- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 09 April 2018 16:13
- Hits: 4369
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ >> Stay on Defensive and Domestic Play
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET ฟื้นตัวกลับ 0.9% ในวันพฤหัส หลังจากที่อ่อนตัวลึก 2.2% ในวันก่อนหน้า กลุ่มที่ฟื้นได้ดีคือน้ำมัน โรงกลั่น ปิโตรเคมี พลังงานทดแทน และค้าปลีก ขณะที่ แบงก์ยังเป็นกลุ่มที่กดดัน SET ต่อเนื่อง จากความกังวลกระเด็นรายได้ค่าธรรมเนียมที่หายไป ส่วนยอดซื้อขายรายประเภท ต่างชาติขายสุทธิ 1.2 พันลบ. สถาบันซื้อคืน 1.9 พันลบ.
แนวโน้มตลาดวันนี้ : คาดว่า SET จะแกว่งออกด้านข้างเพื่อสร้างฐานราคาใหม่ โดยจังหวะการฟื้นอาจมีต่อเนื่องอีกเล็กน้อยจากโมเมนตัมเชิงบวกในปลายสัปดาห์ก่อน และบรรยากาศการลงทุนในตลาดเอเชียเช้านี้ที่ไม่ได้ถูกกดดันจากการทรุดตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯมากนัก แต่คาดว่ากรอบการฟื้นยังจำกัด เพราะเป็นช่วงที่ประมาณการซื้อขายเบาบางก่อนเข้าสู่วันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ และกลุ่มพลังงานมีโอกาสถูกกดดันจากการอ่อนตัวของราคาน้ำมันดิบ เช่นเดียวกับกลุ่มแบงก์ที่ยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัว ขณะที่ ยอด Short Sales เริ่มเร่งตัวขึ้นเป็น 1.4 พันลบ.ต่อวัน จาก 1.2 พันลบ.ต่อวันใน มี.ค. 18 อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่า Downside จะเริ่มถูกจำกัดลง ด้วย Valuation ที่ถูก support ด้วยการฟื้นตัวตัวทางเศรษฐกิจและการเติบโตของกำไร บจ.
กลยุทธ์ : ยังเน้น Defensive และ Domestic Play
หุ้นเด่นเดือน เม.ย. : BDMS, CPN, ERW, KBANK, SYNEX
Fund Flow เมื่อวันศุกร์กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$279ล้าน โดยไหลออกจากเกาหลีใต้มากสุด US$246ล้าน อินโดนีเซีย US$19 ล้าน และฟิลิปปินส์ US$9 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนยังมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาค จากความกังวลต่อสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมถึงตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> BEM <<
แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 10 บาท
แนวโน้มกำไร 1Q18 เติบโตดีทั้ง Q-Q และ Y-Y จากสถิติ 2M18 ทั้งจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน +8.4% Y-Y และปริมาณรถบนทางด่วนเพิ่มขึ้นทุกเส้นทาง +2.6% Y-Y โดยเฉพาะทางด่วนศรีรัชรอบนอกที่ทำจุดสูงสุดใหม่ 5.7 หมื่นคันต่อวัน (+24% Y-Y)
คาดกำไรปีนี้ +18% Y-Y เป็น 3.7 พันลบ. จากต้นทุนที่ลดลงตามการขยายอายุสัมปทานรถไฟฟ้าสีน้ำเงิน และการเชื่อมต่อสถานีเตาปูน-บางซื่อเต็มปี
มี Upside จากการเปิดประมูลทางด่วน 2 สาย และรถไฟฟ้าสีม่วงใต้ ซึ่ง BEM มีความได้เปรียบเพราะเป็นส่วนต่อเนื่องจากของเดิมที่มี
กลยุทธ์วันนี้ >> Stay on Defensive and Domestic Play
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET ฟื้นตัวกลับ 0.9% ในวันพฤหัส หลังจากที่อ่อนตัวลึก 2.2% ในวันก่อนหน้า กลุ่มที่ฟื้นได้ดีคือน้ำมัน โรงกลั่น ปิโตรเคมี พลังงานทดแทน และค้าปลีก ขณะที่ แบงก์ยังเป็นกลุ่มที่กดดัน SET ต่อเนื่อง จากความกังวลกระเด็นรายได้ค่าธรรมเนียมที่หายไป ส่วนยอดซื้อขายรายประเภท ต่างชาติขายสุทธิ 1.2 พันลบ. สถาบันซื้อคืน 1.9 พันลบ.
แนวโน้มตลาดวันนี้ : คาดว่า SET จะแกว่งออกด้านข้างเพื่อสร้างฐานราคาใหม่ โดยจังหวะการฟื้นอาจมีต่อเนื่องอีกเล็กน้อยจากโมเมนตัมเชิงบวกในปลายสัปดาห์ก่อน และบรรยากาศการลงทุนในตลาดเอเชียเช้านี้ที่ไม่ได้ถูกกดดันจากการทรุดตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯมากนัก แต่คาดว่ากรอบการฟื้นยังจำกัด เพราะเป็นช่วงที่ประมาณการซื้อขายเบาบางก่อนเข้าสู่วันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ และกลุ่มพลังงานมีโอกาสถูกกดดันจากการอ่อนตัวของราคาน้ำมันดิบ เช่นเดียวกับกลุ่มแบงก์ที่ยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัว ขณะที่ ยอด Short Sales เริ่มเร่งตัวขึ้นเป็น 1.4 พันลบ.ต่อวัน จาก 1.2 พันลบ.ต่อวันใน มี.ค. 18 อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่า Downside จะเริ่มถูกจำกัดลง ด้วย Valuation ที่ถูก support ด้วยการฟื้นตัวตัวทางเศรษฐกิจและการเติบโตของกำไร บจ.
กลยุทธ์ : ยังเน้น Defensive และ Domestic Play
หุ้นเด่นเดือน เม.ย. : BDMS, CPN, ERW, KBANK, SYNEX
Fund Flow เมื่อวันศุกร์กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$279ล้าน โดยไหลออกจากเกาหลีใต้มากสุด US$246ล้าน อินโดนีเซีย US$19 ล้าน และฟิลิปปินส์ US$9 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนยังมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาค จากความกังวลต่อสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมถึงตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> BEM <<
แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 10 บาท
แนวโน้มกำไร 1Q18 เติบโตดีทั้ง Q-Q และ Y-Y จากสถิติ 2M18 ทั้งจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน +8.4% Y-Y และปริมาณรถบนทางด่วนเพิ่มขึ้นทุกเส้นทาง +2.6% Y-Y โดยเฉพาะทางด่วนศรีรัชรอบนอกที่ทำจุดสูงสุดใหม่ 5.7 หมื่นคันต่อวัน (+24% Y-Y)
คาดกำไรปีนี้ +18% Y-Y เป็น 3.7 พันลบ. จากต้นทุนที่ลดลงตามการขยายอายุสัมปทานรถไฟฟ้าสีน้ำเงิน และการเชื่อมต่อสถานีเตาปูน-บางซื่อเต็มปี
มี Upside จากการเปิดประมูลทางด่วน 2 สาย และรถไฟฟ้าสีม่วงใต้ ซึ่ง BEM มีความได้เปรียบเพราะเป็นส่วนต่อเนื่องจากของเดิมที่มี
ประเด็นสำคัญวันนี้
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังกังวล Trade war ประธานาธิบดีทรัมป์เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีกกว่า 1 แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ หลังจากจีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 5 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ถ้าสหรัฐฯทำจริง มูลค่าสินค้าจีนที่ถูกเก็บภาษีเพิ่ม (อัตราภาษีเฉลี่ย 25%) จะรวมเป็นราว 1.5 แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือประมาณครึ่งหนึ่งของยอดที่จีนเกินดุลการค้าจากสหรัฐฯราว 3 แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ตลาดคาดผลกระทบราว 0.8% และ 1.2% ของ GDP สหรัฐฯและจีน ตามลำดับ แม้จะเป็นผลกระทบทีไม่มาก โดยเฉพาะกับไทยที่มีสินค้าส่งไปจีนแล้วเพิ่มมูลค่าก่อนส่งไปสหรัฐฯเล็กน้อย (ส่วนใหญ่คือไต้หวัน ฮ่องกง และเกาหลีใต้) แต่ประเด็นนี้จะรบกวนตลาดหุ้นทั่วโลกไปจนกว่า 2 ชาติมหาอำนาจจะเจรจาเพื่อหาจุดสมดุลเจอ
(-) จ้างงานสหรัฐฯแย่กว่าคาด งวด มี.ค. อยู่ที่ 103,000 คน ต่ำกว่าคาดที่ 175,000 คน ทำให้ยอดจ้างงานเฉลี่ย 1Q18 จบที่ 202,000 คน ต่ำกว่า 4Q17 ที่ 221,000 คน แต่อัตราการว่างงานยังทรงตัวที่ระดับ 4.1% และค่าจ้างแรงงานยังเพิ่มขึ้น 0.3% M-M และ 2.7% Y-Y การจ้างงานส่วนใหญ่มากจากภาคการผลิตและบริการ ส่วนภาคค้าปลีกอ่อนแอลง สะท้อนอัตราเร่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯที่เริ่มชะลอ
(+) กลุ่มการบิน คาดงบ 1Q18 จะออกมาดี หนุนจากช่วง High Season ของการท่องเที่ยว สะท้อนด้วยโมเมนตัมบวกจากจำนวนนักท่องเที่ยวใน 2M18 +15% Y-Y และนักท่องเที่ยวจีน +32% Y-Y ขณะที่เงินบาทที่แข็งค่าช่วยบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนน้ำมันที่สูงขึ้นได้ เรายังเลือก AAV เป็น Top Pick ของกลุ่ม ราคาเป้าหมาย 6.40 บาท จากศักยภาพในการทำกำไรที่แข็งแกร่งที่สุด และเป็นผู้นำสายการบินต้นทุนต่ำ ซึ่งเป็นแรงขับเครื่องหลักของการเติบโต
(-) TU ระยะสั้น แนวโน้มกำไรสุทธิ 1Q18 จะอ่อนแอมาก อาจต่ำสุดในรอบ 9 ไตรมาส ลดลงแรงทั้ง Q-Q และ Y-Y จากทั้งค่าเงินบาทแข็งค่า และราคาขายปลาทูน่า รวมถึงกุ้งปรับลดลง รวมถึงคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะแผ่วลงเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 20 ไตรมาส แม้เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อการฟื้นตัวตั้งแต่ 2Q18 เป็นต้นไป ซึ่งจะได้รับผลดีจากต้นทุนปลาที่ถูกลง และต่อเนื่องไปใน 3Q18 ซึ่งเป็น High Season แต่ด้วยแนวโน้มกำไร 1Q18 ที่ไม่สดใส เราจึงปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 ลง 11% เหลือ 5.7 พันลบ. -4.4% Y-Y และปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 21 บาท จากเดิม 23 บาท ยังแนะนำซื้อลงทุน
(+) SVI ผู้บริหารให้ข้อมูลว่าคำสั่งซื้อล่วงหน้าปีนี้มากกว่า 10-15% ของเป้ายอดขายที่ US$440 ล้านแล้ว ส่วนปัญหาสต็อกวัตถุดิบแพงจะใช้หมด 1Q18 และช่วยหนุนอัตรากำไรขั้นต้นปรับขึ้นตั้งแต่ 2Q18 กอปรกับอยู่ระหว่างขยายสายการผลิตต่อเนื่อง และโรงงานกัมพูชาจะเริ่มการผลิตได้ตั้งแต่ มิ.ย. 18 ซึ่งมีลูกค้าแล้ว 2 ราย และกำลังมองหาโรงงานแห่งใหม่ในยุโรป เพื่อเติมกำลังการผลิตของ Seidel ที่ปัจจุบันใช้เกือบเต็มแล้ว ส่วนเรื่อง Trade war แทบไม่กระทบต่อ SVI เพราะยอดขายมากถึง 79% มาจากสแกนดิเนเวียและยุโรป และไม่มีโรงงานในจีน เราคาดกำไรปีนี้ +33% Y-Y แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 4.9 บาท
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังกังวล Trade war ประธานาธิบดีทรัมป์เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีกกว่า 1 แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ หลังจากจีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 5 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ถ้าสหรัฐฯทำจริง มูลค่าสินค้าจีนที่ถูกเก็บภาษีเพิ่ม (อัตราภาษีเฉลี่ย 25%) จะรวมเป็นราว 1.5 แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือประมาณครึ่งหนึ่งของยอดที่จีนเกินดุลการค้าจากสหรัฐฯราว 3 แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ตลาดคาดผลกระทบราว 0.8% และ 1.2% ของ GDP สหรัฐฯและจีน ตามลำดับ แม้จะเป็นผลกระทบทีไม่มาก โดยเฉพาะกับไทยที่มีสินค้าส่งไปจีนแล้วเพิ่มมูลค่าก่อนส่งไปสหรัฐฯเล็กน้อย (ส่วนใหญ่คือไต้หวัน ฮ่องกง และเกาหลีใต้) แต่ประเด็นนี้จะรบกวนตลาดหุ้นทั่วโลกไปจนกว่า 2 ชาติมหาอำนาจจะเจรจาเพื่อหาจุดสมดุลเจอ
(-) จ้างงานสหรัฐฯแย่กว่าคาด งวด มี.ค. อยู่ที่ 103,000 คน ต่ำกว่าคาดที่ 175,000 คน ทำให้ยอดจ้างงานเฉลี่ย 1Q18 จบที่ 202,000 คน ต่ำกว่า 4Q17 ที่ 221,000 คน แต่อัตราการว่างงานยังทรงตัวที่ระดับ 4.1% และค่าจ้างแรงงานยังเพิ่มขึ้น 0.3% M-M และ 2.7% Y-Y การจ้างงานส่วนใหญ่มากจากภาคการผลิตและบริการ ส่วนภาคค้าปลีกอ่อนแอลง สะท้อนอัตราเร่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯที่เริ่มชะลอ
(+) กลุ่มการบิน คาดงบ 1Q18 จะออกมาดี หนุนจากช่วง High Season ของการท่องเที่ยว สะท้อนด้วยโมเมนตัมบวกจากจำนวนนักท่องเที่ยวใน 2M18 +15% Y-Y และนักท่องเที่ยวจีน +32% Y-Y ขณะที่เงินบาทที่แข็งค่าช่วยบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนน้ำมันที่สูงขึ้นได้ เรายังเลือก AAV เป็น Top Pick ของกลุ่ม ราคาเป้าหมาย 6.40 บาท จากศักยภาพในการทำกำไรที่แข็งแกร่งที่สุด และเป็นผู้นำสายการบินต้นทุนต่ำ ซึ่งเป็นแรงขับเครื่องหลักของการเติบโต
(-) TU ระยะสั้น แนวโน้มกำไรสุทธิ 1Q18 จะอ่อนแอมาก อาจต่ำสุดในรอบ 9 ไตรมาส ลดลงแรงทั้ง Q-Q และ Y-Y จากทั้งค่าเงินบาทแข็งค่า และราคาขายปลาทูน่า รวมถึงกุ้งปรับลดลง รวมถึงคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะแผ่วลงเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 20 ไตรมาส แม้เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อการฟื้นตัวตั้งแต่ 2Q18 เป็นต้นไป ซึ่งจะได้รับผลดีจากต้นทุนปลาที่ถูกลง และต่อเนื่องไปใน 3Q18 ซึ่งเป็น High Season แต่ด้วยแนวโน้มกำไร 1Q18 ที่ไม่สดใส เราจึงปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 ลง 11% เหลือ 5.7 พันลบ. -4.4% Y-Y และปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 21 บาท จากเดิม 23 บาท ยังแนะนำซื้อลงทุน
(+) SVI ผู้บริหารให้ข้อมูลว่าคำสั่งซื้อล่วงหน้าปีนี้มากกว่า 10-15% ของเป้ายอดขายที่ US$440 ล้านแล้ว ส่วนปัญหาสต็อกวัตถุดิบแพงจะใช้หมด 1Q18 และช่วยหนุนอัตรากำไรขั้นต้นปรับขึ้นตั้งแต่ 2Q18 กอปรกับอยู่ระหว่างขยายสายการผลิตต่อเนื่อง และโรงงานกัมพูชาจะเริ่มการผลิตได้ตั้งแต่ มิ.ย. 18 ซึ่งมีลูกค้าแล้ว 2 ราย และกำลังมองหาโรงงานแห่งใหม่ในยุโรป เพื่อเติมกำลังการผลิตของ Seidel ที่ปัจจุบันใช้เกือบเต็มแล้ว ส่วนเรื่อง Trade war แทบไม่กระทบต่อ SVI เพราะยอดขายมากถึง 79% มาจากสแกนดิเนเวียและยุโรป และไม่มีโรงงานในจีน เราคาดกำไรปีนี้ +33% Y-Y แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 4.9 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
11 เม.ย.- สหรัฐฯ: อัตราเงินเฟ้อ (มี.ค.), FOMC Meeting Minutes
- จีน: อัตราเงินเฟ้อ (มี.ค.)
13 เม.ย.- จีน: ดุลการค้า (มี.ค.)
20 เม.ย.- ไทย: กบง. พิจารณาโครงสร้างราคาพลังงาน
(-) ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับตัวลงกว่า 600 จุด จากแรงกดดันจากคำพูดของปธ.ทรัมป์ที่จะพิจารณาเก็บภาษีสินค้าจากจีนเพิ่มเติมอีก 1 แสนล้านดอลลาร์ หลังรัฐบาลจีนออกมาตอบโต้สินค้าเกษตร ซึ่งเป็นฐานเสียงหลักของนายทรัมป์
(-) ตลาดหุ้นยุโรปปิดตัวลดลงจากสงครามทางการค้าที่ดูท่าจะรุนแรงขึ้น ในขณะที่ตลาดเยอรมันเองก็ถูกกดดันจากการเปลี่ยน CEO ของดอยช์แบงค์
(+) ตลาดเอเชียปรับตัวบวกเล็กน้อย หลังจากตัวเลขเกินดุลการค้าของญี่ปุ่นออกมาดี ในขณะเดียวกัน ตลาดยังคงรอดูตัวเลขเงินเฟ้อของจีน
() ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 31.25-31.35 บาท/ดอลลาร์ หลังเข้าสู่ช่วงเอาเงินปันผลกลับประเทศของนักลงทุนต่างชาติ
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน พ.ค. ลดลง 1.48 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 62.06 ดอลลาร์/ออนซ์ จากแท่นผลิตในสหรัฐที่เพิ่มขึ้นมา 11 แท่น มาอยู่ที่ 808 แท่น ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. ปรับตัวขึ้น 7.6 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1,336.1 ดอลลาร์/ออนซ์ จากความกังวลเรื่องสงครามทางการค้าที่อาจจะรุนแรงขึ้น
Contact person : Jitra Amornthum Register : 014530
Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com
FB : FINNANSIA SYRUS SECURITIES LINE : @fnsyrus
OO7254
11 เม.ย.- สหรัฐฯ: อัตราเงินเฟ้อ (มี.ค.), FOMC Meeting Minutes
- จีน: อัตราเงินเฟ้อ (มี.ค.)
13 เม.ย.- จีน: ดุลการค้า (มี.ค.)
20 เม.ย.- ไทย: กบง. พิจารณาโครงสร้างราคาพลังงาน
(-) ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับตัวลงกว่า 600 จุด จากแรงกดดันจากคำพูดของปธ.ทรัมป์ที่จะพิจารณาเก็บภาษีสินค้าจากจีนเพิ่มเติมอีก 1 แสนล้านดอลลาร์ หลังรัฐบาลจีนออกมาตอบโต้สินค้าเกษตร ซึ่งเป็นฐานเสียงหลักของนายทรัมป์
(-) ตลาดหุ้นยุโรปปิดตัวลดลงจากสงครามทางการค้าที่ดูท่าจะรุนแรงขึ้น ในขณะที่ตลาดเยอรมันเองก็ถูกกดดันจากการเปลี่ยน CEO ของดอยช์แบงค์
(+) ตลาดเอเชียปรับตัวบวกเล็กน้อย หลังจากตัวเลขเกินดุลการค้าของญี่ปุ่นออกมาดี ในขณะเดียวกัน ตลาดยังคงรอดูตัวเลขเงินเฟ้อของจีน
() ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 31.25-31.35 บาท/ดอลลาร์ หลังเข้าสู่ช่วงเอาเงินปันผลกลับประเทศของนักลงทุนต่างชาติ
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน พ.ค. ลดลง 1.48 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 62.06 ดอลลาร์/ออนซ์ จากแท่นผลิตในสหรัฐที่เพิ่มขึ้นมา 11 แท่น มาอยู่ที่ 808 แท่น ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. ปรับตัวขึ้น 7.6 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1,336.1 ดอลลาร์/ออนซ์ จากความกังวลเรื่องสงครามทางการค้าที่อาจจะรุนแรงขึ้น
Contact person : Jitra Amornthum Register : 014530
Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com
FB : FINNANSIA SYRUS SECURITIES LINE : @fnsyrus
OO7254