- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 11 April 2018 17:21
- Hits: 2386
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ >> Stay on Defensive and Domestic Play
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET ปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นวันทำการที่ 3 จากแรงซื้อที่กลับมาหนาแน่นใน AOT พลังงานทดแทน และแบงก์ ขณะที่ กลุ่มถ่วงตลาดกลายเป็นสื่อสารและค้าปลีกที่ปรับขึ้นได้ดีในระลอกก่อนหน้า ปัจจัยหนุนระหว่างวันมาจากบรรยากาศการลงทุนที่กลับมาสดใส จากความคาดหวังในประเด็นสงครามการค้าที่มีแนวโน้มผ่อนคลายลง และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในตลาดเอเชีย ส่วนยอดซื้อขายรายประเภท ต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 อีก 499 ลบ. และ Net Long ใน Index Futures 2.2 พันสัญญา
แนวโน้มตลาดวันนี้ : ด้วยโมเมนตัมเชิงบวกที่เกิดขึ้นวานนี้ ทำให้คาดว่า SET จะขยับตัวขึ้นได้อีกเล็กน้อยหา 1,765-1,770 จุด แรงหนุนช่วงเช้ามาจากบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่สดใส และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 3% ซึ่งน่าจะทำให้หุ้นกลุ่มพลังงาน Outperform ได้ต่อเนื่องจากเมื่อวาน ขณะที่ กลุ่มแบงก์ดูจะเริ่มฟื้นตัวได้ดีขึ้น และน่าจะมีแรงเก็งกำไรใน SCB จากแรงกดดันกรณีของ PACE ที่คลี่คลายลง อย่างไรก็ตาม เรามีการปรับเป้าดัชนีลง 30 จุด เหลือ 1,870 จุด จากการปรับลดกำไรของกลุ่มแบงก์และเกษตรอาหาร แต่ในเชิงของกลยุทธ์การลงทุนยังยืนข้างซื้อ จากปัจจัยสนับสนุนด้านการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และ EPS growth ของตลาดที่แม้ปรับลงแล้วแต่ยังโตในระดับสูงกว่า 10% Y-Y
กลยุทธ์ : ยังเน้น Defensive และ Domestic Play
หุ้นเด่นเดือน เม.ย. : BDMS, CPN, ERW, KBANK, SYNEX
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$157ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากเกาหลีใต้ US$126ล้าน ขณะที่ไหลเข้าไทย US$16ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลเข้าภูมิภาคหลังความตึงเครียดเรื่องสงครามการค้าผ่อนคลายลง
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> KBANK <<
แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 235 บาท
รายงานสินเชื่อ 2M18 +1% YTD แม้แผ่วตามฤดูกาล แต่เป็นอัตราการเติบโตที่ดีกว่ากลุ่ม เราคาดกำไรสุทธิ 1Q18 จะกลับมาเป็นปกติที่ 1.06 หมื่นลบ. +87% Q-Q, +5% Y-Y จากค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง
ราคาหุ้นปรับตัวลงมาแล้ว 11% ตั้งแต่มีประเด็นฟรีค่าธรรมเนียม (-15% YTD) ทำให้ Upside เปิดกว้างขึ้นเมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายใหม่ที่ 235 บาท (ปรับลงจากเดิมที่ 264 บาท จากการปรับลดกำไรลง 9% เหลือ 3.7 หมื่นลบ. +8% Y-Y)
ยอด Short Sales เฉลี่ยเดือนนี้ลดลงเหลือ 3 แสนหุ้นต่อวัน จากช่วงฟรีค่าธรรมเนียมที่มากถึง 8 แสนหุ้นต่อวัน เป็นไปได้ที่จะเห็นการ Cover Short ตามมา
ประเด็นสำคัญวันนี้
(0) ปรับ SET Target ลง 30 จุด จากเดิม 1,900 จุดเป็น 1,870 จุด จากการปรับประมาณการกำไรกลุ่มธนาคารลง 4% และกลุ่มเกษตรอาหารลง 5% ซึ่งมีน้ำหนักต่อกำไรของตลาด 19% และ 5% ตามลำดับ การปรับประมาณการลงทำให้ EPS ของตลาดลดลงจากคาดการณ์เดิม 1.5% เป็น 109.45 บาท/หุ้น และส่งผลให้ EPS growth ปี 2018 ชะลอจากเดิมที่คาด +11.7% Y-Y เป็น +10.1% Y-Y ทั้งนี้ เราไม่ได้รวมประเด็นสงครามการค้าเพราะเชื่อว่าไม่เกิดขึ้น รวมถึง upside ในกลุ่มโรงพยาบาล ยานยนต์ มือถือ ทีวีดิจิตอล และแม้ที่ดัชนีปัจจุบัน 1,760 จุด จะมี upside เพียง 6% แต่หุ้นโดยเฉพาะตลาด EM ยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดี ตามทิศทางเศรษฐกิจโลกที่เป็นขาขึ้น จังหวะอ่อนตัว จึงยังมองเป็นโอกาสซื้อ
(+) การเคลื่อนไหวของ SET ช่วงสงกรานต์ สถิติ 5 ปีย้อนหลังบ่งชี้ว่า SET มักเคลื่อนไหวทรงตัวในช่วงก่อนส่งกรานต์ 5 วันทำการ แต่จะปรับตัวขึ้นได้ดีราว 1-2% ในช่วง 5 วันทำการหลังสงกรานต์ กลุ่มที่เคลื่อนไหวดีกว่า SET ช่วงก่อนสงกรานต์คือ แบงก์ สื่อสาร ค้าปลีก ท่องเที่ยว และขนส่ง ส่วนกลุ่มที่เคลื่อนไหวดีกว่า SET หลังสงกรานต์ คือ แบงก์ โรงพยาบาล ท่องเที่ยว ขณะที่ ยอดซื้อขายของต่างชาติจะเป็นลบราว 2 พันลบ.ก่อนสงกรานต์ แต่จะพลิกเป็นบวก 2.8 พันลบ.หลังสงกรานต์ ในส่วนของแนวโน้มปี 2018 รูปแบบการเคลื่อนไหวคล้ายปี 2016 ที่สุด ซึ่งเป็นปีที่ SET ขึ้นหลังสงกรานต์ 1.8%
(+) ทีวีดิจิตอล ที่ประชุม คสช. เมื่อวาน ไฟเขียวม. 44 เยียวยาผู้ประกอบการทีวีดิจิตอล ไม่ต้องรอด้านโทรคม คาดออกคำสั่งเร็วๆ นี้ หากเป็นจริง หลังยืดเยื้อมานาน เป็นบวกต่อผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลทุกราย จากต้นทุนการเงินและต้นทุนค่าโครงข่าย ลดลง ตามที่มีข้อเสนอในช่วงก่อนหน้า โดย BEC ได้ประโยชน์มากสุด ราว 1.60 บาท จากเป้าเดิม 10.50 บาท เนื่องจากถือใบอนุญาตทีวีดิจิตอลมากสุด 3 ใบ อย่างไรก็ตาม Top-Pick ในกลุ่ม คือ RS เป้า 35 บาท
(-) CPF ระยะสั้น แนวโน้มกำไร 1H18 ยังดูเหนื่อย โดยคาดผลการดำเนินงานหลัก 1Q18 อาจขาดทุนต่อเนื่อง เพราะราคาหมูในไทยและเวียดนามลดลงต่ำกว่าต้นทุนการเลี้ยง และเป็น Low Season ของธุรกิจ ในขณะที่แนวโน้ม 2Q18 ยังดูไม่ฟื้นตัวนัก แม้ราคาหมูจะขยับขึ้นสูงเกินต้นทุนการเลี้ยงแล้ว แต่มาจากภาครัฐให้ปรับราคาขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้เลี้ยงรายย่อย หลังจากนี้จะเห็นราคาหมูขึ้นลงตาม Demand/Supply ที่แท้จริง รวมถึงราคาหมูในเวียดนามล่าสุดพลิกกลับมาปรับลง อย่างไรก็ตาม เรายังคาดหวังการฟื้นตัวของผลประกอบการในช่วง 2H18 เราคงคาดกำไรสุทธิปีนี้ -6.9% Y-Y และคงราคาเป้าหมาย 28 บาท แม้ยังมี Upside ให้แนะนำซื้อ แต่ด้วยโมเมนตัมของกำไรที่ยังไม่น่าสนใจใน 1H18 จึงมองจังหวะเข้าลงทุนน่าจะอยู่ในช่วง 3Q18
(0) VGI แนวโน้มกำไรปกติ 4Q18 (สิ้นมี.ค.18) โตสูง 43% Q-Q สดใสกว่าที่เคยคาด จากรายได้เพิ่มของทุกกลุ่มธุรกิจ ชดเชยขาดทุนรับรู้จากกลุ่ม Rabbit ทำให้ปรับประมาณการกำไรปกติทั้งปีขึ้น 9% เป็นโตเกือบ 23% Y-Y แต่กำไรสุทธิลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนที่มีกำไรพิเศษสูง และปรับประมาณการกำไรปกติปี 2019 ( สิ้นมี.ค.2019) ขึ้น 10% แม้กำไร 4Q18 ที่คาดเป็นปัจจัยบวก และปี 2019 โตต่อสูงอีก 28% แต่ราคาหุ้นปรับขึ้นมามาก PE ปี 2019 สูงถึง 54 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยอดีตที่ 45 เท่า จึงปรับคำแนะนำลงจากเดิมถือเป็นขาย ราคาเป้าหมายปี 2019 ที่ 6.80 บาท จากเดิม 6.30 บาท
(+) BEM รายงานสถิติยอดผู้ใช้ทางด่วนและรถไฟฟ้าเดือนมี.ค. 2018 จำนวนผู้โดยสารในรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน +2% Y-Y และปริมาณรถบนทางด่วน +1% Y-Y โดยทางด่วนอุดรรัถยาทำ New High ที่ 1.13 แสนคัน/วัน ขณะที่ 1Q18 จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า +6% Y-Y เฉลี่ยอยู่ที่ 3.12 แสนเที่ยวคน/วัน และปริมาณรถบนทางด่วนเพิ่มขึ้นทุกเส้นทาง +2% Y-Y หนุนให้แนวโน้มกำไร 1Q18 คาดเติบโตดีทั้ง Q-Q และ Y-Y คงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 10 บาท
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงอยู่ในช่วงฟื้นตัว หลังจากปธ.สี จิ้นผิงออกมาแสดงท่าทีที่เปิดกว้างมากขึ้นสำหรับต่างชาติ นอกจากนี้ยังส่งสัญญาณว่าจะปรับลดภาษีการนำเข้ารถยนต์และสินค้าบางรายการ
(+) ตลาดยุโรปปิดในแดนบวก จากความกังวลเรื่องสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ผ่อนคลายลง
(0) ตลาดเอเชียปรับตัวผสมผสาน หลังตลาดยังคงจับตาดูตัวเลขเงินเฟ้อของทางการจีน ญี่ปุ่นและ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของออสเตรเลียในวันนี้
() ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเล็กน้อย ทำให้ล่าสุด เงินบาทต่อดอลลาร์เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 31.20-31.25 บาท/ดอลลาร์
กลยุทธ์วันนี้ >> Stay on Defensive and Domestic Play
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET ปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นวันทำการที่ 3 จากแรงซื้อที่กลับมาหนาแน่นใน AOT พลังงานทดแทน และแบงก์ ขณะที่ กลุ่มถ่วงตลาดกลายเป็นสื่อสารและค้าปลีกที่ปรับขึ้นได้ดีในระลอกก่อนหน้า ปัจจัยหนุนระหว่างวันมาจากบรรยากาศการลงทุนที่กลับมาสดใส จากความคาดหวังในประเด็นสงครามการค้าที่มีแนวโน้มผ่อนคลายลง และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในตลาดเอเชีย ส่วนยอดซื้อขายรายประเภท ต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 อีก 499 ลบ. และ Net Long ใน Index Futures 2.2 พันสัญญา
แนวโน้มตลาดวันนี้ : ด้วยโมเมนตัมเชิงบวกที่เกิดขึ้นวานนี้ ทำให้คาดว่า SET จะขยับตัวขึ้นได้อีกเล็กน้อยหา 1,765-1,770 จุด แรงหนุนช่วงเช้ามาจากบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่สดใส และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 3% ซึ่งน่าจะทำให้หุ้นกลุ่มพลังงาน Outperform ได้ต่อเนื่องจากเมื่อวาน ขณะที่ กลุ่มแบงก์ดูจะเริ่มฟื้นตัวได้ดีขึ้น และน่าจะมีแรงเก็งกำไรใน SCB จากแรงกดดันกรณีของ PACE ที่คลี่คลายลง อย่างไรก็ตาม เรามีการปรับเป้าดัชนีลง 30 จุด เหลือ 1,870 จุด จากการปรับลดกำไรของกลุ่มแบงก์และเกษตรอาหาร แต่ในเชิงของกลยุทธ์การลงทุนยังยืนข้างซื้อ จากปัจจัยสนับสนุนด้านการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และ EPS growth ของตลาดที่แม้ปรับลงแล้วแต่ยังโตในระดับสูงกว่า 10% Y-Y
กลยุทธ์ : ยังเน้น Defensive และ Domestic Play
หุ้นเด่นเดือน เม.ย. : BDMS, CPN, ERW, KBANK, SYNEX
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$157ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากเกาหลีใต้ US$126ล้าน ขณะที่ไหลเข้าไทย US$16ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลเข้าภูมิภาคหลังความตึงเครียดเรื่องสงครามการค้าผ่อนคลายลง
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> KBANK <<
แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 235 บาท
รายงานสินเชื่อ 2M18 +1% YTD แม้แผ่วตามฤดูกาล แต่เป็นอัตราการเติบโตที่ดีกว่ากลุ่ม เราคาดกำไรสุทธิ 1Q18 จะกลับมาเป็นปกติที่ 1.06 หมื่นลบ. +87% Q-Q, +5% Y-Y จากค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง
ราคาหุ้นปรับตัวลงมาแล้ว 11% ตั้งแต่มีประเด็นฟรีค่าธรรมเนียม (-15% YTD) ทำให้ Upside เปิดกว้างขึ้นเมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายใหม่ที่ 235 บาท (ปรับลงจากเดิมที่ 264 บาท จากการปรับลดกำไรลง 9% เหลือ 3.7 หมื่นลบ. +8% Y-Y)
ยอด Short Sales เฉลี่ยเดือนนี้ลดลงเหลือ 3 แสนหุ้นต่อวัน จากช่วงฟรีค่าธรรมเนียมที่มากถึง 8 แสนหุ้นต่อวัน เป็นไปได้ที่จะเห็นการ Cover Short ตามมา
ประเด็นสำคัญวันนี้
(0) ปรับ SET Target ลง 30 จุด จากเดิม 1,900 จุดเป็น 1,870 จุด จากการปรับประมาณการกำไรกลุ่มธนาคารลง 4% และกลุ่มเกษตรอาหารลง 5% ซึ่งมีน้ำหนักต่อกำไรของตลาด 19% และ 5% ตามลำดับ การปรับประมาณการลงทำให้ EPS ของตลาดลดลงจากคาดการณ์เดิม 1.5% เป็น 109.45 บาท/หุ้น และส่งผลให้ EPS growth ปี 2018 ชะลอจากเดิมที่คาด +11.7% Y-Y เป็น +10.1% Y-Y ทั้งนี้ เราไม่ได้รวมประเด็นสงครามการค้าเพราะเชื่อว่าไม่เกิดขึ้น รวมถึง upside ในกลุ่มโรงพยาบาล ยานยนต์ มือถือ ทีวีดิจิตอล และแม้ที่ดัชนีปัจจุบัน 1,760 จุด จะมี upside เพียง 6% แต่หุ้นโดยเฉพาะตลาด EM ยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดี ตามทิศทางเศรษฐกิจโลกที่เป็นขาขึ้น จังหวะอ่อนตัว จึงยังมองเป็นโอกาสซื้อ
(+) การเคลื่อนไหวของ SET ช่วงสงกรานต์ สถิติ 5 ปีย้อนหลังบ่งชี้ว่า SET มักเคลื่อนไหวทรงตัวในช่วงก่อนส่งกรานต์ 5 วันทำการ แต่จะปรับตัวขึ้นได้ดีราว 1-2% ในช่วง 5 วันทำการหลังสงกรานต์ กลุ่มที่เคลื่อนไหวดีกว่า SET ช่วงก่อนสงกรานต์คือ แบงก์ สื่อสาร ค้าปลีก ท่องเที่ยว และขนส่ง ส่วนกลุ่มที่เคลื่อนไหวดีกว่า SET หลังสงกรานต์ คือ แบงก์ โรงพยาบาล ท่องเที่ยว ขณะที่ ยอดซื้อขายของต่างชาติจะเป็นลบราว 2 พันลบ.ก่อนสงกรานต์ แต่จะพลิกเป็นบวก 2.8 พันลบ.หลังสงกรานต์ ในส่วนของแนวโน้มปี 2018 รูปแบบการเคลื่อนไหวคล้ายปี 2016 ที่สุด ซึ่งเป็นปีที่ SET ขึ้นหลังสงกรานต์ 1.8%
(+) ทีวีดิจิตอล ที่ประชุม คสช. เมื่อวาน ไฟเขียวม. 44 เยียวยาผู้ประกอบการทีวีดิจิตอล ไม่ต้องรอด้านโทรคม คาดออกคำสั่งเร็วๆ นี้ หากเป็นจริง หลังยืดเยื้อมานาน เป็นบวกต่อผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลทุกราย จากต้นทุนการเงินและต้นทุนค่าโครงข่าย ลดลง ตามที่มีข้อเสนอในช่วงก่อนหน้า โดย BEC ได้ประโยชน์มากสุด ราว 1.60 บาท จากเป้าเดิม 10.50 บาท เนื่องจากถือใบอนุญาตทีวีดิจิตอลมากสุด 3 ใบ อย่างไรก็ตาม Top-Pick ในกลุ่ม คือ RS เป้า 35 บาท
(-) CPF ระยะสั้น แนวโน้มกำไร 1H18 ยังดูเหนื่อย โดยคาดผลการดำเนินงานหลัก 1Q18 อาจขาดทุนต่อเนื่อง เพราะราคาหมูในไทยและเวียดนามลดลงต่ำกว่าต้นทุนการเลี้ยง และเป็น Low Season ของธุรกิจ ในขณะที่แนวโน้ม 2Q18 ยังดูไม่ฟื้นตัวนัก แม้ราคาหมูจะขยับขึ้นสูงเกินต้นทุนการเลี้ยงแล้ว แต่มาจากภาครัฐให้ปรับราคาขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้เลี้ยงรายย่อย หลังจากนี้จะเห็นราคาหมูขึ้นลงตาม Demand/Supply ที่แท้จริง รวมถึงราคาหมูในเวียดนามล่าสุดพลิกกลับมาปรับลง อย่างไรก็ตาม เรายังคาดหวังการฟื้นตัวของผลประกอบการในช่วง 2H18 เราคงคาดกำไรสุทธิปีนี้ -6.9% Y-Y และคงราคาเป้าหมาย 28 บาท แม้ยังมี Upside ให้แนะนำซื้อ แต่ด้วยโมเมนตัมของกำไรที่ยังไม่น่าสนใจใน 1H18 จึงมองจังหวะเข้าลงทุนน่าจะอยู่ในช่วง 3Q18
(0) VGI แนวโน้มกำไรปกติ 4Q18 (สิ้นมี.ค.18) โตสูง 43% Q-Q สดใสกว่าที่เคยคาด จากรายได้เพิ่มของทุกกลุ่มธุรกิจ ชดเชยขาดทุนรับรู้จากกลุ่ม Rabbit ทำให้ปรับประมาณการกำไรปกติทั้งปีขึ้น 9% เป็นโตเกือบ 23% Y-Y แต่กำไรสุทธิลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนที่มีกำไรพิเศษสูง และปรับประมาณการกำไรปกติปี 2019 ( สิ้นมี.ค.2019) ขึ้น 10% แม้กำไร 4Q18 ที่คาดเป็นปัจจัยบวก และปี 2019 โตต่อสูงอีก 28% แต่ราคาหุ้นปรับขึ้นมามาก PE ปี 2019 สูงถึง 54 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยอดีตที่ 45 เท่า จึงปรับคำแนะนำลงจากเดิมถือเป็นขาย ราคาเป้าหมายปี 2019 ที่ 6.80 บาท จากเดิม 6.30 บาท
(+) BEM รายงานสถิติยอดผู้ใช้ทางด่วนและรถไฟฟ้าเดือนมี.ค. 2018 จำนวนผู้โดยสารในรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน +2% Y-Y และปริมาณรถบนทางด่วน +1% Y-Y โดยทางด่วนอุดรรัถยาทำ New High ที่ 1.13 แสนคัน/วัน ขณะที่ 1Q18 จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า +6% Y-Y เฉลี่ยอยู่ที่ 3.12 แสนเที่ยวคน/วัน และปริมาณรถบนทางด่วนเพิ่มขึ้นทุกเส้นทาง +2% Y-Y หนุนให้แนวโน้มกำไร 1Q18 คาดเติบโตดีทั้ง Q-Q และ Y-Y คงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 10 บาท
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงอยู่ในช่วงฟื้นตัว หลังจากปธ.สี จิ้นผิงออกมาแสดงท่าทีที่เปิดกว้างมากขึ้นสำหรับต่างชาติ นอกจากนี้ยังส่งสัญญาณว่าจะปรับลดภาษีการนำเข้ารถยนต์และสินค้าบางรายการ
(+) ตลาดยุโรปปิดในแดนบวก จากความกังวลเรื่องสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ผ่อนคลายลง
(0) ตลาดเอเชียปรับตัวผสมผสาน หลังตลาดยังคงจับตาดูตัวเลขเงินเฟ้อของทางการจีน ญี่ปุ่นและ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของออสเตรเลียในวันนี้
() ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเล็กน้อย ทำให้ล่าสุด เงินบาทต่อดอลลาร์เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 31.20-31.25 บาท/ดอลลาร์
Source: Bloomberg *onshore rate
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน พ.ค. พุ่งขึ้น 2.09 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 65.51 ดอลลาร์/ออนซ์ จากเหตุการณ์ความไม่สงบในซีเรีย และแรงหนุนจากสงครามการค้าที่คลี่คลายลง
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. ปรับตัวขึ้น 5.8 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1,345.90 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน พ.ค. พุ่งขึ้น 2.09 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 65.51 ดอลลาร์/ออนซ์ จากเหตุการณ์ความไม่สงบในซีเรีย และแรงหนุนจากสงครามการค้าที่คลี่คลายลง
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. ปรับตัวขึ้น 5.8 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1,345.90 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
11 เม.ย. - สหรัฐฯ: อัตราเงินเฟ้อ (มี.ค.), FOMC Meeting Minutes
- จีน: อัตราเงินเฟ้อ (มี.ค.)
13 เม.ย. - จีน: ดุลการค้า (มี.ค.)
- สิงคโปร์: 1Q18 GDP
16 เม.ย. - สหรัฐฯ: ยอดค้าปลีก (มี.ค.)
20 เม.ย. - ไทย: กบง. พิจารณาโครงสร้างราคาพลังงาน
Contact person : Jitra Amornthum Register : 014530
Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com
FB : FINNANSIA SYRUS SECURITIES LINE : @fnsyrus
OO7393
Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com
FB : FINNANSIA SYRUS SECURITIES LINE : @fnsyrus
OO7393