- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 26 April 2018 16:21
- Hits: 637
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ >> Earnings Play
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET อ่อนตัวลงตามคาดจากบรรยากาศการลงทุนที่เป็นลบจาก Bond Yield สหรัฐฯที่แตะ 3% ขณะที่กลุ่มพลังงานและธนาคารเป็นตัวถ่วงตลาด นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิในตลาดหุ้นอีก 1.3 พันลบ. (และ Short ใน Index Futures 6.8 พันสัญญา) ขณะที่สถาบันในประเทศขายหนาแน่น 3.8 พันลบ. ส่วนรายย่อยเป็นฝ่ายซื้อสุทธิทั้งหมด
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET จะแกว่งตัว Sideways โดย Bond Yield สหรัฐฯที่ทะลุ 3% สูงสุดในรอบกว่า 4 ปียังเป็นปัจจัยสำคัญกดดันตลาดและกระแสเงินทุกให้อยู่ในทิศทางไหลออก นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ต้องจับตาคือการประชุม ECB และ BoJ รวมถึงตัวเลขคาดการณ์ GDP 1Q18 ครั้งที่ 1 แรกของสหรัฐฯ ส่วนบ้านเราวันนี้ PTTEP จะประกาศกำไร 1Q18 เรายังมองว่าระยะนี้หุ้นที่มีแนวโน้มกำไร 1Q18 แข็งแกร่งจะยังเคลื่อนไหวได้แข็งแกร่งกว่าตลาด
กลยุทธ์ : เก็งกำไรหุ้นที่คาดมีกำไร 1Q18 แข็งแกร่ง
หุ้นเด่นเดือน เม.ย. : BDMS, CPN, ERW, KBANK, SYNEX
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$1.2 พันลบ. เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากเกาหลีใต้ US$794ล้าน ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลออก US$42ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคจากความกังวลอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ปรับขึ้นเร็วซึ่งทำให้ตลาดคาดการณ์ FED จะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> IT <<
แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 6.90 บาท
คาดกำไรสุทธิ 1Q18 +9% Q-Q, +145% Y-Y อยู่ที่ 14 ลบ. ซึ่งปกติกำไรไตรมาส 1 จะเป็น Low Season และจุดต่ำสุดของปี แต่ที่ปีนี้ออกสตาร์ทดีเพราะตลาดเกมมิ่งและสามาร์ทโฟนขยายตัวแรง (มาร์จิ้นดีสุดในพอร์ท) ซึ่งล่าสุด Acer ออกโน้ตบุ๊ครุ่น Avengers Infinity War Limited Edition เพื่อเกาะกระแสหนังดัง คาดหนุนงบ 2Q18 โตต่อเนื่อง
PE2018 แค่ 15 เท่า และเมื่อคิดเป็น PEG ยิ่งน่าสนใจเพราะต่ำเพียง 0.4 เท่า น้อยสุดในกลุ่มผู้ขายสินค้าไอที ขณะที่ ฐานะการเงินและ Cash Cycle แข็งแกร่งสุด และคาดปันผลปีนี้สูงถึง 5%
ปิดสมุดผู้ถือหุ้นล่าสุด เราพบว่ากลุ่มที่เปลี่ยนจากครั้งก่อนคือ NVDR ซึ่งซื้อมากสุดในรอบ 6 ปี ที่ 2.2 ล้านหุ้น
กลยุทธ์วันนี้ >> Earnings Play
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET อ่อนตัวลงตามคาดจากบรรยากาศการลงทุนที่เป็นลบจาก Bond Yield สหรัฐฯที่แตะ 3% ขณะที่กลุ่มพลังงานและธนาคารเป็นตัวถ่วงตลาด นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิในตลาดหุ้นอีก 1.3 พันลบ. (และ Short ใน Index Futures 6.8 พันสัญญา) ขณะที่สถาบันในประเทศขายหนาแน่น 3.8 พันลบ. ส่วนรายย่อยเป็นฝ่ายซื้อสุทธิทั้งหมด
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET จะแกว่งตัว Sideways โดย Bond Yield สหรัฐฯที่ทะลุ 3% สูงสุดในรอบกว่า 4 ปียังเป็นปัจจัยสำคัญกดดันตลาดและกระแสเงินทุกให้อยู่ในทิศทางไหลออก นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ต้องจับตาคือการประชุม ECB และ BoJ รวมถึงตัวเลขคาดการณ์ GDP 1Q18 ครั้งที่ 1 แรกของสหรัฐฯ ส่วนบ้านเราวันนี้ PTTEP จะประกาศกำไร 1Q18 เรายังมองว่าระยะนี้หุ้นที่มีแนวโน้มกำไร 1Q18 แข็งแกร่งจะยังเคลื่อนไหวได้แข็งแกร่งกว่าตลาด
กลยุทธ์ : เก็งกำไรหุ้นที่คาดมีกำไร 1Q18 แข็งแกร่ง
หุ้นเด่นเดือน เม.ย. : BDMS, CPN, ERW, KBANK, SYNEX
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$1.2 พันลบ. เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากเกาหลีใต้ US$794ล้าน ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลออก US$42ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคจากความกังวลอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ปรับขึ้นเร็วซึ่งทำให้ตลาดคาดการณ์ FED จะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> IT <<
แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 6.90 บาท
คาดกำไรสุทธิ 1Q18 +9% Q-Q, +145% Y-Y อยู่ที่ 14 ลบ. ซึ่งปกติกำไรไตรมาส 1 จะเป็น Low Season และจุดต่ำสุดของปี แต่ที่ปีนี้ออกสตาร์ทดีเพราะตลาดเกมมิ่งและสามาร์ทโฟนขยายตัวแรง (มาร์จิ้นดีสุดในพอร์ท) ซึ่งล่าสุด Acer ออกโน้ตบุ๊ครุ่น Avengers Infinity War Limited Edition เพื่อเกาะกระแสหนังดัง คาดหนุนงบ 2Q18 โตต่อเนื่อง
PE2018 แค่ 15 เท่า และเมื่อคิดเป็น PEG ยิ่งน่าสนใจเพราะต่ำเพียง 0.4 เท่า น้อยสุดในกลุ่มผู้ขายสินค้าไอที ขณะที่ ฐานะการเงินและ Cash Cycle แข็งแกร่งสุด และคาดปันผลปีนี้สูงถึง 5%
ปิดสมุดผู้ถือหุ้นล่าสุด เราพบว่ากลุ่มที่เปลี่ยนจากครั้งก่อนคือ NVDR ซึ่งซื้อมากสุดในรอบ 6 ปี ที่ 2.2 ล้านหุ้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) SCC กำไร 1Q18 ที่ต่ำคาดมาจากธุรกิจปิโตรเคมีของบริษัทร่วมที่ปิดซ่อมใหญ่ ซึ่งตอนนี้กลับมาเดินเครื่องได้ปกติแล้ว แนวโน้มไตรมาสที่เหลือของปีคาดว่าจะดีขึ้นจากธุรกิจซีเมนต์และแพคเกจจิ้ง ส่วนปิโตรเคมียังทรงตัวในระดับสูง เราปรับกำไรปีนี้ลงเล็กน้อย 1% สะท้อนกำไร 1Q18 ที่ต่ำคาด เป็น 5.27 หมื่นลบ. -4% Y-Y แต่ด้วยฐานะทางการเงินมั่นคง ปันผลดี (คาด yield 4%) และ PE ต่ำเพียง 10.8 เท่า จึงยังคงแนะนำซื้อลงทุน ราคาเป้าหมาย 550 บาท
(+) KKP คงคำแนะนำซื้อ เราคาดว่า KKP จะเป็น Defensive stock สำหรับภาวะการลงทุนที่มีความผันผวน โดยมีทั้ง Upside จากราคาปิดล่าสุดเมื่อเทียบราคาเป้าหมายที่ 85 บาท (PBV 1.67 เท่า) และคาดการณ์ผลตอบแทนเงินปันผลน่าสนใจ โดยมีปันผลงวด 2H17 ที่ 3 บาทต่อหุ้น (XD 2 พ.ค. จ่าย 21 พ.ค. 18) และคาดการณ์เงินปันผลสำหรับ 1H18 อีกหุ้นละ 2 บาท รวมจ่าย 5 บาท สำหรับการลงทุน 6 เดือน คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผลราว 6.7%
(+) AP คาดการณ์กำไรสุทธิ 1Q18 ที่ 770 ลบ. +40% Y-Y แต่ -43% Q-Q จากฐานที่สูงของการเร่งโอนในช่วงโค้งสุดท้ายของปี โดยคาดยอดโอนแตะระดับ 5 พันลบ. จากการทยอยส่งมอบสินค้าแนวราบ และคอนโดที่ต่อเนื่องจาก 4Q17 ส่วนกำไรปกติทั้งปีคาด +10% Y-Y จากการเริ่มโอนคอนโด 2 แห่งใน 3Q-4Q18 บวกกับความสำเร็จของโครงการ JV ขณะที่ Backlog ปัจจุบัน 1.28 หมื่นลบ. Secured รายได้แล้ว 56% คงคำแนะนำซื้อ ราคาเหมาะสม 9.70 บาท โดยมีปันผล Yield 4.2% ขึ้น XD 9 พ.ค.นี้
(+) SC คาดการณ์กำไรสุทธิ 1Q18 ที่ 240 ลบ. โตแรง +219% Y-Y แต่ -57% Q-Q จากฐานที่สูง เรามองว่าโมเมนตัมของกำไรจะโดดเด่นตั้งแต่ 2Q18 จากการเริ่มโอนคอนโด Super Luxury 2 แห่ง ใน 2Q-3Q18 รวมถึงคาดหวังความสำเร็จจากการเน้นขายโครงการแนวราบ ซึ่งเริ่มขยายไปจับตลาด Mid-to-Low มากขึ้น ทำให้เรายังคาดกำไรสุทธิปีนี้ +58% Y-Y ขณะที่ Valuation น่าสนใจ ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PE2018 เพียง 7.8 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และกลุ่มอสังหาฯ คงคำแนะนำซื้อ ราคาเหมาะสม 4.80 บาท โดยมีปันผล Yield 3.2% ขึ้น XD 2 พ.ค.นี้
(+) THANI เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 ขึ้น 7% เป็น 1.52 พันลบ. (+35% Y-Y) เราคาดการณ์สินเชื่อ +20% (เดิม +15%) ตามแนวโน้มยอดขายรถเชิงพาณิชย์ที่สดใสโดยเฉพาะรถบรรทุกและศักยภาพในการเติบโตของตลาดรถเชิงพาณิชย์ใหม่ๆเช่นตลาดรถบัส รถตู้ และรถ Luxury car นอกจากนี้เราปรับเพิ่ม Loan Spread เป็น 5% (เดิม 4.74%) ตามแนวโน้ม CoF ที่ลดลง เพราะมีหุ้นกู้อัตราดอกเบี้ยสูงที่ทยอยครบกำหนดและมีแนวทาง funding ระยะยาวมากขึ้น ดังนั้นความเสี่ยงต่อการ re-pricing จึงน้อยลง ปรับเพิ่มราคาเหมาะสมจาก 9.40 บาทเป็น 9.60 บาท คงคำแนะนำซื้อ
(-) FN แนวโน้มกำไร 1Q18 ยังดูอ่อนแอ อาจเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เข้าตลาดฯ สวนทางกับบริษัทอื่นในกลุ่มค้าปลีกที่เริ่มฟื้นตัวตามกำลังซื้อ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาและอุปสรรคที่มาจากตัวบริษัทเอง ทั้งนี้บริษัทอยู่ระหว่างการปรับกลยุทธ์อาจเพิ่มสัดส่วนสินค้า Other Brand มากขึ้น แต่เป็นสินค้าที่มาร์จิ้นต่ำกว่าสินค้า House Brand เราอยู่ระหว่างปรับลดกำไรสุทธิปี 2018 จากปัจจุบันคาดไว้ที่ 150 ล้านบาท +74.4% Y-Y และจะทบทวนราคาเป้าหมายที่ให้ไว้ 5.6 บาท แนะนำ ชะลอการลงทุน
(+) SCC กำไร 1Q18 ที่ต่ำคาดมาจากธุรกิจปิโตรเคมีของบริษัทร่วมที่ปิดซ่อมใหญ่ ซึ่งตอนนี้กลับมาเดินเครื่องได้ปกติแล้ว แนวโน้มไตรมาสที่เหลือของปีคาดว่าจะดีขึ้นจากธุรกิจซีเมนต์และแพคเกจจิ้ง ส่วนปิโตรเคมียังทรงตัวในระดับสูง เราปรับกำไรปีนี้ลงเล็กน้อย 1% สะท้อนกำไร 1Q18 ที่ต่ำคาด เป็น 5.27 หมื่นลบ. -4% Y-Y แต่ด้วยฐานะทางการเงินมั่นคง ปันผลดี (คาด yield 4%) และ PE ต่ำเพียง 10.8 เท่า จึงยังคงแนะนำซื้อลงทุน ราคาเป้าหมาย 550 บาท
(+) KKP คงคำแนะนำซื้อ เราคาดว่า KKP จะเป็น Defensive stock สำหรับภาวะการลงทุนที่มีความผันผวน โดยมีทั้ง Upside จากราคาปิดล่าสุดเมื่อเทียบราคาเป้าหมายที่ 85 บาท (PBV 1.67 เท่า) และคาดการณ์ผลตอบแทนเงินปันผลน่าสนใจ โดยมีปันผลงวด 2H17 ที่ 3 บาทต่อหุ้น (XD 2 พ.ค. จ่าย 21 พ.ค. 18) และคาดการณ์เงินปันผลสำหรับ 1H18 อีกหุ้นละ 2 บาท รวมจ่าย 5 บาท สำหรับการลงทุน 6 เดือน คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผลราว 6.7%
(+) AP คาดการณ์กำไรสุทธิ 1Q18 ที่ 770 ลบ. +40% Y-Y แต่ -43% Q-Q จากฐานที่สูงของการเร่งโอนในช่วงโค้งสุดท้ายของปี โดยคาดยอดโอนแตะระดับ 5 พันลบ. จากการทยอยส่งมอบสินค้าแนวราบ และคอนโดที่ต่อเนื่องจาก 4Q17 ส่วนกำไรปกติทั้งปีคาด +10% Y-Y จากการเริ่มโอนคอนโด 2 แห่งใน 3Q-4Q18 บวกกับความสำเร็จของโครงการ JV ขณะที่ Backlog ปัจจุบัน 1.28 หมื่นลบ. Secured รายได้แล้ว 56% คงคำแนะนำซื้อ ราคาเหมาะสม 9.70 บาท โดยมีปันผล Yield 4.2% ขึ้น XD 9 พ.ค.นี้
(+) SC คาดการณ์กำไรสุทธิ 1Q18 ที่ 240 ลบ. โตแรง +219% Y-Y แต่ -57% Q-Q จากฐานที่สูง เรามองว่าโมเมนตัมของกำไรจะโดดเด่นตั้งแต่ 2Q18 จากการเริ่มโอนคอนโด Super Luxury 2 แห่ง ใน 2Q-3Q18 รวมถึงคาดหวังความสำเร็จจากการเน้นขายโครงการแนวราบ ซึ่งเริ่มขยายไปจับตลาด Mid-to-Low มากขึ้น ทำให้เรายังคาดกำไรสุทธิปีนี้ +58% Y-Y ขณะที่ Valuation น่าสนใจ ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PE2018 เพียง 7.8 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และกลุ่มอสังหาฯ คงคำแนะนำซื้อ ราคาเหมาะสม 4.80 บาท โดยมีปันผล Yield 3.2% ขึ้น XD 2 พ.ค.นี้
(+) THANI เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 ขึ้น 7% เป็น 1.52 พันลบ. (+35% Y-Y) เราคาดการณ์สินเชื่อ +20% (เดิม +15%) ตามแนวโน้มยอดขายรถเชิงพาณิชย์ที่สดใสโดยเฉพาะรถบรรทุกและศักยภาพในการเติบโตของตลาดรถเชิงพาณิชย์ใหม่ๆเช่นตลาดรถบัส รถตู้ และรถ Luxury car นอกจากนี้เราปรับเพิ่ม Loan Spread เป็น 5% (เดิม 4.74%) ตามแนวโน้ม CoF ที่ลดลง เพราะมีหุ้นกู้อัตราดอกเบี้ยสูงที่ทยอยครบกำหนดและมีแนวทาง funding ระยะยาวมากขึ้น ดังนั้นความเสี่ยงต่อการ re-pricing จึงน้อยลง ปรับเพิ่มราคาเหมาะสมจาก 9.40 บาทเป็น 9.60 บาท คงคำแนะนำซื้อ
(-) FN แนวโน้มกำไร 1Q18 ยังดูอ่อนแอ อาจเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เข้าตลาดฯ สวนทางกับบริษัทอื่นในกลุ่มค้าปลีกที่เริ่มฟื้นตัวตามกำลังซื้อ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาและอุปสรรคที่มาจากตัวบริษัทเอง ทั้งนี้บริษัทอยู่ระหว่างการปรับกลยุทธ์อาจเพิ่มสัดส่วนสินค้า Other Brand มากขึ้น แต่เป็นสินค้าที่มาร์จิ้นต่ำกว่าสินค้า House Brand เราอยู่ระหว่างปรับลดกำไรสุทธิปี 2018 จากปัจจุบันคาดไว้ที่ 150 ล้านบาท +74.4% Y-Y และจะทบทวนราคาเป้าหมายที่ให้ไว้ 5.6 บาท แนะนำ ชะลอการลงทุน
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
26 เม.ย.- ไทย: PTTEP ประกาศงบฯ
- สหรัฐฯ: ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน (มี.ค.)
- ยูโรโซน: ประชุม ECB
27 เม.ย.- ไทย: ยอดขายรถยนต์ (มี.ค.)
- สหรัฐฯ: 1Q18 GDP (ครั้งที่ 1)
- ญี่ปุ่น: ประชุม BOJ
- ยูโรโซน: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค
2 พ.ค.- สหรัฐฯ: ประชุม FOMC
(+) ตลาดดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นเมื่อคืน โดยได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการของบริษัทโบอิ้งที่สูงกว่าที่ตลาดประเมินไว้ก่อนหน้า
(-) ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลดลงหลังความกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนของการกู้ยืมในอนาคตของบริษัทจดทะเบียนที่กำลังฟื้นตัว
(+) ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นเช้านี้ หลังรัฐบาลจีนได้ออกมาตราการผ่อนคลายการควบคุมเงินทุน ให้สามารถไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้มากขึ้น นอกจากนี้ผลประกอบการของบริษัทซัมซุงที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดยังช่วยหนุนตลาดเกาหลีใต้ให้ปรับตัวขึ้น
() ค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้นอีกครั้ง ล่าสุดเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 31.50-31.60 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้น 0.35 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 68.05 ดอลลาร์/บาเรลล์ แม้ว่าสต็อคน้ำมันดิบของสหรัฐจะสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ก็ตาม
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. ปรับตัวลง 10.20 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1,322.80 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าอีกครั้ง
Contact person : Jitra Amornthum Register : 014530
Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com
FB : FINNANSIA SYRUS SECURITIES LINE : @fnsyrus
OO8025
26 เม.ย.- ไทย: PTTEP ประกาศงบฯ
- สหรัฐฯ: ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน (มี.ค.)
- ยูโรโซน: ประชุม ECB
27 เม.ย.- ไทย: ยอดขายรถยนต์ (มี.ค.)
- สหรัฐฯ: 1Q18 GDP (ครั้งที่ 1)
- ญี่ปุ่น: ประชุม BOJ
- ยูโรโซน: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค
2 พ.ค.- สหรัฐฯ: ประชุม FOMC
(+) ตลาดดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นเมื่อคืน โดยได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการของบริษัทโบอิ้งที่สูงกว่าที่ตลาดประเมินไว้ก่อนหน้า
(-) ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลดลงหลังความกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนของการกู้ยืมในอนาคตของบริษัทจดทะเบียนที่กำลังฟื้นตัว
(+) ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นเช้านี้ หลังรัฐบาลจีนได้ออกมาตราการผ่อนคลายการควบคุมเงินทุน ให้สามารถไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้มากขึ้น นอกจากนี้ผลประกอบการของบริษัทซัมซุงที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดยังช่วยหนุนตลาดเกาหลีใต้ให้ปรับตัวขึ้น
() ค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้นอีกครั้ง ล่าสุดเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 31.50-31.60 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้น 0.35 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 68.05 ดอลลาร์/บาเรลล์ แม้ว่าสต็อคน้ำมันดิบของสหรัฐจะสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ก็ตาม
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. ปรับตัวลง 10.20 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1,322.80 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าอีกครั้ง
Contact person : Jitra Amornthum Register : 014530
Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com
FB : FINNANSIA SYRUS SECURITIES LINE : @fnsyrus
OO8025