WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

KTBบล.เคทีบี (ประเทศไทย) : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 


“ยังผันผวนจากหลายปัจจัยถ่วง”
 ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : คาดดัชนีฯยังผันผวนในกรอบ 1710-1750 จุด ... ตลาดมีตัวแปรในทางลบเข้ามาทำให้ นักลงทุนชะลอการลงทุนก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาว อีกทั้ง ดัชนีฯที่หลุด 1750 จุดลงมา สร้างสัญญาณขายให้กับตลาด แม้จะมีโอกาส rebound แต่หากไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาหนุนตลาด ดัชนีฯก็จะเดินหน้าไปได้ไม่ไกลนัก  ขณะที่ตัวแปรในทางลบหลายตัว จะจำกัดกรอบการสูงขึ้นของดัชนีฯไว้  ....  ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดสัปดาห์นี้ สำคัญที่สุดจะเป็นสงคราการค้าของสหรัฐฯ-จีน ที่เปิดฉากอีกครั้ง (แม้เราจะประเมินว่าน่าจะจบลงด้วยการเจรจาก็ตาม)  การประกาศวันเลือกตั้งของไทยที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะเลื่อนหรือไม่ และความกังวลต่อข่าวลบ ของแต่ละกลุ่ม อาทิ ธนาคาร โรงกลั่นน้ำมัน และราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลง เป็นต้น
 กลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ : ด้วยความผันผวนและทิศทางที่ไม่ชัดเจน  แม้ดัชนีฯจะอ่อนตัวลงมามาก แต่หุ้นหรือกลุ่มหุ้นที่มีโอกาสเดินหน้าต่อได้มีน้อย การเข้าลงทุนจึงต้องพิจารณาเป็นรายตัว และลงทุนในกรอบเวลาสั้นๆ  ….  หุ้นขนาดใหญ่ ที่ราคาอ่อนตัวลงมาและมีปัจจัยบวกหนุน เราแนะนำ AOT , CPALL , CPN และหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง LH* (Dividend Yield ปีนี้  6.2% ; Bloomberg) และหุ้นที่มีปัจจัยบวกอื่นๆ ประกอบด้วย CPF และ TOA*
 หุ้นแนะนำเชิงเทคนิค: AOT , MINT , CENTEL      
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้นมีประเด็น
(+) Commerce: ดัชนีผู้บริโภคเดือนมีค.ปรับตัวขึ้น บวกต่อการจับจ่ายใช้สอย
  ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนมีนาคม 2561 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 79.9 หลังจากผู้บริโภคมีความมั่นใจต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศ โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ได้มีการปรับประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 4.1 จากที่คาดไว้ก่อนหน้าที่ร้อยละ 3.9 การส่งออกของประเทศในเดือนกุมภาพันธ์ ขยายตัวร้อยละ 10.26 ราคาพืชผลทางการเกษตรเริ่มมีการปรับตัวดีขึ้น รวมถึงการปรับค่าแรงขั้นต่ำส่งผลต่อรายได้ของภาคแรงงาน
  ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นบวกต่อข่าวดังกล่าว เดิมมีความกังวลเล็กน้อยจากการที่ดัชนีเดือนกพ.ปรับลดลงอยู่ที่ 79.3 จากเดือนมค.ที่ 80 แต่เดือนมีค.สามารถปรับขึ้นมาอยู่ที่ 79.9 เหนือเดือนกพ. แสดงถึงเศรษฐกิจที่ยังคงฟื้นตัวตามการบริโภคจับจ่ายใช้สอย การเติบโตที่ดีของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะจากจีน รวมถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ อีกทั้งกำลังเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ ซึ่งจะสามารถทำให้ยอดขายต่อสาขาของผู้ประกอบการสูงขึ้น รวมถึงสามารถขยายสาขาเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง เรายังคงแนะนำ ซื้อหุ้นในกลุ่มพาณิชย์ CPALL ราคาเป้าหมาย (93 บาท), BJC(72 บาท) HMPRO (15.5 บาท) ROBINS(79 บาท) BEAUTY (25บาท), DDD (125 บาท)
(0) RS : เฮียฮ้อรับซื้อหุ้น RS เพิ่มจากผู้ถือหุ้นอันดับ 2 จำนวน 15 ล้านหุ้น
  RS มี Big lot วันที่ 5 เม.ย. 2018 โดยผู้ถือหุ้น อันดับ 2 คุณโสรัตน์ วณิชวรากิจ ขายหุ้นจำนวน 15 ล้านหุ้น ให้คุณสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ (เฮียฮ้อ) ผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ที่ราคาเฉลี่ยที่ 28 บาท รวม 420 ล้านบาท ส่งผลให้เฮียฮ้อถือหุ้นเพิ่มเป็น 33.50% จากเดิมที่ถืออยู่ 32.02% โดยหลังการขายหุ้นครั้งนี้ผู้ถือหุ้นอันดับ 2 ยังคงถือ RS อยู่อีก 100 ล้านหุ้น คิดเป็น 9.9% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
  ความเห็น: จากการสัมภาษณ์ผู้บริหาร RS ผู้ถือหุ้นอันดับ 2 ยังคงรักษาสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 9.9% และจะไม่มีการขายหุ้นเพิ่มในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้งนี้เป็นการขายเพื่อนำเงินไปใช้ส่วนตัว เรามองว่าการขายหุ้นของผู้ถืออันดับ 2 ในครั้งนี้ไม่กระทบต่อราคาหุ้นของ RS ประกอบกับแนวโน้มการเติบโตของ RS ในปีนี้ยังดีอยู่ เราเชื่อมั่นว่ารายได้จากธุรกิจหลักของบริษัทในปี 2018 ยังคงเติบโตโดดเด่น ทั้งจากการฟื้นตัวของธุรกิจมีเดีย และรายได้จากธุรกิจ Health & Beauty ที่ยังคงเติบโตสูงต่อเนื่องจากการเพิ่มผลิตภัณฑ์เพื่อขยายฐานลูกค้า ด้วยศักยภาพของบริษัทฯเราเชื่อมั่นว่าในปี 2018 RS จะสามารถ Deliver robust earnings growth +148% YoY ได้ตามที่เราคาดอยู่ที่ 827 ลบ. เรามองว่า ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาเป็นจังหวะให้เข้า “ซื้อสะสม”หุ้น RS โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 35 บาท 
(0) SCB ผลกระทบยกเว้น fee 1 พันล้านบาท แต่ NPL จาก SME ยังเพิ่มขึ้นบ้าง
  SCB เปิดเผยว่า รายได้ของธนาคารได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากโปรโมชั่นฟรีค่าธรรมเนียมธุรกรรมออนไลน์ คิดเป็นผลกระทบต่อรายได้ประมาณ 1 พันล้านบาท ขณะที่ธนาคารมั่นใจว่าปีนี้จะสามารถคุม NPL ตามเป้าหมายไม่เกิน 3% จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ระดับ 2.8% แม้ลูกค้าสินเชื่อ SME และสินเชื่อบ้านมีหนี้เสียเพิ่มขึ้นบ้าง ส่วนลูกหนี้รายใหญ่อย่างกรณี PACE ยังมีสถานะเป็นลูกหนี้ปกติและมียอดโอนโครงการมหานครเข้ามาแล้วราว 60% ของยอดขาย ขณะที่ลูกหนี้รายใหญ่อย่าง SSI นั้น ธนาคารจะได้รับคืนหนี้จาก SSI ราว 8 พันล้านบาทภายใน 12 ปี ซึ่งคิดเป็น 40% ของยอดหนี้รวม 2.2 หมื่นล้านบาท โดยล่าสุดได้ชำระคืนมาแล้ว 1.24 พันล้านบาท ด้าน Bloomberg รายงานว่า SCB เตรียมลดต้นทุนลง 30% จากการลดสาขาลง หลังจากที่คนใช้ออนไลน์มากขึ้น (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, Bloomberg)
ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นกลางต่อข่าวดังกล่าวต่อ SCB โดยเราคาดว่า รายได้ค่าธรรมเนียมที่หายไปจากการยกเว้นค่าธรรมเนียมในปีนี้ราว 2 พันล้านบาท เพราะเชื่อว่า คนจะหันมาใช้บริการออนไลน์ได้มากกว่าที่คาดไว้ ขณะที่แนวโน้ม NPL เดิมเราคาดว่าจะลดลง แต่ SCB ยังคงกังวลหนี้เสียจาก SME ที่ยังคงเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นประเด็นที่เรากลับมากังวลเรื่องหนี้เสียอีกครั้ง ส่วน PACE นั้น เรายังคงกังวลเรื่องการเป็นหนี้เสียอยู่ แม้ว่าปัจจุบันจะมียอดโอนแล้ว 60% ก็ตาม ขณะที่ SSI แม้ว่าจะได้รับคืนหนี้เข้ามาราว 8 พันล้านบาท แต่ยังคงต้องใช้เวลายาวนานถึง 12 ปี ซึ่งหักจากเงินที่ชำระมาแล้วที่ 1.24 พันล้านบาท จะทำให้ SCB ได้รับเงินเข้ามาเพียง 563 ล้านบาท คิดเป็นเพียง 1% ของกำไรสุทธิ ซึ่งไม่ได้มีนยสำคัญต่อประมาณการของเรา ขณะที่การลดต้นทุนลง 30% เราเชื่อว่า ต้องใช้เวลาราว 2-3 ปี ในการลดจำนวนพนักงานลง ซึ่งเรายังไม่ได้นำการลดต้นทุนมารวมในประมาณการของเรา โดยเรายังคงคำแนะน ถือ ราคาเป้าหมายที่ 148 บาท
 บทวิเคราะห์วันนี้
(+) THANI (ซื้อ/8.20 บาท) คาดกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น YoY และ QoQ จากยอดจดทะเบียนรถเพิ่มขึ้นสูง
  คาดกำไรสุทธิ 1Q18 ของ THANI ที่ 338 ล้านบาท ขยายตัว 38% YoY และ 6% QoQ จากการขยายตัวของสินเชื่อเช่าซื้อที่ประมาณ 5%YTD โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกใหม่ที่เรามองว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลงตามการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิม นอกจากนี้เรามองว่าผลการดำเนินงานในปี 2018 บริษัทจะยังคงขยายตัวจากความต้องการใช้รถบรรทุกที่เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการขยายสินเชื่อเช่าซื้อเชิงรุก รวมทั้งบริษัทจะยังตั้งสำรองส่วนเกินเพียงพอต่อ TFRS9 โดยรวมคาดกำไรสุทธิปี 2018 ที่ 1.5 พันล้านบาท ขยายตัว 30% เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายใหม่ 8.20 บาท (อิง PBV 3.4x) จากเดิมที่ 12.50 บาท (อิง PBV 4.9x) โดยเป็นผลกระทบจาก dilution effect ของหุ้นปันผล (4 หุ้นเก่า:1 หุ้นใหม่) เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ที่ผ่านมา และการปรับลด PBV multiplier ลงจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากการควบคุมของกระทรวงการคลังโดย  อย่างไรก็ตามเรามองว่าสินเชื่อเช่าซื้อของบริษัทจะสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยเรามองว่าราคาหุ้นที่ปรับลดลงมาสะท้อนความเสี่ยงจากการบังคับในอนาคตแล้ว จึงเป็นโอกาสให้ ”ซื้อ”
(0) SVI (ถือ/4.70 บาท) คาดกำไรปกติ 1Q18 ลดลง YoY และ QoQ ต้องรออีก 2 ไตรมาส
  เราคาดกำไรปกติของ SVI ใน 1Q18 อยู่ที่ 77 ล้านบาท ลดลง 65% YoY และ 27% QoQ โดยการลดลงของกำไรปกติมาจากปัญหาเรื่องของวัตถุดิบขาดแคลน ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น จึงทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดต่ำลง อย่างไรก็ตามเรายังคงประมาณการกำไรปกติของ SVI ในปี 2018 เท่าเดิมที่ 682 ล้านบาท เติบโต 30% YoY โดยคาดว่าจะเห็นการเติบโตของกำไรตั้งแต่ 2Q18 เป็นต้นไป แต่จะเห็นชัดเจนใน 3Q18 จากปัญหาวัตถุดิบที่จะหมดไป การบริหารงานในยุโรปดีขึ้น และ backlog ที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้งจะเปิดดำเนินงานโรงงานที่กัมพูชาในสิ้นเดือน มิ.ย. นี้ ทั้งนี้ เรายังคงราคาเป้าหมายปี 2018 ที่ 4.70 บาท (วิธี PER ที่ 15.6x) และยังคงคำแนะนำ “ถือ”
Analysts:   Mongkol Puangpetra
OO7258

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!