- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 24 April 2018 16:08
- Hits: 1057
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“นักลงทุนพะวงต่อ Bond Yield ขยับขึ้น”
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
คาดดัชนีฯผันผวนกรอบแคบ นักลงทุนชะลอดูทิศทาง ... แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น มีผลต่อตลาดน้อยลง แม้ปัจจัยหนุนต่อราคาน้ำมันจะมีเรื่องของเยเมน-ซาอุฯ เข้ามาก็ตาม เนื่องด้วย ตลาดน่าจะมีความกังวลตามตลาดต่างประเทศมากขึ้น คือ Bond Yield 10 ปี ที่บ่งชี้แนวโน้มเงินเฟ้อของสหรัฐฯที่ดีดตัวขึ้นจากช่วงก่อนสงกรานต์ 2.83% เป็น 2.97% พร้อมกับการสูงขึ้นของค่าเงินดอลล่าร์ ซึ่งมีผลต่อการโยกย้ายเงินลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ (เงินบาทอ่อน) .... ปัจจัยในประเทศเอง จะเป็นเรื่องของการคาดการณ์ผลประกอบการ และนักลงทุนให้ความสนใจกับการประมูลคลื่นโทรศัพท์รอบใหม่ (กสทช. พิจารณาพรุ่งนี้ (25) ) เช่นเดียวกับการประมูลสัมปทานปิโตรเลียมที่มีผลต่อ PTTEP และ PTT โดยตรง .. วันนี้ PTT จะซื้อขายด้วยพาร์ใหม่ เป็นวันแรก (จาก 10 เป็น 1 บาท)
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
คาดดัชนีฯผันผวนกรอบแคบ นักลงทุนชะลอดูทิศทาง ... แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น มีผลต่อตลาดน้อยลง แม้ปัจจัยหนุนต่อราคาน้ำมันจะมีเรื่องของเยเมน-ซาอุฯ เข้ามาก็ตาม เนื่องด้วย ตลาดน่าจะมีความกังวลตามตลาดต่างประเทศมากขึ้น คือ Bond Yield 10 ปี ที่บ่งชี้แนวโน้มเงินเฟ้อของสหรัฐฯที่ดีดตัวขึ้นจากช่วงก่อนสงกรานต์ 2.83% เป็น 2.97% พร้อมกับการสูงขึ้นของค่าเงินดอลล่าร์ ซึ่งมีผลต่อการโยกย้ายเงินลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ (เงินบาทอ่อน) .... ปัจจัยในประเทศเอง จะเป็นเรื่องของการคาดการณ์ผลประกอบการ และนักลงทุนให้ความสนใจกับการประมูลคลื่นโทรศัพท์รอบใหม่ (กสทช. พิจารณาพรุ่งนี้ (25) ) เช่นเดียวกับการประมูลสัมปทานปิโตรเลียมที่มีผลต่อ PTTEP และ PTT โดยตรง .. วันนี้ PTT จะซื้อขายด้วยพาร์ใหม่ เป็นวันแรก (จาก 10 เป็น 1 บาท)
กลยุทธ์การลงทุน:
กลยุทธ์ลงทุน ยังต้องซื้อแบบเลือกกลุ่มเลือกตัว เราให้น้ำหนักกับหุ้นที่มีความปลอดภัยหรือมีปัจจัยบวก หุ้นขนาดใหญ่ จะเป็น AOT , SCC* , BDMS , DTAC* ขณะที่หุ้นได้ผลบวกจาก Bond Yield สูงขึ้น คือ BLA* และหุ้นส่งออกหลังตัวเลขส่งออกอีเล็คทรอนิคส์ เดือน มี.ค. +18.5% เป็นบวกต่อ KCE และ HANA ขณะที่หุ้นอื่นๆ ที่อาจถูกเก็งกำไร จากข่าว คือ BTS*
กลยุทธ์ลงทุน ยังต้องซื้อแบบเลือกกลุ่มเลือกตัว เราให้น้ำหนักกับหุ้นที่มีความปลอดภัยหรือมีปัจจัยบวก หุ้นขนาดใหญ่ จะเป็น AOT , SCC* , BDMS , DTAC* ขณะที่หุ้นได้ผลบวกจาก Bond Yield สูงขึ้น คือ BLA* และหุ้นส่งออกหลังตัวเลขส่งออกอีเล็คทรอนิคส์ เดือน มี.ค. +18.5% เป็นบวกต่อ KCE และ HANA ขณะที่หุ้นอื่นๆ ที่อาจถูกเก็งกำไร จากข่าว คือ BTS*
หุ้นแนะนำทางเทคนิค: ASIAN, JMART, SMT
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) DTAC : (ราคาปิด 49.25 บาท)
ตลาดกำลังให้ความสนใจกับการประมูลคลื่นโทรศัพท์ รอบใหม่ที่ DTAC อาจเข้าร่วมประมูลด้วย ..... ประกาศกำไรสุทธิ 1Q18 ที่ 1.3 พันล้านบาท (+142% QoQ, +474% YoY) ดีกว่าตลาดคาดราว 133% โดยมีรายการพิเศษราว 700 ล้านบาทซึ่งเป็นการกลับรายการจากข้อพิพาทกับ CAT อย่างไรก็ตามหากตัดรายการพิเศษออกกำไรในไตรมาสนี้ยังคงดีกว่าที่ตลาดคาดอยู่ราว 10% จากค่าใช้จ่ายการตลาดที่ควบคุมได้ดีกว่าที่ตลาดประเมิน
(+) DTAC : (ราคาปิด 49.25 บาท)
ตลาดกำลังให้ความสนใจกับการประมูลคลื่นโทรศัพท์ รอบใหม่ที่ DTAC อาจเข้าร่วมประมูลด้วย ..... ประกาศกำไรสุทธิ 1Q18 ที่ 1.3 พันล้านบาท (+142% QoQ, +474% YoY) ดีกว่าตลาดคาดราว 133% โดยมีรายการพิเศษราว 700 ล้านบาทซึ่งเป็นการกลับรายการจากข้อพิพาทกับ CAT อย่างไรก็ตามหากตัดรายการพิเศษออกกำไรในไตรมาสนี้ยังคงดีกว่าที่ตลาดคาดอยู่ราว 10% จากค่าใช้จ่ายการตลาดที่ควบคุมได้ดีกว่าที่ตลาดประเมิน
(+) BTS: (ราคาปิด 8.65 บาท)
นักลงทุนอาจเข้ามาเก็งกำไรช่วงสั้นต่อข่าวที่ Kerry Logistics Network ผู้ประกอบการด้าน Logistics ให้ กลุ่มบีทีเอส เป็นพันธมิตร Logistic ผ่านทาง VGI .... ข้อมูลจาก Fitch’s Rating ระบุรายได้รวมของ BTS Group (90-95%) จะมาจากธุรกิจขนส่งมวลชนและสื่อโฆษณานอกบ้าน ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดที่สูงและค่อนข้างมั่นคง
นักลงทุนอาจเข้ามาเก็งกำไรช่วงสั้นต่อข่าวที่ Kerry Logistics Network ผู้ประกอบการด้าน Logistics ให้ กลุ่มบีทีเอส เป็นพันธมิตร Logistic ผ่านทาง VGI .... ข้อมูลจาก Fitch’s Rating ระบุรายได้รวมของ BTS Group (90-95%) จะมาจากธุรกิจขนส่งมวลชนและสื่อโฆษณานอกบ้าน ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดที่สูงและค่อนข้างมั่นคง
หุ้นมีประเด็น
(+) FINANCE: ธปท.แก้เกณฑ์คลินิกแก้หนี้ ชี้เอ็นพีแอลสินเชื่ออุปโภคพุ่ง
ธปท.อยู่ระหว่างการเสนอแก้พระราชกำหนดบริษัท บริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 เพื่อให้ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) สามารถรับบริหารหนี้ของสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารได้ จะทำให้ลูกหนี้ของนอนแบงก์สามารถเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ จากปัจจุบันเข้าร่วมโครงการได้เฉพาะลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์เท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมนี้ จะปรับหลักเกณฑ์ โดยลูกค้าที่จะเข้าร่วมโครงการได้ ต้องเป็นบุคคลธรรมดาที่มีรายได้ ทำให้ผู้ที่มีอาชีพอิสระเข้าร่วมโครงการได้, อายุไม่เกิน 65 ปี, มีหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ค้างเกินกว่า 3 เดือน กับธนาคารตั้งแต่ 2 แห่งขึ้นไป ก่อนวันที่ 1 เมษายน 2561 ไม่ถูกดำเนินคดีหรือถูกดำเนินคดีแล้วแต่ยังไม่มีคำพิพากษา, ยอดหนี้เงินต้นค้างชำระรวมไม่เกิน 2 ล้านบาท และเต็มใจที่จะไม่ก่อหนี้เพิ่มภายใน 5 ปี (ที่มา: นสพ. มติชน)
ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นบวกต่อข่าวข้างต้นนี้ ลูกหนี้ในกลุ่ม FINANCE จะมีคุณภาพที่ดีขึ้นจากกการเข้าร่วมคลินิก NPLs มีแนวโน้มลดลง แม้ในเบื้องต้นจะบังคับใช้แค่หนี้บัตรเครดิต, บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันเท่านั้น แต่เรามองว่าระยะยาวคลินิกแก้หนี้จะมีการเพิ่มขอบเขตประเภทสินเชื่อเพิ่มขึ้นเพื่อลดระดับหนี้ภาคครัวเรือนต่อจีดีพีอย่างต่อเนื่อง เรายังคงชอบ KTC ที่ราคาเป้าหมาย 363.00 บาท จากการที่บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้า และสินเชื่อได้เพิ่ม กอปรกับสามารถรักษาระดับ NPLs และมี Coverage Ratio ที่สูง และ MTLS ที่ราคาเป้าหมาย 48.00 บาท จากผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามสาขาที่เพิ่มขึ้น โดย 1Q18 บริษัทมีสาขาสูงถึง 2.6 พันสาขา
(+) FINANCE: ธปท.แก้เกณฑ์คลินิกแก้หนี้ ชี้เอ็นพีแอลสินเชื่ออุปโภคพุ่ง
ธปท.อยู่ระหว่างการเสนอแก้พระราชกำหนดบริษัท บริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 เพื่อให้ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) สามารถรับบริหารหนี้ของสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารได้ จะทำให้ลูกหนี้ของนอนแบงก์สามารถเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ จากปัจจุบันเข้าร่วมโครงการได้เฉพาะลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์เท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมนี้ จะปรับหลักเกณฑ์ โดยลูกค้าที่จะเข้าร่วมโครงการได้ ต้องเป็นบุคคลธรรมดาที่มีรายได้ ทำให้ผู้ที่มีอาชีพอิสระเข้าร่วมโครงการได้, อายุไม่เกิน 65 ปี, มีหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ค้างเกินกว่า 3 เดือน กับธนาคารตั้งแต่ 2 แห่งขึ้นไป ก่อนวันที่ 1 เมษายน 2561 ไม่ถูกดำเนินคดีหรือถูกดำเนินคดีแล้วแต่ยังไม่มีคำพิพากษา, ยอดหนี้เงินต้นค้างชำระรวมไม่เกิน 2 ล้านบาท และเต็มใจที่จะไม่ก่อหนี้เพิ่มภายใน 5 ปี (ที่มา: นสพ. มติชน)
ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นบวกต่อข่าวข้างต้นนี้ ลูกหนี้ในกลุ่ม FINANCE จะมีคุณภาพที่ดีขึ้นจากกการเข้าร่วมคลินิก NPLs มีแนวโน้มลดลง แม้ในเบื้องต้นจะบังคับใช้แค่หนี้บัตรเครดิต, บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันเท่านั้น แต่เรามองว่าระยะยาวคลินิกแก้หนี้จะมีการเพิ่มขอบเขตประเภทสินเชื่อเพิ่มขึ้นเพื่อลดระดับหนี้ภาคครัวเรือนต่อจีดีพีอย่างต่อเนื่อง เรายังคงชอบ KTC ที่ราคาเป้าหมาย 363.00 บาท จากการที่บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้า และสินเชื่อได้เพิ่ม กอปรกับสามารถรักษาระดับ NPLs และมี Coverage Ratio ที่สูง และ MTLS ที่ราคาเป้าหมาย 48.00 บาท จากผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามสาขาที่เพิ่มขึ้น โดย 1Q18 บริษัทมีสาขาสูงถึง 2.6 พันสาขา
(+) GULF เผยอยู่ระหว่างศึกษาโครงการใหม่อีก 1GW ที่สหรัฐฯ
บริษัทให้สัมภาษณ์ผ่านสื่ออยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ขนาดกำลังการผลิตราว 1GW คาดต้องใช้เงินลงทุนราว 2-3 หมื่นล้านบาท และผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 10% (ที่มา: ข่าวหุ้น) ความเห็น: เรามีมุมมองเชิงบวกต่อพัฒนาการของบริษัทหลังมีโครงการใหม่ในสหรัฐฯเพิ่มเติมเป็น Potential upside ต่อประมาณการ ในขณะที่การทำ Project funding เรามองว่าไม่มีปัญหาหลังประเมิน GULF สามารถรักษาระดับ D/E ได้ที่ราว 2X ในระยะ 7 ปีข้างหน้า ซึ่งทำให้บริษัทยังสามารถลงทุนเพิ่มเติมในระหว่างนี้ได้อีกราว 2GW เบื้องต้นโครงการ 1GW ในสหรัฐฯ (อิง GULF ถือ 50%) หากสำเร็จคาดเพิ่มมูลค่าให้กับราคาหุ้น GULF อีกราว 2.5 บาท เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเหมาะสม 80.00 บาท
บริษัทให้สัมภาษณ์ผ่านสื่ออยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ขนาดกำลังการผลิตราว 1GW คาดต้องใช้เงินลงทุนราว 2-3 หมื่นล้านบาท และผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 10% (ที่มา: ข่าวหุ้น) ความเห็น: เรามีมุมมองเชิงบวกต่อพัฒนาการของบริษัทหลังมีโครงการใหม่ในสหรัฐฯเพิ่มเติมเป็น Potential upside ต่อประมาณการ ในขณะที่การทำ Project funding เรามองว่าไม่มีปัญหาหลังประเมิน GULF สามารถรักษาระดับ D/E ได้ที่ราว 2X ในระยะ 7 ปีข้างหน้า ซึ่งทำให้บริษัทยังสามารถลงทุนเพิ่มเติมในระหว่างนี้ได้อีกราว 2GW เบื้องต้นโครงการ 1GW ในสหรัฐฯ (อิง GULF ถือ 50%) หากสำเร็จคาดเพิ่มมูลค่าให้กับราคาหุ้น GULF อีกราว 2.5 บาท เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเหมาะสม 80.00 บาท
(0) SCB มีโอกาสปรับเป้าหมายค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่อาจจะตั้งสำรองฯลดลง
จากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ SCB เปิดเผยเรื่องงบลงทุนทางด้าน digital โดยของเดิมตั้งงบไว้ที่ 4 หมื่นล้านบาทปัจจุบันทาง SCB กำลัง review ช่วงกลางปีนี้ว่า อาจจะมีการปรับเพิ่มขึ้น เพราะมีค่าใช้จ่ายทางการตลาดและผู้ใช้ออนไลน์มากกว่าคาด ซึ่งจะส่งผลให้ Cost to income ratio มีการปรับเพิ่มขึ้นจากเป้าหมายเดิมที่ 42-45% ในส่วนของ IFRS9 ทาง SCB เปิดเผยว่า สามารถตั้งสำรองเพิ่มเติมผ่านกำไรสะสมได้ เพราะฉะนั้นทาง SCB กำลังพิจารณาเรื่องการตั้งสำรองเพิ่มเติมในงบกำไรขาดทุน และมีโอกาสที่จะกลับมาตั้งที่ระดับปกติที่ 5 พันล้านบาทต่อไตรมาส
ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นกลางต่อการประชุมวานนี้ แม้ว่าค่าใช้จ่ายด้าน Digital จะมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะผลลบต่อโดยตรงต่อประมาณการกำไรสุทธิของเรา แต่ทาง SCB พยายามเร่งลดต้นทุนสาขาลง และจะเพิ่ม NIM โดยการสินเชื่อไปยังสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันมากขึ้น เช่น สินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิต ขณะที่เราคาดว่า สินเชื่อดังกล่าวน่าจะเข้ามาในช่วง 4Q18 ในส่วนของการตั้งสำรองฯ หาก IFRS9 สามารถตั้งผ่านกำไรสะสมในงบดุลได้ เรามองว่า จะช่วยลดแรงกดดันในการตั้งสำรองเพิ่มเติมได้ และมีโอกาสที่ SCB จะกลับมาตั้งสำรองฯที่ระดับปกติที่ 5 พันล้านบาทต่อไตรมาส ขณะที่ในประมาณการของเราใส่การตั้งสำรองฯไว้ที่ 2.6 หมื่นล้านบาท จึงมี upside ต่อประมาณการของเรา แต่เราคาดว่า การตั้งสำรองฯที่ลดลงอาจจะชดเชยกับค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้น เรายังไม่มีการปรับประมาณการเพิ่มเติม แนะนำ ถือ ราคาเป้าหมายที่ 148 บาท อิง PBV ที่ 1.30x เทียบเท่า -1SD ย้อนหลัง 5 ปี
จากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ SCB เปิดเผยเรื่องงบลงทุนทางด้าน digital โดยของเดิมตั้งงบไว้ที่ 4 หมื่นล้านบาทปัจจุบันทาง SCB กำลัง review ช่วงกลางปีนี้ว่า อาจจะมีการปรับเพิ่มขึ้น เพราะมีค่าใช้จ่ายทางการตลาดและผู้ใช้ออนไลน์มากกว่าคาด ซึ่งจะส่งผลให้ Cost to income ratio มีการปรับเพิ่มขึ้นจากเป้าหมายเดิมที่ 42-45% ในส่วนของ IFRS9 ทาง SCB เปิดเผยว่า สามารถตั้งสำรองเพิ่มเติมผ่านกำไรสะสมได้ เพราะฉะนั้นทาง SCB กำลังพิจารณาเรื่องการตั้งสำรองเพิ่มเติมในงบกำไรขาดทุน และมีโอกาสที่จะกลับมาตั้งที่ระดับปกติที่ 5 พันล้านบาทต่อไตรมาส
ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นกลางต่อการประชุมวานนี้ แม้ว่าค่าใช้จ่ายด้าน Digital จะมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะผลลบต่อโดยตรงต่อประมาณการกำไรสุทธิของเรา แต่ทาง SCB พยายามเร่งลดต้นทุนสาขาลง และจะเพิ่ม NIM โดยการสินเชื่อไปยังสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันมากขึ้น เช่น สินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิต ขณะที่เราคาดว่า สินเชื่อดังกล่าวน่าจะเข้ามาในช่วง 4Q18 ในส่วนของการตั้งสำรองฯ หาก IFRS9 สามารถตั้งผ่านกำไรสะสมในงบดุลได้ เรามองว่า จะช่วยลดแรงกดดันในการตั้งสำรองเพิ่มเติมได้ และมีโอกาสที่ SCB จะกลับมาตั้งสำรองฯที่ระดับปกติที่ 5 พันล้านบาทต่อไตรมาส ขณะที่ในประมาณการของเราใส่การตั้งสำรองฯไว้ที่ 2.6 หมื่นล้านบาท จึงมี upside ต่อประมาณการของเรา แต่เราคาดว่า การตั้งสำรองฯที่ลดลงอาจจะชดเชยกับค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้น เรายังไม่มีการปรับประมาณการเพิ่มเติม แนะนำ ถือ ราคาเป้าหมายที่ 148 บาท อิง PBV ที่ 1.30x เทียบเท่า -1SD ย้อนหลัง 5 ปี
บทวิเคราะห์วันนี้
(+) BCH (ซื้อ/19.50 บาท) คาดกำไรสุทธิ 1Q18 เติบโต 36% YoY แต่ลดลง 19% QoQ
เราคาดกำไรสุทธิใน 1Q18 ของ BCH จะอยู่ที่ 224 ล้านบาท เติบโตโดดเด่น 36% YoY แต่ลดลง 19% QoQ โดยการเติบโต YoY มาจากการปรับค่าบริการของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) และโรคระบาดที่มากขึ้น ส่วนลดลง QoQ มาจากผลของฤดูกาล คาด WMC รายได้ลดลงเนื่องจากไม่ใช่หน้าตรวจสุขภาพ และ 4Q17 สปส.มีจ่ายค่า RW สำหรับ 26 โรคเรื้อรัง ซึ่งปกติ BCH มักจะบันทึกค่า RW ต่ำกว่าความเป็นจริง โดยเรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 เท่าเดิมที่ 1.1 พันล้านบาท เติบโต 22% YoY ซึ่งเรามองว่าอาจจะมี upside ได้อีกจาก IVF project ของ WMC ซึ่งเราคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นใน 1Q18 analyst meeting ที่จะถึงนี้ ทั้งนี้เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ BCH ที่ราคาเหมาะสม 19.50 บาท
(+) BCH (ซื้อ/19.50 บาท) คาดกำไรสุทธิ 1Q18 เติบโต 36% YoY แต่ลดลง 19% QoQ
เราคาดกำไรสุทธิใน 1Q18 ของ BCH จะอยู่ที่ 224 ล้านบาท เติบโตโดดเด่น 36% YoY แต่ลดลง 19% QoQ โดยการเติบโต YoY มาจากการปรับค่าบริการของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) และโรคระบาดที่มากขึ้น ส่วนลดลง QoQ มาจากผลของฤดูกาล คาด WMC รายได้ลดลงเนื่องจากไม่ใช่หน้าตรวจสุขภาพ และ 4Q17 สปส.มีจ่ายค่า RW สำหรับ 26 โรคเรื้อรัง ซึ่งปกติ BCH มักจะบันทึกค่า RW ต่ำกว่าความเป็นจริง โดยเรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 เท่าเดิมที่ 1.1 พันล้านบาท เติบโต 22% YoY ซึ่งเรามองว่าอาจจะมี upside ได้อีกจาก IVF project ของ WMC ซึ่งเราคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นใน 1Q18 analyst meeting ที่จะถึงนี้ ทั้งนี้เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ BCH ที่ราคาเหมาะสม 19.50 บาท
(+) BGRIM (ซื้อ/36.50 บาท) คาดกำไร 1Q18 เติบโตโดดเด่น QoQ, YoY
คาดกำไรปกติ 1Q18 ที่ 547 ล้านบาท (+51%QoQ, +39% YoY) จากการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าใหม่ 2 แห่ง (XXHP และ ABPR3) ซึ่งเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าราว 9% YoY ในขณะที่กำไรสุทธิคาดอยู่ที่ 777 ล้านบาท เป็นผลมาจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหลังค่าเงินบาทแข็งค่าราว 4% QoQ ทั้งนี้เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการที่ยังอยู่ในขาขึ้นและคงประมาณการกำไรปกติปี 2018 ที่ 2.5 พันล้านบาท (+20% YoY) จากกำลังการผลิตใหม่อีก 190MW ซึ่งรอ COD ในช่วงที่เหลือของปี คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 36.50 บาท (อิง DCF, WACC 5.5% ไม่มี Terminal growth)
คาดกำไรปกติ 1Q18 ที่ 547 ล้านบาท (+51%QoQ, +39% YoY) จากการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าใหม่ 2 แห่ง (XXHP และ ABPR3) ซึ่งเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าราว 9% YoY ในขณะที่กำไรสุทธิคาดอยู่ที่ 777 ล้านบาท เป็นผลมาจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหลังค่าเงินบาทแข็งค่าราว 4% QoQ ทั้งนี้เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการที่ยังอยู่ในขาขึ้นและคงประมาณการกำไรปกติปี 2018 ที่ 2.5 พันล้านบาท (+20% YoY) จากกำลังการผลิตใหม่อีก 190MW ซึ่งรอ COD ในช่วงที่เหลือของปี คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 36.50 บาท (อิง DCF, WACC 5.5% ไม่มี Terminal growth)
(+) RICHY (ซื้อ/2.50 บาท) แนวโน้มกำไรสุทธิ 1Q18 ยังแกร่ง และจะดีขึ้นมากต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี
เราประเมินกำไรสุทธิ 1Q18 แข็งแกร่งที่ 42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 844% YoY แต่ลดลง 34% QoQ นับว่าอยู่ในระดับที่โดดเด่น แม้จะยังไม่มีโครงการคอนโดใหม่เริ่มโอน โดยรายได้หลักยังคงมาจากโครงการเดอะริช@สาทร-ตากสิน และริชพาร์ค@เจ้าพระยา ทั้งนี้ แม้กำไรสุทธิ 1Q18 จะคิดเป็นเพียง 13.5% จากกำไรสุทธิทั้งปี 2018 ที่เราคาดไว้ที่ 312 ล้านบาท ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่ เพิ่มขึ้นก้าวกระโดดถึง 135% YoY โดยเราคาดว่ากำไรสุทธิในช่วงที่เหลือของปีนี้จะดีขึ้นมาก อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีปัจจัยหนุนจากการเริ่มโอนคอนโดขนาดใหญ่ ได้แก่ โครงการโครงการริชพาร์ค@ทริปเปิลสเตชัน ที่จะเริ่มโอนตั้งแต่ 2Q18 ทั้งนี้ จากกำไรปี 2018 ที่เติบโตสูง ส่งผลให้ PER ปี 2018 จะลดต่ำเหลือเพียง 6.5 เท่า เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 2.50 บาท
เราประเมินกำไรสุทธิ 1Q18 แข็งแกร่งที่ 42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 844% YoY แต่ลดลง 34% QoQ นับว่าอยู่ในระดับที่โดดเด่น แม้จะยังไม่มีโครงการคอนโดใหม่เริ่มโอน โดยรายได้หลักยังคงมาจากโครงการเดอะริช@สาทร-ตากสิน และริชพาร์ค@เจ้าพระยา ทั้งนี้ แม้กำไรสุทธิ 1Q18 จะคิดเป็นเพียง 13.5% จากกำไรสุทธิทั้งปี 2018 ที่เราคาดไว้ที่ 312 ล้านบาท ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่ เพิ่มขึ้นก้าวกระโดดถึง 135% YoY โดยเราคาดว่ากำไรสุทธิในช่วงที่เหลือของปีนี้จะดีขึ้นมาก อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีปัจจัยหนุนจากการเริ่มโอนคอนโดขนาดใหญ่ ได้แก่ โครงการโครงการริชพาร์ค@ทริปเปิลสเตชัน ที่จะเริ่มโอนตั้งแต่ 2Q18 ทั้งนี้ จากกำไรปี 2018 ที่เติบโตสูง ส่งผลให้ PER ปี 2018 จะลดต่ำเหลือเพียง 6.5 เท่า เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 2.50 บาท
(0) CENTEL (ถือ/53.00 บาท) 1Q18 ธุรกิจโรงแรมเติบโตได้ดี แต่ธุรกิจอาหาร SSSG หดตัว
เราคาดว่า กำไรสุทธิใน 1Q18 จะอยู่ที่ 831 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6%YoY และ 88% QoQ โดยการเพิ่มขึ้นมาจาก RevPar ที่เพิ่มขึ้น 4% YoY จากช่วง High Season โดยมีการเติบโตได้ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด และมี Occupancy Rate อยู่มนระดับสูงที่ 87% เพิ่มขึ้นจาก 1Q17 ที่ 85% จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนและรัสเซียเติบโตได้โดดเด่น ส่วนธุรกิจอาหารไม่ค่อยดีนัก โดย SSSG ใน 1Q18 กลับมาหดตัวลง 0.6% YoY เนื่องจากเทศกาล Easter ปีนี้ไปอยู่ในเดือน เม.ย. และแม้ว่ากำไรสุทธิใน 1Q18 จะเติบโตได้โดดเด่น แต่อย่างไรก็ดี การเข้าสู่ช่วง Low Season ของธุรกิจท่องเที่ยวในช่วง 2Q18-3Q18 รวมถึงธุรกิจอาหารยังคงมี SSSG ที่หดตัวลง รวมถึง ช่วง 2H18 ยังต้องเผชิญกับการ Renovate 2 โรงแรม เราจึงยังคงคำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมายที่ 53 บาท อิง DCF (WACC 7.6%, growth 3.5%)
เราคาดว่า กำไรสุทธิใน 1Q18 จะอยู่ที่ 831 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6%YoY และ 88% QoQ โดยการเพิ่มขึ้นมาจาก RevPar ที่เพิ่มขึ้น 4% YoY จากช่วง High Season โดยมีการเติบโตได้ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด และมี Occupancy Rate อยู่มนระดับสูงที่ 87% เพิ่มขึ้นจาก 1Q17 ที่ 85% จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนและรัสเซียเติบโตได้โดดเด่น ส่วนธุรกิจอาหารไม่ค่อยดีนัก โดย SSSG ใน 1Q18 กลับมาหดตัวลง 0.6% YoY เนื่องจากเทศกาล Easter ปีนี้ไปอยู่ในเดือน เม.ย. และแม้ว่ากำไรสุทธิใน 1Q18 จะเติบโตได้โดดเด่น แต่อย่างไรก็ดี การเข้าสู่ช่วง Low Season ของธุรกิจท่องเที่ยวในช่วง 2Q18-3Q18 รวมถึงธุรกิจอาหารยังคงมี SSSG ที่หดตัวลง รวมถึง ช่วง 2H18 ยังต้องเผชิญกับการ Renovate 2 โรงแรม เราจึงยังคงคำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมายที่ 53 บาท อิง DCF (WACC 7.6%, growth 3.5%)