- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 23 April 2018 20:08
- Hits: 467
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
Market summary
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา SET ปรับตัวทดสอบ 1,800 จุด โดยระหว่างชั่วโมงการซื้อขายมีแรงซื้อเด่นในกลุ่มพลังงานนำโดย PTT, PTTEP และกลุ่ม ICT อย่าง TRUE, ADVANC ในขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารมีแรงซื้อเก็งกำไรหลังรายงานงบที่ดีกว่าเช่น SCB อย่างไรก็ตามมีแรงขายเด่นในกลุ่มโรงกลั่นนำโดย TOP, BCP, SPRC, ESSO โดย ณ.สิ้นวัน SET ปิดที่ระดับ 1,801.2 จุด (+6.3 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 7.0 หมื่นล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้าที่ 8.4 หมื่นล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติกลับมาชายหุ้นไทยที่ 1,609 ล้านบาท และเปิดสถานะ Long SET50 index future เป็นวันที่ 3 ที่ 810 สัญญา
Investment theme
SET เราเผชิญกับ Policy risk มากขึ้นเรื่อยๆ : จบไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับการรายงานผลประกอบการกลุ่มธนาคาร โดยภาพรวมกำไร 9 ธนาคาร รวม 5.16 หมื่นล้านบาท (+1%YoY,+26%QoQ) สูงกว่าที่เราและตลาดคาดประมาณ 8.1% และ 3.6% เกิดจากกำไรที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non- NII) , กำไรพิเศษ และตั้งสำรองที่น้อยกว่าคาด อย่างไรก็ตามในเชิงโครงสร้างพื้นฐานของกลุ่มอย่าง Loan growth(%) , NPL ยังไม่เห็นการฟื้นตัว ในขณะที่กลุ่มกำลังเผชิญกับ ROE(%) ที่ลดลงเรื่อยๆ อีกทั้งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสได้รับความเสี่ยงเชิงนโยบายต่างๆ (policy risk) เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้, กองทุนฟื้นฟู (FIDF) ซึ่งนอกเหนือจากกลุ่มธนาคารแล้ว กลุ่มอื่นๆ ก็เริ่มได้รับผลกระทบเช่นกัน อทิ กลุ่มโรงกลั่น, ปั๊มน้ำมัน จากการปรับราคาขายปลีกน้ำมันลดลง ล่าสุดหลายปั๊มทั่วประเทศเริ่มปรับราคาขายปลีกน้ำมันลง 30 สตางค์ ในขณะที่กองทุนรัฐช่วยเหลือเพียง 15 สตางค์ นั่นหมายถึงมีโอกาสที่ ปั๊มและโรงกลั่นอาจแบ่งความเสียหายที่เหลือ ซึ่งเรามองว่ายิ่งใกล้ช่วงเลือกตั้งมากเท่าไร เราจะเริ่มเห็น Policy risk มากขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นในระยะกลาง เชิงกลยุทธ์เราแนะหลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่ม ธนาคารและโรงกลั่น หันมาสะสมกลุ่มค้าปลีกที่มี Upside เช่น CPALL, BJC และ HMPRO และสัปดาห์นี้ปัจจัยต่างประเทศก็สำคัญไม่แพ้กัน ได้แก่ Bond yield สหรัฐกลับมาปรับขึ้นในอัตราเร่งภายหลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐและผลประกอบการออกมาในเกณฑ์ดีกว่าคาด ประกอบกับราคา Commodity นำโดยน้ำมันปรับขึ้นในอัตราเร่ง ส่งผลให้เกิดความกังวลเรื่องการเร่งตัวของเงินเฟ้อ ล่าสุดส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทย-สหรัฐห่างกันสูงกว่า 50bps ทำให้การลงทุนในระยะกลางต้องเพิ่มความระมัดระวังเรื่องการไหลออกของเงินทุน
Investment Theme: สัปดาห์นี้คาด SET แกว่งบริเวณ 1,800 จุด โดยแนะนักลงทุนระมัดระวังแรงขายกลุ่มโรงกลั่น พร้อมติดตามการ Preview งบกลุ่มพลังงานและปิโตร
Big issue
เมื่อคืนที่ผ่านมา – เกาหลีเหนือแถลงยุติการทดสอบขีปนาวุธ / IMF ออกโรงเตือนหนี้สินทั่วโลกอยู่ในระดับสูงสุดที่ 164 ล้านล้านเหรียญ
Stock pick : CPALL
CPALL : แนะซื้อ ราคาเหมาะสม 94.0 บาท/หุ้น
เราเริ่มเห็นหลาย Policy risk ในหลายๆ กลุ่ม (ทำให้เหลือหุ้นในลงทุนลดลงเรื่อยๆ) เริ่มจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ล่าสุดกระทบกลุ่มโรงกลั่นและปั๊มน้ำมัน อีกทั้งเริ่มมีแรงกดดันจากกระทรวงการคลังเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งกลุ่มที่จะได้ประโยชน์โดยตรงได้แก่ “ประชาชน” หรือเรียกได้นโยบายต่างๆ ส่งผลให้กำลังซื้อของคนทั้งประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นบวกโดยตรงต่อกลุ่มค้าปลีก
คาดผลประกอบการ 1Q18 เติบโต YoY, QoQ เป็นผลจากรายได้เฉลี่ยต่อสาขา (SSSG%) เติบโตประมาณ 3-4% และคาดเติบโตได้ดีในช่วง 2Q18 จากการเข้าสู่ช่วงหน้าร้อน และคงเป้าการขยายสาขากว่า 700 สาขา เพื่อเป้าหมาย 13,000 สาขาในปี 2564 ในขณะที่ D/E ปรับลงจากระดับ 1.7x ในปีก่อน และคาดเหลือ 1.4x ในปีนี้ (มีโอกาสลดเพิ่มอีก หากลดสัดส่วนการถือครอง MAKRO)
คงคำแนะนำซื้อด้วยราคาเหมาะสม 94.0 บาท/หุ้น
Trading idea – – ชะลอการลงทุนในกลุ่มโรงกลั่น เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนในหลายประเด็น
Technical View
Market summary
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา SET ปรับตัวทดสอบ 1,800 จุด โดยระหว่างชั่วโมงการซื้อขายมีแรงซื้อเด่นในกลุ่มพลังงานนำโดย PTT, PTTEP และกลุ่ม ICT อย่าง TRUE, ADVANC ในขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารมีแรงซื้อเก็งกำไรหลังรายงานงบที่ดีกว่าเช่น SCB อย่างไรก็ตามมีแรงขายเด่นในกลุ่มโรงกลั่นนำโดย TOP, BCP, SPRC, ESSO โดย ณ.สิ้นวัน SET ปิดที่ระดับ 1,801.2 จุด (+6.3 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 7.0 หมื่นล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้าที่ 8.4 หมื่นล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติกลับมาชายหุ้นไทยที่ 1,609 ล้านบาท และเปิดสถานะ Long SET50 index future เป็นวันที่ 3 ที่ 810 สัญญา
Investment theme
SET เราเผชิญกับ Policy risk มากขึ้นเรื่อยๆ : จบไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับการรายงานผลประกอบการกลุ่มธนาคาร โดยภาพรวมกำไร 9 ธนาคาร รวม 5.16 หมื่นล้านบาท (+1%YoY,+26%QoQ) สูงกว่าที่เราและตลาดคาดประมาณ 8.1% และ 3.6% เกิดจากกำไรที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non- NII) , กำไรพิเศษ และตั้งสำรองที่น้อยกว่าคาด อย่างไรก็ตามในเชิงโครงสร้างพื้นฐานของกลุ่มอย่าง Loan growth(%) , NPL ยังไม่เห็นการฟื้นตัว ในขณะที่กลุ่มกำลังเผชิญกับ ROE(%) ที่ลดลงเรื่อยๆ อีกทั้งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสได้รับความเสี่ยงเชิงนโยบายต่างๆ (policy risk) เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้, กองทุนฟื้นฟู (FIDF) ซึ่งนอกเหนือจากกลุ่มธนาคารแล้ว กลุ่มอื่นๆ ก็เริ่มได้รับผลกระทบเช่นกัน อทิ กลุ่มโรงกลั่น, ปั๊มน้ำมัน จากการปรับราคาขายปลีกน้ำมันลดลง ล่าสุดหลายปั๊มทั่วประเทศเริ่มปรับราคาขายปลีกน้ำมันลง 30 สตางค์ ในขณะที่กองทุนรัฐช่วยเหลือเพียง 15 สตางค์ นั่นหมายถึงมีโอกาสที่ ปั๊มและโรงกลั่นอาจแบ่งความเสียหายที่เหลือ ซึ่งเรามองว่ายิ่งใกล้ช่วงเลือกตั้งมากเท่าไร เราจะเริ่มเห็น Policy risk มากขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นในระยะกลาง เชิงกลยุทธ์เราแนะหลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่ม ธนาคารและโรงกลั่น หันมาสะสมกลุ่มค้าปลีกที่มี Upside เช่น CPALL, BJC และ HMPRO และสัปดาห์นี้ปัจจัยต่างประเทศก็สำคัญไม่แพ้กัน ได้แก่ Bond yield สหรัฐกลับมาปรับขึ้นในอัตราเร่งภายหลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐและผลประกอบการออกมาในเกณฑ์ดีกว่าคาด ประกอบกับราคา Commodity นำโดยน้ำมันปรับขึ้นในอัตราเร่ง ส่งผลให้เกิดความกังวลเรื่องการเร่งตัวของเงินเฟ้อ ล่าสุดส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทย-สหรัฐห่างกันสูงกว่า 50bps ทำให้การลงทุนในระยะกลางต้องเพิ่มความระมัดระวังเรื่องการไหลออกของเงินทุน
Investment Theme: สัปดาห์นี้คาด SET แกว่งบริเวณ 1,800 จุด โดยแนะนักลงทุนระมัดระวังแรงขายกลุ่มโรงกลั่น พร้อมติดตามการ Preview งบกลุ่มพลังงานและปิโตร
Big issue
เมื่อคืนที่ผ่านมา – เกาหลีเหนือแถลงยุติการทดสอบขีปนาวุธ / IMF ออกโรงเตือนหนี้สินทั่วโลกอยู่ในระดับสูงสุดที่ 164 ล้านล้านเหรียญ
Stock pick : CPALL
CPALL : แนะซื้อ ราคาเหมาะสม 94.0 บาท/หุ้น
เราเริ่มเห็นหลาย Policy risk ในหลายๆ กลุ่ม (ทำให้เหลือหุ้นในลงทุนลดลงเรื่อยๆ) เริ่มจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ล่าสุดกระทบกลุ่มโรงกลั่นและปั๊มน้ำมัน อีกทั้งเริ่มมีแรงกดดันจากกระทรวงการคลังเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งกลุ่มที่จะได้ประโยชน์โดยตรงได้แก่ “ประชาชน” หรือเรียกได้นโยบายต่างๆ ส่งผลให้กำลังซื้อของคนทั้งประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นบวกโดยตรงต่อกลุ่มค้าปลีก
คาดผลประกอบการ 1Q18 เติบโต YoY, QoQ เป็นผลจากรายได้เฉลี่ยต่อสาขา (SSSG%) เติบโตประมาณ 3-4% และคาดเติบโตได้ดีในช่วง 2Q18 จากการเข้าสู่ช่วงหน้าร้อน และคงเป้าการขยายสาขากว่า 700 สาขา เพื่อเป้าหมาย 13,000 สาขาในปี 2564 ในขณะที่ D/E ปรับลงจากระดับ 1.7x ในปีก่อน และคาดเหลือ 1.4x ในปีนี้ (มีโอกาสลดเพิ่มอีก หากลดสัดส่วนการถือครอง MAKRO)
คงคำแนะนำซื้อด้วยราคาเหมาะสม 94.0 บาท/หุ้น
Trading idea – – ชะลอการลงทุนในกลุ่มโรงกลั่น เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนในหลายประเด็น
Technical View
ลุ้นการฟื้นตังแบบ V-Shape มองแนวต้านที่ 1820: แรงซื้อหลักจากหลุ่มพลังงานและสื่อสาร ทำให้ดัชนีสามารถปิดยืนเหนือ 1800 แม้ระหว่างวันจะมีอ่อนตัว แต่มองว่าเป็นการปรับฐานจบภายในวัน ระยะกลางมองว่าดัชนีมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นแบบ V-Shape ซึ่งขณะนี้มีสัญญาณบวกใน MACD สนับสนุน และหากดัชนีสามารถผ่านแนวต้าน 1820 ได้จะถือว่ามีโอกาสกลับเป็นขาขึ้นอีกครั้ง ยังมองว่าจังหวะอ่อนตัวระหว่างวันเป็นโอกาสสะสมหุ้นที่แนวรับ เพื่อ Trading กลยุทธ์การลงทุน 1) มีหุ้น: Let Profit Run หรือ Trading ในกรอบ 1790-1820 และพิจารณาแรงขายที่ 1820 2) ไม่มีหุ้น: จังหวะอ่อนระหว่างวัน มองเป็นโอกาสซื้อที่แนวรับ เพื่อเล่น Trading
แนวรับ : 1795, 1790 แนวต้าน : 1810, 1820
Keep an eye on…
ปัจจัยต่างประเทศ: การประชุม ECB 26 เม.ย.
ปัจจัยในประเทศ: 23 เม.ย.เสนอกพช.พิจารณา TOR บงกช-เอราวัณ
แนวรับ : 1795, 1790 แนวต้าน : 1810, 1820
Keep an eye on…
ปัจจัยต่างประเทศ: การประชุม ECB 26 เม.ย.
ปัจจัยในประเทศ: 23 เม.ย.เสนอกพช.พิจารณา TOR บงกช-เอราวัณ
หุ้นเทคนิค:
ADVANC (B 203.00-205.00, Tp 213.00//220.00, Cut 200.00)
HMPRO (B 14.70, Tp 16.00, Cut 14.40)
ADVANC (B 203.00-205.00, Tp 213.00//220.00, Cut 200.00)
HMPRO (B 14.70, Tp 16.00, Cut 14.40)
นักวิเคราะห์ : สรพล วีระเมธีกุล / วิจิตร อารยะพิศิษฐ / จรูญพันธ์ วัฒนวงศ์
Research Department Tel. 02-658-5000
OO7834
Research Department Tel. 02-658-5000
OO7834