- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 30 March 2018 17:51
- Hits: 4981
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“กำหนดเลือกตั้ง-ค่า fee ธนาคาร ชี้นำตลาด”
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
แม้ความกังวลต่างๆจากปัจจัยต่างประเทศจะเริ่มลดลง แต่ความกังวลต่อปัจจัยในประเทศยังคงสูงอยู่ โดยเฉพาะความกังวลเรื่องโอกาสการเลื่อนการเลือกตั้ง และผลพวงจากค่า fee 0% ของธนาคาร.... ปัจจัยต่างประเทศ สัญญาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 56 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 64.94 ดอลลาร์/บาร์เรล จากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและประเทศนอกกลุ่มโอเปกได้แสดงความพร้อมที่จะปรับลดกำลังการผลิต, จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 12,000 ราย สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 1973 .... ปัจจัยในประเทศ วานนี้ สศค. รายงานภาวะเศรษฐกิจฯเดือน ก.พ. 18 ว่า เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยในด้านอุปสงค์ขยายตัวได้ดีจากการส่งออกสินค้า …. วันนี้มีรายงานภาวะเศรษฐกิโดย ธปท.
“กำหนดเลือกตั้ง-ค่า fee ธนาคาร ชี้นำตลาด”
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
แม้ความกังวลต่างๆจากปัจจัยต่างประเทศจะเริ่มลดลง แต่ความกังวลต่อปัจจัยในประเทศยังคงสูงอยู่ โดยเฉพาะความกังวลเรื่องโอกาสการเลื่อนการเลือกตั้ง และผลพวงจากค่า fee 0% ของธนาคาร.... ปัจจัยต่างประเทศ สัญญาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 56 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 64.94 ดอลลาร์/บาร์เรล จากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและประเทศนอกกลุ่มโอเปกได้แสดงความพร้อมที่จะปรับลดกำลังการผลิต, จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 12,000 ราย สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 1973 .... ปัจจัยในประเทศ วานนี้ สศค. รายงานภาวะเศรษฐกิจฯเดือน ก.พ. 18 ว่า เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยในด้านอุปสงค์ขยายตัวได้ดีจากการส่งออกสินค้า …. วันนี้มีรายงานภาวะเศรษฐกิโดย ธปท.
กลยุทธ์การลงทุน:
เราแนะนำในลักษณะเดียวกับวันก่อนนั่นคือตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงโดยเฉพาะปัจจัยในประเทศ แนะนำลงทุนในลักษณะ selective buy .... เราแนะนำหุ้นในกลุ่มที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตลาดมากนักและแนวโน้มผลประกอบการยังดีอย่างกลุ่มโรงพยาบาล, หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว คาดการณ์, หรือ หุ้นที่มีลักษณะ defensive ให้อัตราผลตอบแทนจากปันผลสูง .... โดยหุ้นที่ติด most active และคาดว่าตลาดจะให้ความสนใจได้แก่ CPN, BDMS
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์: PSH
เราแนะนำในลักษณะเดียวกับวันก่อนนั่นคือตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงโดยเฉพาะปัจจัยในประเทศ แนะนำลงทุนในลักษณะ selective buy .... เราแนะนำหุ้นในกลุ่มที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตลาดมากนักและแนวโน้มผลประกอบการยังดีอย่างกลุ่มโรงพยาบาล, หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว คาดการณ์, หรือ หุ้นที่มีลักษณะ defensive ให้อัตราผลตอบแทนจากปันผลสูง .... โดยหุ้นที่ติด most active และคาดว่าตลาดจะให้ความสนใจได้แก่ CPN, BDMS
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์: PSH
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) CPN : (ราคาปิด 78.50 บาท)
เรายังคงแนะนำ CPN ต่อเนื่อง โดยมองว่า CPN มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวจากการเตรียมเปิดเซ็นทรัลภูเก็ตพื้นที่ถึง 63,00 ตร.ม. ภายในช่วง 1H18 นอกจากนี้เซ็นทรัลเวิลด์จะปรับปรุงแล้วเสร็จในช่วง 3Q18 รวมถึงจะมีการรับรู้รายได้จากคอนโดอีกราว 3 พันล้านบาท โดยเราคาดกำไรปกติปี 2018 ของ CPN จะเติบโต +22% YoY ที่ 12,254 ล้านบาท .... ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST ที่ 92.00 บาท
(+) BDMS : (ราคาปิด 23.50 บาท)
เรา switch มากลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกับตลาดมากนัก กลุ่มโรงพยาบาลสามารถปรับตัวขึ้นได้ในช่วงวานนี้ แม้ตลาดจะปรับตัวลงมาก .... เลือก BDMS เนื่องจากมุมมองผลประกอบการปี 2018 ที่จะกลับมาเติบโต ซึ่งเราคาดไว้ที่ประมาณ +10% YoY ที่ 8,845 ล้านบาท จากคาดการณ์จำนวนคนไข้เติบโต, คาดค่ารักษาพยาบาลต่อหัวจะเพิ่มขึ้น ทั้งจากการปรับค่ารักษาพยาบาลขึ้น และโรคซับซ้อนเพิ่มขึ้น .... ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST ที่ 25.00 บาท
(+) PSH : (ราคาปิด 21.70 บาท)
PSH เป็นหุ้นที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงเป็นอันดับต้นๆของตลาด โดยเราคาดการณ์ไว้ที่ระดับประมาณ 6% นอกจากนี้เรายังคาดการณ์ว่าบริษัทจะเติบโตได้ในปีนี้ที่ระดับประมาณ 12% ที่ 6,089 ล้านบาท จากโครงการคอนโดใหม่ที่เริ่มโอนมากขึ้นเป็น 7 โครงการ .... ราคาที่เหมาะสมในเชิงกลยุทธโดย KTBST ที่ 25.50 บาท
หุ้นมีประเด็น
(+) MEGA หวังปี 2020 กำไรแตะ 1.8 พันล้านบาท
MEGA ตั้งเป้ากำไรสุทธิแตะ 1.6-1.8 พันล้านบาท ส่วนรายได้อยู่ที่ 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท จาก Branded business และ Distribution business พร้อมตั้งงบลงทุน 800 ล้านบาทสร้างคลังสินค้าและปรับปรุงโรงงานเดิม ในปี2018 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 8-12% จากปีก่อน ที่มีรายได้ 9.63 พันล้านบาท เนื่องจากเตรียมออกสินค้าใหม่ 10-15 ผลิตภัณฑ์ และสินค้าเดิมมีการเติบโตเพิ่มขึ้น ทั้งแบรนด์ของบริษัท และธุรกิจจัดจำหน่าย รวมถึงรับจ้างผลิต ซึ่งคาดว่าอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) เพิ่มขึ้น คาดเลื่อนเปิดตัวจาก 2Q18 เป็น 4Q18 Doctor Drink ที่ร่วมพัฒนากับ MEGA – MALEE ปัจจุบันอยู่ระหว่างของ อย. นอกจากนี้ บริษัทมีแผนขยายธุรกิจที่อินโดนีเซีย โดยอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะลงทุนผลิตเอง หรือ จ้างผลิต หรือจะซื้อกิจการ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีนี้ รวมถึงบริษัทมองหาโอกาสซื้อกิจการในประเทศ ที่บริษัทได้มีธุรกิจอยู่แล้ว แต่ขณะนี้ ยังไม่มีดีลที่จะได้ข้อสรุป (ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ)
ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นบวกกับข่าวข้างต้น เราเชื่อมั่นว่า MEGA สามารถ Deliver revenue growth ได้สูงกว่าเป้าที่บริษัทฯตั้งไว้ เราคาดว่า กำไรสุทธิปี 2018 จะเติบโตโดดเด่นที่ 21% YoY อยู่ที่ 1,341 ล้านบาท และรายได้อยู่ที่ 10,679 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจาก 1) การรุกขยายช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศของ Branded business โดยปีนี้จะเน้นรุกตลาดกลุ่มประเทศแอฟริกา ซึ่งเราคาดว่าจะมีการเติบโตสูงอยู่ที่ Double digits 2) การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 10-15 ผลิตภัณฑ์ 3) EBITDA margin ที่ขยายตัวเป็น 16.3%จาก 15.7% ในปี 2017 4) รายได้จาก Distribution business ที่คาดว่ากลับมาฟื้นตัว เติบโตที่ 8% YoY 5) Gross profit margin ที่ขยายตัวอยู่ที่ 46% จาก 45%ในปี 2017 นอกเหนือจากนี้เรายังชอบแผนธุรกิจของ MEGA ที่จะรุกขยายไปประเทศอินโดนีเซีย เรามองว่าตลาด Consumer Health Product ของอินโดนีเซียเป็นตลาดใหญ่ การรุกขยายเข้าตลาดนี้จะช่วยเพิ่ม Top line growth ของ MEGA ในระยะยาว ทั้งนี้เราไม่ได้รวมรายได้จาก MEGA – MALEE ในการประเมินราคาหุ้น เราจึงมองว่าการเลื่อนออก Doctor Drink ไม่ส่งผลกระทบต่อรายด้ที่เราคาดการณ์ไว้ในปี 2018 เรามองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมา เป็นจังหวะให้เข้า “ซื้อสะสม” เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” MEGA ที่ราคาเหมาะสม 50 บาท ปัจจุบันMEGA เทรดที่ PER 28.4x 2018 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมกลุ่ม Commerce ซึ่งมี PER ที่ 30x และ Healthcare ซึ่งอยู่ที่ PER 33.6x2018
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) CPN : (ราคาปิด 78.50 บาท)
เรายังคงแนะนำ CPN ต่อเนื่อง โดยมองว่า CPN มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวจากการเตรียมเปิดเซ็นทรัลภูเก็ตพื้นที่ถึง 63,00 ตร.ม. ภายในช่วง 1H18 นอกจากนี้เซ็นทรัลเวิลด์จะปรับปรุงแล้วเสร็จในช่วง 3Q18 รวมถึงจะมีการรับรู้รายได้จากคอนโดอีกราว 3 พันล้านบาท โดยเราคาดกำไรปกติปี 2018 ของ CPN จะเติบโต +22% YoY ที่ 12,254 ล้านบาท .... ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST ที่ 92.00 บาท
(+) BDMS : (ราคาปิด 23.50 บาท)
เรา switch มากลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกับตลาดมากนัก กลุ่มโรงพยาบาลสามารถปรับตัวขึ้นได้ในช่วงวานนี้ แม้ตลาดจะปรับตัวลงมาก .... เลือก BDMS เนื่องจากมุมมองผลประกอบการปี 2018 ที่จะกลับมาเติบโต ซึ่งเราคาดไว้ที่ประมาณ +10% YoY ที่ 8,845 ล้านบาท จากคาดการณ์จำนวนคนไข้เติบโต, คาดค่ารักษาพยาบาลต่อหัวจะเพิ่มขึ้น ทั้งจากการปรับค่ารักษาพยาบาลขึ้น และโรคซับซ้อนเพิ่มขึ้น .... ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST ที่ 25.00 บาท
(+) PSH : (ราคาปิด 21.70 บาท)
PSH เป็นหุ้นที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงเป็นอันดับต้นๆของตลาด โดยเราคาดการณ์ไว้ที่ระดับประมาณ 6% นอกจากนี้เรายังคาดการณ์ว่าบริษัทจะเติบโตได้ในปีนี้ที่ระดับประมาณ 12% ที่ 6,089 ล้านบาท จากโครงการคอนโดใหม่ที่เริ่มโอนมากขึ้นเป็น 7 โครงการ .... ราคาที่เหมาะสมในเชิงกลยุทธโดย KTBST ที่ 25.50 บาท
หุ้นมีประเด็น
(+) MEGA หวังปี 2020 กำไรแตะ 1.8 พันล้านบาท
MEGA ตั้งเป้ากำไรสุทธิแตะ 1.6-1.8 พันล้านบาท ส่วนรายได้อยู่ที่ 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท จาก Branded business และ Distribution business พร้อมตั้งงบลงทุน 800 ล้านบาทสร้างคลังสินค้าและปรับปรุงโรงงานเดิม ในปี2018 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 8-12% จากปีก่อน ที่มีรายได้ 9.63 พันล้านบาท เนื่องจากเตรียมออกสินค้าใหม่ 10-15 ผลิตภัณฑ์ และสินค้าเดิมมีการเติบโตเพิ่มขึ้น ทั้งแบรนด์ของบริษัท และธุรกิจจัดจำหน่าย รวมถึงรับจ้างผลิต ซึ่งคาดว่าอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) เพิ่มขึ้น คาดเลื่อนเปิดตัวจาก 2Q18 เป็น 4Q18 Doctor Drink ที่ร่วมพัฒนากับ MEGA – MALEE ปัจจุบันอยู่ระหว่างของ อย. นอกจากนี้ บริษัทมีแผนขยายธุรกิจที่อินโดนีเซีย โดยอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะลงทุนผลิตเอง หรือ จ้างผลิต หรือจะซื้อกิจการ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีนี้ รวมถึงบริษัทมองหาโอกาสซื้อกิจการในประเทศ ที่บริษัทได้มีธุรกิจอยู่แล้ว แต่ขณะนี้ ยังไม่มีดีลที่จะได้ข้อสรุป (ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ)
ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นบวกกับข่าวข้างต้น เราเชื่อมั่นว่า MEGA สามารถ Deliver revenue growth ได้สูงกว่าเป้าที่บริษัทฯตั้งไว้ เราคาดว่า กำไรสุทธิปี 2018 จะเติบโตโดดเด่นที่ 21% YoY อยู่ที่ 1,341 ล้านบาท และรายได้อยู่ที่ 10,679 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจาก 1) การรุกขยายช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศของ Branded business โดยปีนี้จะเน้นรุกตลาดกลุ่มประเทศแอฟริกา ซึ่งเราคาดว่าจะมีการเติบโตสูงอยู่ที่ Double digits 2) การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 10-15 ผลิตภัณฑ์ 3) EBITDA margin ที่ขยายตัวเป็น 16.3%จาก 15.7% ในปี 2017 4) รายได้จาก Distribution business ที่คาดว่ากลับมาฟื้นตัว เติบโตที่ 8% YoY 5) Gross profit margin ที่ขยายตัวอยู่ที่ 46% จาก 45%ในปี 2017 นอกเหนือจากนี้เรายังชอบแผนธุรกิจของ MEGA ที่จะรุกขยายไปประเทศอินโดนีเซีย เรามองว่าตลาด Consumer Health Product ของอินโดนีเซียเป็นตลาดใหญ่ การรุกขยายเข้าตลาดนี้จะช่วยเพิ่ม Top line growth ของ MEGA ในระยะยาว ทั้งนี้เราไม่ได้รวมรายได้จาก MEGA – MALEE ในการประเมินราคาหุ้น เราจึงมองว่าการเลื่อนออก Doctor Drink ไม่ส่งผลกระทบต่อรายด้ที่เราคาดการณ์ไว้ในปี 2018 เรามองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมา เป็นจังหวะให้เข้า “ซื้อสะสม” เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” MEGA ที่ราคาเหมาะสม 50 บาท ปัจจุบันMEGA เทรดที่ PER 28.4x 2018 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมกลุ่ม Commerce ซึ่งมี PER ที่ 30x และ Healthcare ซึ่งอยู่ที่ PER 33.6x2018
(0) KTC คงเป้าบัตรเครดิตใหม่ปีนี้ 2.8 แสนใบ หลัง ม.ค.-ก.พ.ทำได้เฉลี่ย 1 หมื่นใบ/เดือน
น.ส.สุชชวี บรรจบดี ผู้จัดการอาวุโส-ธุรกิจบัตรเครดิต บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้าหมายบัตรเครดิตใหม่ปีนี้ที่ 2.8 แสนใบ จากสิ้นปี 60 ที่มียอดผู้ถือบัตรโดยรวมอยู่ที่ 2.16 ล้านใบ ขณะที่ในช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมา บริษัทมีจำนวนบัตรเครดิตใหม่แล้วประมาณหลักหมื่นใบ/เดือน ส่วนยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเคทีซีที่ผ่านมาก็มีการเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงยังเป็นการเพิ่มจำนวนผู้ใช้ เคทีซีโมบาย แอพพลิเคชั่น โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดผู้ใช้แอพพลิเคชั่น ณ สิ้นปี 61 จะอยู่ที่ 2 ล้านคน จากปัจจุบันที่มีฐานผู้ใช้งานดังกล่าวแล้วจำนวน 6 แสนคน (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์)
ความเห็น: เรามีมุมมองเชิงบวกต่อข่าวข้างต้น เนื่องจากยอดผู้ถือบัตรที่เพิ่มขึ้นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาส่งผลให้บริษัทมีจำนวนบัตรเครดิตเข้าสู่ 2.18 ล้านใบ หรือคิดเป็นสัดส่วนทางการตลาดในเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาที่ 11.2% สูงขึ้นจากปีก่อนที่ 10.7% นอกจากนี้ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาขยายตัวที่ 9% YoY ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของ KTC ดีขึ้น นอกจากนี้เรามองว่าแม้ว่าบริษัทอาจจะต้องตั้งสำรองสำหรับวงเงินที่ผู้ถือบัตรไม่ได้ใช้ในอนาคตจากการบังคับใช้ IFRS9 ในปีหน้า แต่จากการที่บริษัทมีสัดส่วน Coverage Ratio ที่สูงถึงกว่า 588% ส่งผลให้บริษัทอาจจะมีผลกระทบเล็กน้อย อย่างไรก็ตามจากการที่ผู้บริหารยังคงเป้าหมายบัตรเครดิตในปีนี้ เราจึงมองว่าราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นมาสูง และสัดส่วนนักลงทุนรายย่อยเริ่มลดลง ส่งผลให้ราคาหุ้นสูงกว่าราคาที่ควรเป็น โดยเรายังคงคำแนะนำ ถือ ที่ราคาเป้าหมาย 285 บาท
น.ส.สุชชวี บรรจบดี ผู้จัดการอาวุโส-ธุรกิจบัตรเครดิต บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้าหมายบัตรเครดิตใหม่ปีนี้ที่ 2.8 แสนใบ จากสิ้นปี 60 ที่มียอดผู้ถือบัตรโดยรวมอยู่ที่ 2.16 ล้านใบ ขณะที่ในช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมา บริษัทมีจำนวนบัตรเครดิตใหม่แล้วประมาณหลักหมื่นใบ/เดือน ส่วนยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเคทีซีที่ผ่านมาก็มีการเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงยังเป็นการเพิ่มจำนวนผู้ใช้ เคทีซีโมบาย แอพพลิเคชั่น โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดผู้ใช้แอพพลิเคชั่น ณ สิ้นปี 61 จะอยู่ที่ 2 ล้านคน จากปัจจุบันที่มีฐานผู้ใช้งานดังกล่าวแล้วจำนวน 6 แสนคน (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์)
ความเห็น: เรามีมุมมองเชิงบวกต่อข่าวข้างต้น เนื่องจากยอดผู้ถือบัตรที่เพิ่มขึ้นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาส่งผลให้บริษัทมีจำนวนบัตรเครดิตเข้าสู่ 2.18 ล้านใบ หรือคิดเป็นสัดส่วนทางการตลาดในเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาที่ 11.2% สูงขึ้นจากปีก่อนที่ 10.7% นอกจากนี้ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาขยายตัวที่ 9% YoY ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของ KTC ดีขึ้น นอกจากนี้เรามองว่าแม้ว่าบริษัทอาจจะต้องตั้งสำรองสำหรับวงเงินที่ผู้ถือบัตรไม่ได้ใช้ในอนาคตจากการบังคับใช้ IFRS9 ในปีหน้า แต่จากการที่บริษัทมีสัดส่วน Coverage Ratio ที่สูงถึงกว่า 588% ส่งผลให้บริษัทอาจจะมีผลกระทบเล็กน้อย อย่างไรก็ตามจากการที่ผู้บริหารยังคงเป้าหมายบัตรเครดิตในปีนี้ เราจึงมองว่าราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นมาสูง และสัดส่วนนักลงทุนรายย่อยเริ่มลดลง ส่งผลให้ราคาหุ้นสูงกว่าราคาที่ควรเป็น โดยเรายังคงคำแนะนำ ถือ ที่ราคาเป้าหมาย 285 บาท
(-) ค้าปลีกจัดโปรรับแบงก์ฟรีค่าต๋ง กระทบระยะสั้น แต่ฐานการตลาดยังมีอีกมาก
หลังธนาคารพาณิชย์หลายราย เปิดศึกแย่งลูกค้าออนไลน์ ด้วยการประกาศยกเลิกค่าธรรมเนียมการโอน จ่าย ถอน เติมเงิน บนแอพพลิเคชั่น และอินเทอร์เน็ต ส่งผลกระทบต่อธุรกิจบริการรับชำระค่าสินค้าและบริการ หรือ เคาน์เตอร์เซอร์วิส ที่มีผู้ประกอบการค้าปลีกเป็นผู้เล่นรายใหญ่ ล่าสุดเตรียมงัดโปรโมชั่นมาสู้ศึก (ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ)
ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นลบเล็กน้อย โดยจะกระทบเพราะผู้ใช้บริการบางส่วนอาจใช้บริการโอนเงินออนไลน์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการโอนเงินไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับความสะดวก และลูกค้าส่วนใหญ่นิยมเข้ามาทำธุรกรรม พร้อมๆ กันแบบวันสต็อปชอปปิง วันสต็อปเซอร์วิสในร้านหรือแหล่งเดียว ทั้งนี้การทำการตลาดแบบผสมผสานทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์แบบหน้าร้าน จะสามารถกระตุ้นความสนใจให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้า ณ จุดขายได้ดีกว่าการทำการตลาดออนไลน์อย่างเดียวและออฟไลน์อย่างเดียว ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่อย่าง CPALL และ BJC มีสาขาที่มีความคล่องตัวอยู่ทั่วประเทศ เบื้องต้นเรายังคงแนะนำซื้อ CPALL ที่ 93 บาท และ BJC ทิ่ 72 บาท
หลังธนาคารพาณิชย์หลายราย เปิดศึกแย่งลูกค้าออนไลน์ ด้วยการประกาศยกเลิกค่าธรรมเนียมการโอน จ่าย ถอน เติมเงิน บนแอพพลิเคชั่น และอินเทอร์เน็ต ส่งผลกระทบต่อธุรกิจบริการรับชำระค่าสินค้าและบริการ หรือ เคาน์เตอร์เซอร์วิส ที่มีผู้ประกอบการค้าปลีกเป็นผู้เล่นรายใหญ่ ล่าสุดเตรียมงัดโปรโมชั่นมาสู้ศึก (ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ)
ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นลบเล็กน้อย โดยจะกระทบเพราะผู้ใช้บริการบางส่วนอาจใช้บริการโอนเงินออนไลน์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการโอนเงินไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับความสะดวก และลูกค้าส่วนใหญ่นิยมเข้ามาทำธุรกรรม พร้อมๆ กันแบบวันสต็อปชอปปิง วันสต็อปเซอร์วิสในร้านหรือแหล่งเดียว ทั้งนี้การทำการตลาดแบบผสมผสานทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์แบบหน้าร้าน จะสามารถกระตุ้นความสนใจให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้า ณ จุดขายได้ดีกว่าการทำการตลาดออนไลน์อย่างเดียวและออฟไลน์อย่างเดียว ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่อย่าง CPALL และ BJC มีสาขาที่มีความคล่องตัวอยู่ทั่วประเทศ เบื้องต้นเรายังคงแนะนำซื้อ CPALL ที่ 93 บาท และ BJC ทิ่ 72 บาท
บทวิเคราะห์วันนี้
(0/-) BANK, FINANCE: TFRS9 ผลกระทบต่อกลุ่มสถาบันการเงิน
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (28.03.2018) บล. KTBST ได้มีการจัดบรรยาย “ผลกระทบต่อกลุ่มสถาบันทางการเงินจากมาตรฐานทางเงิน TFRS9 โดยเรามองว่า ผลกระทบจาก TFRS9 จะทำให้ภาพรวมการตั้งสำรองยังคงเพิ่มขึ้นได้อีกในปีนี้ แต่อย่างไรก็ดี เรามองว่า ผลกระทบในการตั้งสำรองอาจจะบรรเทาลงได้ เนื่องจากปัจจุบันทางสภาวิชาชีพได้เสนอทางเลือกกับทาง ธปท. ไว้ 2 ทางคือ (1) ตัดสำรองทั้งหมดผ่านกำไรสะสมทั้งก้อน หากมีกำไรสะสมเพียงพอ หรือ (2) ทยอยตัดแบบ amortization เป็นเวลา 3 ปี ในงบกำไรขาดทุน โดยเราคาดว่า BBL และ TISCO มีผลกระทบจากการตั้งสำรองเพิ่มเติมน้อยที่สุด เลือก KBANK เป็น Top pick (TP: 246 บาท) จากกำไรสุทธิที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ในขณะที่กลุ่มเช่าซื้อ เราชอบ MTLS (TP: 48 บาท) จากการที่มี coverage ratio ที่สูง และ NPLs ที่ต่ำ ส่วนธุรกิจบัตรเครดิต เรามองว่า มีผลกระทบเล็กน้อยต่อ KTC เนื่องจากมี coverage ratio ที่สูงมากถึง 637%
(0/-) BANK, FINANCE: TFRS9 ผลกระทบต่อกลุ่มสถาบันการเงิน
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (28.03.2018) บล. KTBST ได้มีการจัดบรรยาย “ผลกระทบต่อกลุ่มสถาบันทางการเงินจากมาตรฐานทางเงิน TFRS9 โดยเรามองว่า ผลกระทบจาก TFRS9 จะทำให้ภาพรวมการตั้งสำรองยังคงเพิ่มขึ้นได้อีกในปีนี้ แต่อย่างไรก็ดี เรามองว่า ผลกระทบในการตั้งสำรองอาจจะบรรเทาลงได้ เนื่องจากปัจจุบันทางสภาวิชาชีพได้เสนอทางเลือกกับทาง ธปท. ไว้ 2 ทางคือ (1) ตัดสำรองทั้งหมดผ่านกำไรสะสมทั้งก้อน หากมีกำไรสะสมเพียงพอ หรือ (2) ทยอยตัดแบบ amortization เป็นเวลา 3 ปี ในงบกำไรขาดทุน โดยเราคาดว่า BBL และ TISCO มีผลกระทบจากการตั้งสำรองเพิ่มเติมน้อยที่สุด เลือก KBANK เป็น Top pick (TP: 246 บาท) จากกำไรสุทธิที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ในขณะที่กลุ่มเช่าซื้อ เราชอบ MTLS (TP: 48 บาท) จากการที่มี coverage ratio ที่สูง และ NPLs ที่ต่ำ ส่วนธุรกิจบัตรเครดิต เรามองว่า มีผลกระทบเล็กน้อยต่อ KTC เนื่องจากมี coverage ratio ที่สูงมากถึง 637%