- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 23 April 2018 20:16
- Hits: 2155
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ซื้อ/ถือต่อเมื่อ SET เหนือ 1790”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ต่างประเทศ - แม้กำไรบจ.สหรัฐงวด 1Q61 จะโตแกร่ง (ตลาดคาดไว้ +16%YoY) เพราะอัตราภาษีภาคธุรกิจที่ลดจาก 35% เป็น 21% ช่วยหนุน แต่แนวโน้มยอดขายบ.ใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยี เช่น Apple ที่มีแนวโน้มอ่อนกว่าคาดก็กดดันกันไปทั้งห่วงโซ่การผลิต คือ กระทบไปถึงผู้ผลิตชิพและซัพพลายเออร์ต่างๆด้วย นอกจากนั้นมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐที่เติบโตแข็งแกร่ง ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น ทำให้อัตราเงินเฟ้ออาจเร่งตัวขึ้นเร็วกว่าคาด เฟดก็อาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วและมากกว่าคาดได้ ดัชนีดอลลาร์ปรับขึ้นเป็น 90.4 ส่วน VIX ก็ขยับขึ้นเป็น 16.88%
สำหรับในประเทศ ติดตามเรื่อง 1.) กระทรวงการคลังให้ธปท.จี้ธ.พ.ลดดอกเบี้ยเงินกู้ SME...ทาง DBSV มองว่าแบงค์จะลดดอกเบี้ยได้ก็เฉพาะ SME ที่มีความเสี่ยงต่ำ และตามเกณฑ์ IFRS9 ถ้าปล่อยกู้ลูกค้ากลุ่มเสี่ยงจะต้องตั้งสำรองสูงขึ้นกว่าเกณฑ์เดิม (Credit cost สูงขึ้น) ถ้าให้ลดดอกเบี้ยลง คาดว่าแบงค์จะหลีกเลี่ยงไม่ปล่อยสินเชื่อ และทำให้กลุ่ม SME จะเข้าถึงสินเชื่อได้ยากขึ้นไปอีก, 2.) ผลประชุมกพช. วันนี้ (23 เม.ย.) เกี่ยวกับ TOR ประมูลแหล่งเอราวัณและบงกช ซึ่งจะสิ้นสุดสัมปทานปี 65-66 โดย PTTEP จะจับมือกับโททาลเข้าประมูลทั้ง 2 แหล่ง
Update กลุ่มและหุ้น : กลุ่มแบงค์ – ธนาคาร 11 แห่งมีกำไร 1Q61 โตจำกัดเพียง 1.4%YoY แต่ก็ดีกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ แนวโน้ม 2Q61 มีแรงกดดันจากการยกเลิกค่า Fee ผ่านระบบดิจิตอล สำรองฯยังคงสูง ค่าใช้จ่ายดำเนินงานเพิ่ม และยังมีประเด็นที่ก.คลังจะให้ลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กด้วย เน้นซื้อสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว
กลุ่มโรงกลั่น – จบ Overhang เรื่องสูตรราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นใหม่ โดยราคาจะลดลง 41-61 สตางค์/ลิตร (ณ 20 เม.ย.61) และกพช.เห็นชอบให้ลดการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันลงจาก 25 เป็น 10 สตางค์/ลิตร เป็นเวลา 2 ปี อย่างไรก็ตามราคาตามสูตรเป็นราคาอ้างอิง ราคาน้ำมันค้าส่งและค้าปลีกจะลดลงแค่ไหนขึ้นกับอุปสงค์และอุปทานเป็นสำคัญ...DBSV คาดว่าเรื่องนี้กระทบกำไรผู้ประกอบการโรงกลั่นจำกัดเพียง 1-2% เท่านั้น การเก็งกำไร/ถือหุ้นต่อทำเมื่อราคาอยู่เหนือ SMA10 ได้อย่างมั่นคง หลุดแนวดังกล่าวควรลดพอร์ตตาม
ก ารวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพเป็นบวก ซื้อใหม่เน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1810-1820 Stop loss ถ้าหลุด 1790 สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น THA NI, CPN, THG, HMPRO, WHA, BJC ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ AOT, ROBINS, AEONTS, CPN, ERW, JWD, GULF ที่หลุด List คือ SF และที่ให้หาจังหวะ Take profit เป็น PTT, COM7, RCL
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : ดัชนีการผลิตเม.ย.พุ่งขึ้นมากกว่าคาด
# ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟียระบุว่าดัชนีการผลิตพุ่งขึ้นสู่ระดับ 23.2 ในเดือนเม.ย. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 20.5 ซึ่งบ่งชี้ถึงการดีดตัวของราคาและอัตราเงินเฟ้อ โดยนักลงทุนกังวลว่าปัจจัยดังกล่าวอาจผลักดันให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้
• สหรัฐ : เจ้าหน้าที่ภาคการเงินบางรายมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐรับมือกับกับปรับขึ้นดอกเบี้ยได้
# การเติบโตที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐทำให้เจ้าหน้าที่เฟดและเจ้าหน้าที่ภาคการเงินหลายรายประเมินว่าเศรษฐกิจขณะนี้สามารถรับกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดได้ และมีความเป็นไปได้ว่าเฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าคาดถ้าอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นเร็ว
# ดัชนีดอลลาร์ (เทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน) เพิ่มขึ้น 0.37% แตะระดับ 90.277 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาสะท้อนมุมมองดังกล่าวข้างต้น
- ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนีร่วงลง นำโดยกลุ่มเทคโนโลยี
# ดัชนี DJIA ปิดที่ 24,462.94 จุด ร่วงลง 201.95 จุด หรือ -0.82% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,670.14 จุด ลดลง 22.99 จุด หรือ -0.85% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,146.13 จุด ลดลง 91.93 จุด หรือ -1.27%
# ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากมอร์แกน สแตนลีย์ระบุว่า ยอดขาย iPhone ในไตรมาส 2 จะต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ซึ่งกระทบต่อผู้ผลิตชิพให้กับ Apple ในไต้หวันอย่าง บริษัทไต้หวัน เซมิคอนดัคเตอร์ แมนูแฟคเจอริง (TSMC) และบริษัทซัพพลายเออร์อื่นๆ ด้วย
# US Bond Yield ที่ปรับขึ้นก็กดดันตลาดหุ้นด้วย โดยระยะ 10 ปีเพิ่มเป็น 2.92% และ 30 ปีเป็น 3.10%
• ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคาอ่อนลงเล็กน้อย
# ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ว่าพยายามผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้นในระยะนี้
# เบเกอร์ ฮิวจ์ เปิดเผยว่าแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งาน มีจำนวนเพิ่มขึ้น 5 แท่น สู่ระดับ 820 แท่นในสัปดาห์นี้ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2558
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 9 เซนต์ หรือ +0.1% ปิดที่ 68.38 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนทั้งสัปดาห์ก่อน +1.5% ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 28 เซนต์ หรือ +0.4% ปิดที่ 74.06 ดอลลาร์/บาร์เรล และตลอดทั้งสัปดาห์ก่อน +2%
- ภาวะตลาดทองคำ : ราคาร่วงเกือบ 0.8%
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ร่วงลง 10.5 ดอลลาร์ หรือ 0.78% ปิดที่ 1,338.3 ดอลลาร์/ออนซ์ และตลอดสัปดาห์ สัญญาทองคำปรับตัวลงราว 0.7%
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่นบจ.
• กลุ่มธนาคารพาณิชย์ : กำไร 1Q61 เติบโตจำกัดตามคาด
# กลุ่มธนาคารพาณิชย์ 11 แห่งใน SET มีกำไรสุทธิ 1Q61 เท่ากับ 54,413 ล้านบาท (+1.40%YoY) โดย SCB ทำกำไรได้สูงสุดในกลุ่มคือ 11,364 ล้านบาท (-4.6%YoY) รองลงมาคือ KBANK มีกำไร 10,171 ล้านบาท (+5.8%YoY) ด้าน BBL มีกำไร 9,004 ล้านบาท (+8.43%YoY) KTB มีกำไร 6,787 ล้านบาท (-20.51%YoY) TMB มีกำไร 2,280 ล้านบาท (+8.7%YoY) ส่วนแบงค์เล็ก TCAP มีกำไร 3,779 ล้านบาท (+15.5%YoY), TISCO มีกำไร 1,766 ล้านบาท (+18.4%YoY) KK มีกำไร 1,513 ล้านบาท (-0.7%YoY)
# ความเห็นเชิงกลยุทธ์ DBSV : นับได้ว่าการเติบโตของกำไรธ.พ.ในไตรมาส 1/61 ดีกว่าคาดเล็กน้อย แต่การขยายตัวก็ยังจำกัด ทั้งนี้แม้ว่าสินเชื่อและรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจะเติบโตได้ แต่รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยขยายตัวชะลอลง การตั้งสำรองค่าเผื่อฯยังอยู่ในระดับสูง ส่วนหนึ่งเพื่อรองรับมาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS 9 ที่จะเริ่มใช้ 1 ม.ค.62 รวมทั้งค่าใช้จ่ายดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายการตลาดและลงทุนในระบบดิจิตอลแบงค์กิ้ง แต่ถ้าเทียบกับไตรมาส 4/60 พบว่ามีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลจากปัจจัยฤดูกาล เพราะไตรมาส 4 จะมีค่าใช้จ่ายดำเนินงานสูง
แนวโน้มกำไรไตรมาส 2/61 มีโอกาสชะลอตัวลงจากการยกเลิกค่าธรรมเนียมที่ดำเนินการผ่านระบบดิจิตอล เราให้น้ำหนักลงทุนเป็น Neutral สำหรับหุ้น Top picks ของฝ่ายวิจัยฯ DBSV เป็น BBL (ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของการลงทุน) และ TMB (มีการเติบโตของสินเชื่อ Small SME ที่แข็งแกร่ง) ส่วนหุ้นปันผลในกลุ่มนี้เป็น TISCO และ KKP
• กลุ่มธนาคารพาณิชย์ : คาดแบงก์เล็กไทยจ่อควบรวมกิจการ
# แหล่งข่าวเปิดเผยว่าในแวดวงการธนาคารมีกระแสข่าวควบรวมกิจการของธนาคารพาณิชย์จริง แต่ไม่ใช่ KTB และ TMB เนื่องจากทั้ง 2 แบงก์ นอกจากมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นกระทรวงการคลัง โดยธนาคารกรุงไทย ผู้ถือหุ้นอันดับหนึ่ง คือ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน สัดส่วน 55.07% ส่วนธนาคารทหารไทยมีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 25.92% และยังมีผู้ถือหุ้นอื่นมองว่าอาจผ่านความเห็นชอบผู้ถือหุ้นได้ยาก (เดลินิวส์)
-/• กลุ่มโรงกลั่น : กบง.มีมติปรับเกณฑ์คำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น ทำให้ราคาขายส่งลดลง
# เมื่อ 20 เม.ย.61 นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)ว่า ที่ประชุมมีมติปรับโครงสร้างเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเห็นชอบให้ใช้เกณฑ์ราคา Euro IV แทน Euro III ของเดิม ณ วันนี้ (20 เม.ย.) ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลง 41 สตางค์/ลิตร, แก๊ซโซฮอลล์ 91 และ 95 ลดลง 61 และ 43 สตางค์/ลิตร
# และวันที่ 20 เม.ย.61 กพช.ได้ลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้ลดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับน้ำมันเบนซิล แก๊สโซฮอลล์ และดีเซลลงจาก 25 เป็น 10 สตางค์/ลิตร เป็นระยะเวลา 2 ปี มีผลตั้งแต่ 21 เม.ย.61 เป็นต้นไป
# เมื่อรวมมติกบง.และกพช.แล้วจะทำให้ราคาขายส่งน้ำมัน (ก่อนรวมค่าการตลาดและจัดส่งตามสถานีบริการ) ลดลง 60-80 สตางค์/ลิตร แต่...ราคาหน้าโรงกลั่นเป็นเพียงราคาอ้างอิงและราคาขายปลีกเป็นราคาในตลาดเสรี ดังนั้นราคาน้ำมันจะปรับลดลงแค่ไหนอย่างไรก็ขึ้นกับอุปสงค์และอุปทานเป็นสำคัญ
# ความเห็นเชิงกลยุทธ์ DBSV : การลดราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นตามสูตรใหม่กระทบ SPRC มากที่สุด เพราะมีรายได้จากโรงกลั่น 100% รองลงมาเป็น BCP, ESSO, TOP ที่มีรายได้จากโรงกลั่น 60-70% ตามมาด้วย IRPC ที่มีรายได้จากโรงกลั่น 35% และที่ได้รับผลกระทบน้อยสุดคือ PTTGC ซึ่งมีรายได้จากโรงกลั่นราว 25% โดยรวมแล้วคาดว่าผลกระทบของแต่ละบริษัทจะอยู่ในช่วง 1-2% ของกำไร ซึ่งไม่ได้รุนแรงมาก และราคาหุ้นโรงกลั่นได้ปรับลดลงรับผลกระทบส่วนนี้ไปแล้วในเชิงกลยุทธ์ การลงทุนในกลุ่มโรงกลั่นและพลังงาน ช่วงสั้นควรติดตามราคาน้ำมันดิบ หากอ่อนตัวลงก็จะทำให้ราคาหุ้นอาจพักฐานได้ ซื้อใหม่/ถือต่อเมื่อราคาหุ้นอยู่เหนือ SMA10 ได้อย่างมั่นคง อ่อนตัวต่ำกว่าแนวดังกล่าว ควรลดพอร์ตาม
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]
OO7846