- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 19 April 2018 17:19
- Hits: 1221
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ได้แรงหนุนจากหุ้น Bank”
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
คาดดัชนีฯ มีแนวโน้มบวกต่อ ... แรงซื้อที่เข้ามาชัดเจนในหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังทยอยรายงานผลการดำเนินงาน (ดีกว่าคาด) บวกกับความเป็น laggard คือขึ้นน้อย ทำให้หุ้นธนาคารยังเป็นกลุ่มนำตลาดต่อไป ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นหลัง stock น้ำมันดิบสหรัฐฯ ลดลง (1 mbpd wow) และความตึงเครียดในตะวันออกกลางหนุนหุ้นกลุ่มน้ำมัน-ปิโตรเคมี ... ปัจจัยภายนอก วันนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อิงกับเรื่องผลการดำเนินงาน ภาวะเศรษฐกิจรายงานโดย fed ยังโตต่อเนื่อง จากรายงาน Beige Book .... วันนี้ รัฐบาลไทยเตรียมเซ็น MOU กับ Alibaba Group ร่วมมือด้าน Smart Digital Hub ในโซน EEC และ BBL, LHBANK,SCB, TCAP, THANI , TMB คาดจะส่งงบวันนี้
กลยุทธ์การลงทุน:
แม้จะมองดัชนีฯปรับตัวขึ้น แต่คงไม่ร้อนแรงเหมือนวานนี้ กรอบบนดัชนีฯวันนี้ ให้ไว้ที่ 1780 จุด ...กลยุทธ์ลงทุน เน้นเล่นสั้นๆ เข้าซื้อแบบเลือกกลุ่มเลือกตัว โดยกลุ่มน้ำมัน-ปิโตรเคมี-ธนาคาร ได้แก่ BBL, KBANK , PTTEP , IRPC ขณะที่หุ้นมีประเด็นตัวอื่นๆ เราแนะนำต่อสำหรับ WHA ที่ได้อานิสงค์จากการลงทุนของอาลีบาบาและการลงทุนใหม่ๆ ที่ผ่านการขอจากบีโอไอมาแล้ว และหุ้นที่มีปัจจัยบวกอื่นๆ ประกอบด้วย THANI ,PLANB , BCH
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) THANI : (ราคาปิด 8.00 บาท)
วันนี้ THANI จะส่งงบ 1Q เราคาดกำไรสุทธิ ที่ 338 ล้านบาท ขยายตัว 38% YoY และ 6% QoQ จากการขยายตัวของสินเชื่อเช่าซื้อที่ประมาณ 5%YTD โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกใหม่ที่เรามองว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลงตามการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิม ...... คาดกำไรสุทธิปี 2018 ที่ 1.5 พันล้านบาท ขยายตัว 30%.... ราคาเหมาะสม โดย KTBST ที่ 8.20 บาท
(+) PLANB : (ราคาปิด 5.75 บาท)
จากตัวเลขสื่อโฆษณาของไทย เดือน มี.ค. นีลเส็นฯ รายงาน อุตสาหกรรมโฆษณาของไทยยังติดลบ 6.53% YoY แต่ปรับตัวขึ้น 22.5% MoM แต่สื่อกลางแจ้ง กลับเพิ่ม 8.62% YoY บ่งชี้ว่าการซื้อสื่อนั้นกระจายมาที่สื่อนี้ต่อเนื่อง ซึ่ง PLANB เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ .... คาดจะมีเม็ดเงินเข้าสู่สื่อต่างๆ มากขึ้น สอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจด้วย ..... กำไร 4Q-18 โต 52% YoY ผลสำรวจ Bloomberg ประเมินกำไรว่าจะเติบโต 16% YoY
(+) WHA: (ราคาปิด 3.98 บาท)
อาลีบาบา จะพบนายกรัฐมนตรี และลงนามเอ็มโอยูลงทุนไทย 4 ฉบับ ....... “บีโอไอ” เผยยอดส่งเสริมลงทุนไตรมาสแรกสนั่น 333 โครงการ มูลค่ารวมทะลัก 2 แสนล้านบาท “ปิโตรเคมี-ท่องเที่ยว-ยานยนต์” บวกต่อกลุ่มนิคมฯ โดยตรง …. ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST 5.00 บาท
หุ้นมีประเด็น
(+) DDD รุกตลาดเวชสำอาง ทุ่ม101ล้านบาทซื้อ Oxy'Cure
DDD รุกเวชสำอางโดยบริษัทย่อยของ DDD เข้าซื้อแบรนด์ Oxe'Cure คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 101.53 ล้านบาท (Source: ข่าวหุ้น)
ความเห็น: เรามีมุมมองเชิงบวกกับข่าวข้างต้น เรามองว่าจะส่งผลบวก DDD ดังนี้ 1) DDD สามารถขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มวัยรุ่นและผู้ชาย, 2)ในปี2017 ตลาดผลิตภัณฑ์รักษาสิวในไทยมีมูลค่ากว่า 1,100 ล้านบาท มีการคาดการณ์อัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 10% ต่อปีใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งสูงกว่ากลุ่ม skincare ที่อยู่ที่ 5% ต่อปี, 3) ในปี 2018 ตั้งเป้ายอดขาย Oxe'Cure ที่ 100 ล้านบาท หนุนโดยแผนขยายช่องทางการจัดจำหน่าย TT และร้านขายยา, 4) คาด EBIT margin ของ DDD จะขยายตัวจาก Utilization rate ที่ปรับตัวดีขึ้นจากการย้าย Oxe'Cure มาผลิตที่โรงงานของ DDD และ Utilization rate ของ Snailwhite ที่ตั้งเป้าที่ 70% (ปี2017 =55%) ส่งผลให้เกิด economy of scale , SG&A ของ Oxe'Cure ต่ำลงจากการใช้ช่องทางโฆษณาเดียวกับ Snailwhite ทำให้มีอำนาจการต่อรองมากขึ้น เราชอบแผนการรุกขยาย Brand portfolio ของ DDD เรามองว่าจะช่วยลดการพึ่งพิง Snailwhite เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิที่ 622 ล้านบาท (+77.2% YoY) เรายังคงคำแนะนำให้ "ซื้อ"โดยมีราคาเป้าหมายปี 2018ที่ 125 บาท
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
คาดดัชนีฯ มีแนวโน้มบวกต่อ ... แรงซื้อที่เข้ามาชัดเจนในหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังทยอยรายงานผลการดำเนินงาน (ดีกว่าคาด) บวกกับความเป็น laggard คือขึ้นน้อย ทำให้หุ้นธนาคารยังเป็นกลุ่มนำตลาดต่อไป ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นหลัง stock น้ำมันดิบสหรัฐฯ ลดลง (1 mbpd wow) และความตึงเครียดในตะวันออกกลางหนุนหุ้นกลุ่มน้ำมัน-ปิโตรเคมี ... ปัจจัยภายนอก วันนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อิงกับเรื่องผลการดำเนินงาน ภาวะเศรษฐกิจรายงานโดย fed ยังโตต่อเนื่อง จากรายงาน Beige Book .... วันนี้ รัฐบาลไทยเตรียมเซ็น MOU กับ Alibaba Group ร่วมมือด้าน Smart Digital Hub ในโซน EEC และ BBL, LHBANK,SCB, TCAP, THANI , TMB คาดจะส่งงบวันนี้
กลยุทธ์การลงทุน:
แม้จะมองดัชนีฯปรับตัวขึ้น แต่คงไม่ร้อนแรงเหมือนวานนี้ กรอบบนดัชนีฯวันนี้ ให้ไว้ที่ 1780 จุด ...กลยุทธ์ลงทุน เน้นเล่นสั้นๆ เข้าซื้อแบบเลือกกลุ่มเลือกตัว โดยกลุ่มน้ำมัน-ปิโตรเคมี-ธนาคาร ได้แก่ BBL, KBANK , PTTEP , IRPC ขณะที่หุ้นมีประเด็นตัวอื่นๆ เราแนะนำต่อสำหรับ WHA ที่ได้อานิสงค์จากการลงทุนของอาลีบาบาและการลงทุนใหม่ๆ ที่ผ่านการขอจากบีโอไอมาแล้ว และหุ้นที่มีปัจจัยบวกอื่นๆ ประกอบด้วย THANI ,PLANB , BCH
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) THANI : (ราคาปิด 8.00 บาท)
วันนี้ THANI จะส่งงบ 1Q เราคาดกำไรสุทธิ ที่ 338 ล้านบาท ขยายตัว 38% YoY และ 6% QoQ จากการขยายตัวของสินเชื่อเช่าซื้อที่ประมาณ 5%YTD โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกใหม่ที่เรามองว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลงตามการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิม ...... คาดกำไรสุทธิปี 2018 ที่ 1.5 พันล้านบาท ขยายตัว 30%.... ราคาเหมาะสม โดย KTBST ที่ 8.20 บาท
(+) PLANB : (ราคาปิด 5.75 บาท)
จากตัวเลขสื่อโฆษณาของไทย เดือน มี.ค. นีลเส็นฯ รายงาน อุตสาหกรรมโฆษณาของไทยยังติดลบ 6.53% YoY แต่ปรับตัวขึ้น 22.5% MoM แต่สื่อกลางแจ้ง กลับเพิ่ม 8.62% YoY บ่งชี้ว่าการซื้อสื่อนั้นกระจายมาที่สื่อนี้ต่อเนื่อง ซึ่ง PLANB เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ .... คาดจะมีเม็ดเงินเข้าสู่สื่อต่างๆ มากขึ้น สอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจด้วย ..... กำไร 4Q-18 โต 52% YoY ผลสำรวจ Bloomberg ประเมินกำไรว่าจะเติบโต 16% YoY
(+) WHA: (ราคาปิด 3.98 บาท)
อาลีบาบา จะพบนายกรัฐมนตรี และลงนามเอ็มโอยูลงทุนไทย 4 ฉบับ ....... “บีโอไอ” เผยยอดส่งเสริมลงทุนไตรมาสแรกสนั่น 333 โครงการ มูลค่ารวมทะลัก 2 แสนล้านบาท “ปิโตรเคมี-ท่องเที่ยว-ยานยนต์” บวกต่อกลุ่มนิคมฯ โดยตรง …. ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST 5.00 บาท
หุ้นมีประเด็น
(+) DDD รุกตลาดเวชสำอาง ทุ่ม101ล้านบาทซื้อ Oxy'Cure
DDD รุกเวชสำอางโดยบริษัทย่อยของ DDD เข้าซื้อแบรนด์ Oxe'Cure คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 101.53 ล้านบาท (Source: ข่าวหุ้น)
ความเห็น: เรามีมุมมองเชิงบวกกับข่าวข้างต้น เรามองว่าจะส่งผลบวก DDD ดังนี้ 1) DDD สามารถขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มวัยรุ่นและผู้ชาย, 2)ในปี2017 ตลาดผลิตภัณฑ์รักษาสิวในไทยมีมูลค่ากว่า 1,100 ล้านบาท มีการคาดการณ์อัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 10% ต่อปีใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งสูงกว่ากลุ่ม skincare ที่อยู่ที่ 5% ต่อปี, 3) ในปี 2018 ตั้งเป้ายอดขาย Oxe'Cure ที่ 100 ล้านบาท หนุนโดยแผนขยายช่องทางการจัดจำหน่าย TT และร้านขายยา, 4) คาด EBIT margin ของ DDD จะขยายตัวจาก Utilization rate ที่ปรับตัวดีขึ้นจากการย้าย Oxe'Cure มาผลิตที่โรงงานของ DDD และ Utilization rate ของ Snailwhite ที่ตั้งเป้าที่ 70% (ปี2017 =55%) ส่งผลให้เกิด economy of scale , SG&A ของ Oxe'Cure ต่ำลงจากการใช้ช่องทางโฆษณาเดียวกับ Snailwhite ทำให้มีอำนาจการต่อรองมากขึ้น เราชอบแผนการรุกขยาย Brand portfolio ของ DDD เรามองว่าจะช่วยลดการพึ่งพิง Snailwhite เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิที่ 622 ล้านบาท (+77.2% YoY) เรายังคงคำแนะนำให้ "ซื้อ"โดยมีราคาเป้าหมายปี 2018ที่ 125 บาท
(0) รมว.คลังย้ำไม่บังคับ "กรุงไทย-ทีเอ็มบี" ควบรวม
หลังจาก ครม. มีมติอนุมัติมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการควบรวมกิจการของธนาคารพาณิชย์ไทย เมื่อวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวยืนยันว่า มาตรการดังกล่าวไม่ได้ออกมาเพื่อบังคับให้แบงก์รัฐเกิดการควบรวมกิจการ แต่เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและสนับสนุนหากจะเกิดการควบรวมกิจการกันของธนาคารพาณิชย์ไทย ขณะที่นักลงทุนในตลาดหุ้นเริ่มคาดการณ์ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ KTB และ TMB ซึ่งมีภาครัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ อาจพิจารณาควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน ทั้งนี้ หากทั้ง 2 ธนาคารพาณิชย์ ควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน จะส่งผลให้เป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีสินทรัพย์รวมถึง 3.65 ล้านล้านบาท สูงเป็นอันดับหนึ่งในประเทศไทย ด้านนายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ประธานกรรมการ ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า หลังจาก ครม. อนุมัติมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการควบรวมกิจการธนาคารพาณิชย์ไทย ในส่วนของธนาคารทหารไทย จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการ ซึ่งจะมีการประชุมร่วมกัน วันที่ 25 เม.ย. (Source: กรุงเทพธุรกิจ)
ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นกลางต่อมติมาตรการการควบรวมกิจการของธนาคารพาณิชย์ โดยมาตรการดังกล่าว ประกอบด้วย 2 ส่วน (1) เรื่องธุรกรรมต่างๆที่เกิดจากการควบรวม ซึ่งจะต้องเสียภาษี ส่วนนี้ถูกยกเว้นให้ และ (2) ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการควบรวม ถ้ามีเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปิดสาขา เปลี่ยนคอมพิวเตอร์ เป็นต้น สามารถนำมาหักเป็นค่าเสื่อมเพิ่มขึ้นได้ โดยการหักค่าเสื่อมนั้นขึ้นอยู่กับขนาดของสินทรัพย์เมื่อมีการรวมกันแล้ว ถ้าเกิน 4 ล้านล้านบาท ก็สามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นมาหักเป็นค่าเสื่อมได้สูงสุดถึง 2 เท่า , ถ้า 3 ล้านล้านบาท ได้ 1.75 เท่า , 2 ล้านล้านบาท ได้ 1.5 เท่า ,1 ล้านล้านบาท ได้ 1.25 เท่า ซึ่งเรามองว่า ณ ปัจจุบัน มาตรการนี้น่าจะส่งผลดีต่อการควบรวมกันกับธนาคารรัฐเป็นหลักอย่าง TMB และ KTB เบื้องต้นเรามองว่า จะเกิดผลดีกับทั้ง TMB และ KTB ในแง่ของภาษีที่ได้รับการลดหย่อน และมีโอกาสที่ดีลนี้จะเกิดได้ง่ายมากขึ้น ขณะที่เรายังคงชอบ TMB แม้ว่าจะไม่มีการควบรวมก็ตาม เพราะในแง่ของการเติบโตของกำไรสุทธิในปีนี้ จะเติบโตได้สูงที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยเรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายที่ 2.80 บาท
หลังจาก ครม. มีมติอนุมัติมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการควบรวมกิจการของธนาคารพาณิชย์ไทย เมื่อวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวยืนยันว่า มาตรการดังกล่าวไม่ได้ออกมาเพื่อบังคับให้แบงก์รัฐเกิดการควบรวมกิจการ แต่เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและสนับสนุนหากจะเกิดการควบรวมกิจการกันของธนาคารพาณิชย์ไทย ขณะที่นักลงทุนในตลาดหุ้นเริ่มคาดการณ์ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ KTB และ TMB ซึ่งมีภาครัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ อาจพิจารณาควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน ทั้งนี้ หากทั้ง 2 ธนาคารพาณิชย์ ควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน จะส่งผลให้เป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีสินทรัพย์รวมถึง 3.65 ล้านล้านบาท สูงเป็นอันดับหนึ่งในประเทศไทย ด้านนายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ประธานกรรมการ ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า หลังจาก ครม. อนุมัติมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการควบรวมกิจการธนาคารพาณิชย์ไทย ในส่วนของธนาคารทหารไทย จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการ ซึ่งจะมีการประชุมร่วมกัน วันที่ 25 เม.ย. (Source: กรุงเทพธุรกิจ)
ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นกลางต่อมติมาตรการการควบรวมกิจการของธนาคารพาณิชย์ โดยมาตรการดังกล่าว ประกอบด้วย 2 ส่วน (1) เรื่องธุรกรรมต่างๆที่เกิดจากการควบรวม ซึ่งจะต้องเสียภาษี ส่วนนี้ถูกยกเว้นให้ และ (2) ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการควบรวม ถ้ามีเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปิดสาขา เปลี่ยนคอมพิวเตอร์ เป็นต้น สามารถนำมาหักเป็นค่าเสื่อมเพิ่มขึ้นได้ โดยการหักค่าเสื่อมนั้นขึ้นอยู่กับขนาดของสินทรัพย์เมื่อมีการรวมกันแล้ว ถ้าเกิน 4 ล้านล้านบาท ก็สามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นมาหักเป็นค่าเสื่อมได้สูงสุดถึง 2 เท่า , ถ้า 3 ล้านล้านบาท ได้ 1.75 เท่า , 2 ล้านล้านบาท ได้ 1.5 เท่า ,1 ล้านล้านบาท ได้ 1.25 เท่า ซึ่งเรามองว่า ณ ปัจจุบัน มาตรการนี้น่าจะส่งผลดีต่อการควบรวมกันกับธนาคารรัฐเป็นหลักอย่าง TMB และ KTB เบื้องต้นเรามองว่า จะเกิดผลดีกับทั้ง TMB และ KTB ในแง่ของภาษีที่ได้รับการลดหย่อน และมีโอกาสที่ดีลนี้จะเกิดได้ง่ายมากขึ้น ขณะที่เรายังคงชอบ TMB แม้ว่าจะไม่มีการควบรวมก็ตาม เพราะในแง่ของการเติบโตของกำไรสุทธิในปีนี้ จะเติบโตได้สูงที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยเรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายที่ 2.80 บาท
บทวิเคราะห์วันนี้
(+) TOURISM (Neutral) จำนวนนักท่องเที่ยวจีนใน 1Q18 เติบโตมากกว่าคาด
ข้อมูลจากกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาระบุจำนวนนักท่องเที่ยวเดือน มี.ค. 2018 อยู่ที่ 3.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 16% YoY โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนยังเพิ่มขึ้นได้ที่ 27% YoY เนื่องจากฐานต่ำในปีก่อนที่มีทัวร์ศูนย์เหรียญ ส่วนนักท่องเที่ยวรัสเซียและอินเดียยังเติบโตได้ต่อเนื่องที่ 26% และ 17% YoY ตามลำดับ ภาพรวมใน 1Q18 มีจำนวนนักท่องเที่ยวรวม 10.6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 15% YoY โดยนักท่องเที่ยวจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 30% YoY มากกว่าที่เราคาดไว้ที่ 15% YoY ขณะที่ในกลุ่มท่องเที่ยวที่เราได้สอบถามกับทางบริษัทต่างๆมา ช่วง 1Q18 มี Occ. Rate ที่สูงมากราว 90% ในประเทศไทย และ RevPar ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 6-10% ซึ่งจะส่งผลดีต่อกำไรสุทธิใน 1Q18 โดยในกลุ่มท่องเที่ยวเราชอบ ERW มากที่สุด ราคาเป้าหมายที่ 10 บาท เพราะมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมมากกว่า มากกว่า และชอบหุ้นที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวอย่าง AOT ราคาเป้าหมาย 77 บาท
(+) TOURISM (Neutral) จำนวนนักท่องเที่ยวจีนใน 1Q18 เติบโตมากกว่าคาด
ข้อมูลจากกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาระบุจำนวนนักท่องเที่ยวเดือน มี.ค. 2018 อยู่ที่ 3.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 16% YoY โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนยังเพิ่มขึ้นได้ที่ 27% YoY เนื่องจากฐานต่ำในปีก่อนที่มีทัวร์ศูนย์เหรียญ ส่วนนักท่องเที่ยวรัสเซียและอินเดียยังเติบโตได้ต่อเนื่องที่ 26% และ 17% YoY ตามลำดับ ภาพรวมใน 1Q18 มีจำนวนนักท่องเที่ยวรวม 10.6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 15% YoY โดยนักท่องเที่ยวจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 30% YoY มากกว่าที่เราคาดไว้ที่ 15% YoY ขณะที่ในกลุ่มท่องเที่ยวที่เราได้สอบถามกับทางบริษัทต่างๆมา ช่วง 1Q18 มี Occ. Rate ที่สูงมากราว 90% ในประเทศไทย และ RevPar ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 6-10% ซึ่งจะส่งผลดีต่อกำไรสุทธิใน 1Q18 โดยในกลุ่มท่องเที่ยวเราชอบ ERW มากที่สุด ราคาเป้าหมายที่ 10 บาท เพราะมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมมากกว่า มากกว่า และชอบหุ้นที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวอย่าง AOT ราคาเป้าหมาย 77 บาท
(+) KTC (ซื้อ/363.00 บาท) ปรับประมาณกำไรสุทธิ 2018-2019 เพิ่มขึ้น 20% และ 19%
เรามีการปรับประมานการกำไรสุทธิของ KTC ปี 2018-2019 เพิ่มขึ้น 20% และ 19% มาอยู่ที่ 4.9 และ 5.4 พันล้านบาท โดยการปรับลดการตั้งสำรองในปี 2018-2019 ลง (คิดเป็น credit cost ที่ 702 และ 649 bps จากเดิม 774 และ 750 bps ตามลำดับ) เพื่อสะท้อน coverage ratio ที่คาดว่าจะลดลงจากการตั้งสำรองในอดีตที่สูง และเพียงพอต่อ TFRS9 นอกจากนี้เรามองว่าบริษัทมีความสามารถในการติดตามหนี้ที่ดีขึ้น ส่งผลให้เราปรับเพิ่มรายได้หนี้สูญรับคืนในปี 2018-2019 ที่ 16% และ 6% ตามลำดับ เราเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น “ซื้อ” จากเดิม “ถือ” ที่ราคาเป้าหมายใหม่ 363 บาท (อิง PBV 6.0x) จากเดิมที่285 บาท (อิง PBV 4.9x) เนื่องจากแนวโน้มอุตสาหกรรมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมีการขยายตัวดีจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้จ่ายและเทคโนโลยี่ (cashless society, fintech, & e-commerce) ประกอบกับ KTC ยังมีการบริหารจัดการสินเชื่อที่ดีขื้น ส่งผลให้บริษัทมี NPLs ที่ต่ำ และรายได้หนี้สูญรับคืนเพิ่มขึ้น รวมทั้งแรงกดดันต่อการตั้งสำรองเพื่อรองรับ TFRS9 ลดลง นอกจากนี้เรามองว่าบริษัทอยู่ภายใต้การควบคุมของ ธปท. ส่งผลให้มีความเสี่ยงจากการออกข้อบังคับในช่วงนี้น้อยกว่าบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิปี 2018 โต 47%
(+) MTLS (ซื้อ/48.00บาท) จำนวนสาขายังหนุนผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
เรามองว่าบริษัทจะยังมีกำไรสุทธิ 1Q187 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ 812 ล้านบาท (+51%YoY และ +9%QoQ) จากการขยายสาขา โดย 1Q18 อยู่ที่ 2,638 สาขา ส่งผลให้เราคาดว่าสินเชื่อจะขยายตัวที่ 10%YTD และรายได้ดอกเบี้ย 1Q18 เพิ่มขึ้น 52%YoY และ 8%QoQ อย่างไรก็ตามจากปริมาณหุ้นกู้ที่เพิ่มขึ้นใน 1Q18 ที่ 3.0 พันล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 96%YoY และ 12%QoQ เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 ที่ 3.7 พันล้านบาท (+49%) คาดบริษัทจะมีจำนวนสาขาในปี 2018 สูงถึง 3.1 พันสาขา คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 48.00 บาท (อิง PBV 8.4x) โดยเรามองว่าบริษัทจะมีความเสี่ยงจากการบังคับใช้ร่าง พรบ. การกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงินน้อย เนื่องจากบริษัทคิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ต่ำ
Analyst
Mongkol Puangpetra
License No: 001937
+662 648 1123
[email protected]
OO7709
เรามีการปรับประมานการกำไรสุทธิของ KTC ปี 2018-2019 เพิ่มขึ้น 20% และ 19% มาอยู่ที่ 4.9 และ 5.4 พันล้านบาท โดยการปรับลดการตั้งสำรองในปี 2018-2019 ลง (คิดเป็น credit cost ที่ 702 และ 649 bps จากเดิม 774 และ 750 bps ตามลำดับ) เพื่อสะท้อน coverage ratio ที่คาดว่าจะลดลงจากการตั้งสำรองในอดีตที่สูง และเพียงพอต่อ TFRS9 นอกจากนี้เรามองว่าบริษัทมีความสามารถในการติดตามหนี้ที่ดีขึ้น ส่งผลให้เราปรับเพิ่มรายได้หนี้สูญรับคืนในปี 2018-2019 ที่ 16% และ 6% ตามลำดับ เราเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น “ซื้อ” จากเดิม “ถือ” ที่ราคาเป้าหมายใหม่ 363 บาท (อิง PBV 6.0x) จากเดิมที่285 บาท (อิง PBV 4.9x) เนื่องจากแนวโน้มอุตสาหกรรมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมีการขยายตัวดีจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้จ่ายและเทคโนโลยี่ (cashless society, fintech, & e-commerce) ประกอบกับ KTC ยังมีการบริหารจัดการสินเชื่อที่ดีขื้น ส่งผลให้บริษัทมี NPLs ที่ต่ำ และรายได้หนี้สูญรับคืนเพิ่มขึ้น รวมทั้งแรงกดดันต่อการตั้งสำรองเพื่อรองรับ TFRS9 ลดลง นอกจากนี้เรามองว่าบริษัทอยู่ภายใต้การควบคุมของ ธปท. ส่งผลให้มีความเสี่ยงจากการออกข้อบังคับในช่วงนี้น้อยกว่าบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิปี 2018 โต 47%
(+) MTLS (ซื้อ/48.00บาท) จำนวนสาขายังหนุนผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
เรามองว่าบริษัทจะยังมีกำไรสุทธิ 1Q187 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ 812 ล้านบาท (+51%YoY และ +9%QoQ) จากการขยายสาขา โดย 1Q18 อยู่ที่ 2,638 สาขา ส่งผลให้เราคาดว่าสินเชื่อจะขยายตัวที่ 10%YTD และรายได้ดอกเบี้ย 1Q18 เพิ่มขึ้น 52%YoY และ 8%QoQ อย่างไรก็ตามจากปริมาณหุ้นกู้ที่เพิ่มขึ้นใน 1Q18 ที่ 3.0 พันล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 96%YoY และ 12%QoQ เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 ที่ 3.7 พันล้านบาท (+49%) คาดบริษัทจะมีจำนวนสาขาในปี 2018 สูงถึง 3.1 พันสาขา คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 48.00 บาท (อิง PBV 8.4x) โดยเรามองว่าบริษัทจะมีความเสี่ยงจากการบังคับใช้ร่าง พรบ. การกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงินน้อย เนื่องจากบริษัทคิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ต่ำ
Analyst
Mongkol Puangpetra
License No: 001937
+662 648 1123
[email protected]
OO7709