95 บาท
KCE – คาดกำไร 1Q61F จะลดลง (-19%YoY, -6%QoQ) เพราะถูกกระทบจากบาทแข็งและต้นทุนทองแดงเพิ่มขึ้น แนวโน้ม 2Q61 ยังไม่ดีนักเพราะต้นทุนทองแดงที่สูงยังกดดันต่อ แนะนำถือ DBSV ให้ราคาพื้นฐาน 78 บาท
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพเป็นลบเล็กๆ ซื้อใหม่เน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1785-1790, 1800 Stop loss ถ้าหลุด 1775 (SET ปิดที่ 1779.52) โดยมีแนวรับ 1770, 1755 สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น KKP, AP, SGP, DELTA, BH, UTP, TFG, RCL ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ JWD, WHA, BJC, TISCO, CKP, AP, ADVANC, BDMS, CENTEL ที่หลุด List คือ THG, TASCO, GLOW, WORK และที่ให้หาจังหวะ Take profit เป็น BLA, MONO
ปัจจัยต่างประเทศ
- สหรัฐ : อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นทะลุ 3%
# อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะ 10 ปีของสหรัฐปรับขึ้นสู่ระดับ 3.03% ส่วนอายุ 30 ปีขึ้นไปสูงสุด 3.22% ซึ่งระดับ 10 ปีสูงกว่าของไทยที่ 2.49% อย่างมีนัยสำคัญ
• ภาวะตลาดหุ้น : ดัชนี DJIA รีบาวด์แต่ระยะทางจำกัดเพราะยังกังวล Bond yield สหรัฐที่ปรับขึ้น
# ดัชนี DJIA ปิดที่ 24,083.83 จุด เพิ่มขึ้น 59.70 จุด หรือ +0.25% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,639.40 จุด เพิ่มขึ้น 4.84 จุด หรือ +0.18% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,003.74 จุด ลดลง 3.61 จุด หรือ -0.05% โดยเป็นการรีบาวด์รับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ เช่น โบอิ้ง, คอมแคสต์, เท็กซัส อินสตรูเมนท์ รวมทั้งการดีดขึ้นของราคาน้ำมันดิบหนุนหุ้นพลังงาน
# ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.8% ปิดที่ 380.18 จุด ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,413.30 จุด ลดลง 30.86 จุด หรือ -0.57% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,422.30 จุด ลดลง 128.52 จุด หรือ -1.02% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,379.32 จุด ลดลง 46.08 จุด หรือ -0.62%
• ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคาขยับขึ้นแต่จำกัดเพราะตัวเลขสต็อกน้ำมันสหรัฐออกมาสูงกว่าคาด
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 35 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 68.05 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 14 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 74.00 ดอลลาร์/บาร์เรล
# ตลาดมีมุมมองว่าถ้าปธน.ทรัมป์ถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ชาติมหาอำนาจทำไว้กับอิหร่าน ก็จะปูทางให้สหรัฐทำการคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่ ด้วยการสั่งห้ามการส่งออกน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณน้ำมันในตลาดลดลง ซึ่งทรัมป์มีเวลาถึง 12 พ.ค.61 เพื่อตัดสินใจเรื่องนี้
# ด้าน EIA เปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 2.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันดิบลดลง 2 ล้านบาร์เรล
+ ภาวะตลาดทองคำ : ราคาร่วง 0.8%
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ร่วงลง 10.20 ดอลลาร์ หรือ 0.77% ปิดที่ 1322.80 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่นบจ.
+ รฟท.คาดเปิดขายซองรถไฟเชื่อม 3 สนามบินกลางพ.ค.
# นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ รักษาการผู้ว่าการรฟท.คาดจะเปิดขายเอกสารโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (สุวรรณภูมิ - ดอนเมือง - อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. มูลค่าเกือบ 2 แสนล้านบาทได้ในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนพ.ค.61
# แหล่งข่าวจากวงการผู้รับเหมาก่อสร้าง กล่าวว่าขณะนี้มีผู้ประกอบการไทยรายใหญ่ให้ความสนใจเข้าร่วมประมูลโครงการดังกล่าวหลายราย ได้แก่ เครือซีพี, PTT, BTS, CK ที่มี BEM อยู่ในเครือ
# ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : ความคืบหน้าของการลงทุนในสาธารณูปโภคพื้นที่ EEC เป็นแรงจูงใจให้การลงทุนในพื้นที่ดังกล่าวฟื้นตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นบวกกับกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม หุ้นเด่น คือ AMATA และ WHA ซึ่งมีที่ดินในพื้นที่ EEC รายละกว่า 1 หมื่นไร่
+ AOT (ราคาปิด 70.75 บาท) : จะได้บริหารสนามบินเพิ่มอีก 4 แห่ง
# บริษัทเปิดเผยว่าขณะนี้มีข้อสรุปในเบื้องต้นให้เข้าบริหารสนามบินเพิ่ม 4 แห่ง คือ อุดรธานี, สกลนคร, ตาก และชุมพรโดยจะเสนอให้บอร์ด AOT พิจารณาวันนี้ (25 เม.ย.) และจะเสนอให้กระทรวงคมนาคม และครม.พิจารณาเป็นลำดับต่อไป
# รูปแบบการบริหาร 4 สนามบินข้างต้นยังไม่สรุป แต่มี 2 แนวทาง คือ 1. AOT เช่าสนามบินกับกรมท่าอากาศยาน (ทย.) แล้วบริหาร, 2. ทย.โอนสนามบินให้กรมธนารักษ์ จากนั้น AOT จะเช่ากับกรมธนารักษ์มาบริหาร ซึ่งเป็นรูปแบบที่ทำอยู่กับสนามบินในปัจจุบัน
# ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : เป็นบวกกับ AOT ที่จะได้บริหารสนามบินเพิ่มเติม โดยมองว่าสนามบินอุดรธานีมีศักยาภาพสูงเพราะเชื่อมต่อไปยังประเทศลาว และสนามบินตากก็เชื่อมไปเมียนมาได้ เราคงคำแนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 75 บาท
-/• SCC (ราคาปิด 274 บาท) : กำไร 1Q61 ต่ำกว่าที่ตลาดคาด
# ประกาศกำไรสุทธิ 1Q61 เท่ากับ 12.4 พันล้านบาท (-29%YoY และ -1%QoQ) ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ประมาณ 5% การลดลง YoY มาจาก 1) กำไรสายปิโตรเคมีลดลง เพราะบาทแข็ง ต้นทุนแนฟทาเพิ่มขึ้น และส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมลดลง, 2) ใน 1Q60 มีรายได้พิเศษเข้ามา 1.9 พันล้านบาท ส่วนผลประกอบการกลุ่มซีเมนต์และบรรจุภัณฑ์เติบโตดีขึ้น จากอุปสงค์ซีเมนต์ภาครัฐที่เติบโต และมีการขยายกำลังการผลิตกระดาษในภูมิภาค
# แนวโน้มมาร์จิ้นปิโตรเคมีในช่วงทีเหลือปีนี้จะทรงตัวใกล้ 1Q61 ความต้องการใช้ซีเมนต์ในประเทศโต 2-3% ในปีนี้ แม้ว่าช่วง 1Q61 จะทรงตัว (แม้การใช้ภาครัฐจะเพิ่มแต่การใช้ภาคครัวเรือนยังหดตัว)
# โครงการปิโตรคอมเพล็กซ์เวียดนามจะเริ่มก่อสร้าง 3Q61 และอยู่ระหว่างศึกษาลงทุนโครงการปิโตรเคมีแห่งที่ 2 ที่อินโดนีเซีย คาดว่าจะสรุปได้ในปลายปี 61
# บริษัทยังไม่มีแผนแตกพาร์ โดยปัจจุบันราคาหุ้นมีราคาพาร์ 10 บาท
# แนะนำซื้อสะสมจังหวะอ่อนตัว เนื่องจากธุรกิจมีความมั่นคง และคาดว่าปี 61 จะยังจ่ายปันผลได้พอๆกับปีก่อนที่ 19 บาท/หุ้น ซึ่งคิดเป็น Dividend yield ประมาณ 4% (คำนวณจากราคาหุ้น 474 บาท)
• PTT (ราคาปิด 57.50 บาท) : สนใจศึกษาไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน
# บอร์ด PTT ไฟเขียวให้บริษัทเข้าซื้อเอกสาร TOR เพื่อศึกษาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เหตุเป็นโครงการที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต และยังเพิ่มโอกาสสร้างรายได้จากธุรกิจใหม่ให้กับบริษัท แต่ยังไม่สรุปจะร่วมลงทุนกับพันธมิตรรายใด
# เรามองว่าหุ้น PTT มีปัจจัยกระตุ้นอยู่หลายประเด็น ได้แก่ 1. ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นหนุนกำไรของธุรกิจสำรวจและผลิต (PTTEP)} 2. การเข้าถือหุ้น IRPC เพิ่มเป็น 48% (เดิม 38.5%) ทำให้ได้รับส่วนแบ่งกำไรสูงขึ้น, 3. สเปรดปิโตรเคมีที่แข็งแกร่งหนุนกำไรบริษัทร่วมทั้ง PTTGC & IRPC โดย IRPC จะมีกำไรเพิ่มขึ้นดีจากการโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มผลิตภัณฑ์ Value added ด้วย, 4. มีกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้า PTTOR, 5. PTTEP มีโอกาสชนะประมูลสัมปทานแหล่งบงกชและเอราวัณ โดยจะทราบผลประมูลปลายปี 61 เซ็นสัญญาต้นปี 62 การอ่อนตัว/พักฐานของราคาหุ้นเป็นจังหวะซื้อ
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : [email protected]
OO8036