- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 28 March 2018 17:02
- Hits: 3131
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“side way รอข่าวใหม่ๆ ”
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
ปัจจัยต่างประเทศมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา โดยต่างประเทศเป็นลบจากทั้งแรงขายของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและมาตรการสหรัฐฯที่มีการแบนการลงทุนของบริษัทจีนในกลุ่มเทคโนโลยี เราจึงมองว่าภาพตลาดไทยช่วงสั้นจะมีความผันผวน .... ปัจจัยในประเทศวานนี้ ครม. เห็นชอบโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 200,000 ล้านบาทตามคาด และ.เห็นชอบหลักเกณฑ์"โครงการไทยนิยม ยั่งยืน" หมู่บ้านละ 2 แสนบาท ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก, คสช. ตีกลับมาตรการการช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล และคลื่น 900 MHz และ สทท. เปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศไทย ไตรมาส 1/2561 เท่ากับ 101 ซึ่งอยู่ในระดับปกติ .... วันนี้ติดตามการประชุม กนง. คาดว่าจะคงดอกเบี้ย
“side way รอข่าวใหม่ๆ ”
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
ปัจจัยต่างประเทศมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา โดยต่างประเทศเป็นลบจากทั้งแรงขายของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและมาตรการสหรัฐฯที่มีการแบนการลงทุนของบริษัทจีนในกลุ่มเทคโนโลยี เราจึงมองว่าภาพตลาดไทยช่วงสั้นจะมีความผันผวน .... ปัจจัยในประเทศวานนี้ ครม. เห็นชอบโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 200,000 ล้านบาทตามคาด และ.เห็นชอบหลักเกณฑ์"โครงการไทยนิยม ยั่งยืน" หมู่บ้านละ 2 แสนบาท ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก, คสช. ตีกลับมาตรการการช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล และคลื่น 900 MHz และ สทท. เปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศไทย ไตรมาส 1/2561 เท่ากับ 101 ซึ่งอยู่ในระดับปกติ .... วันนี้ติดตามการประชุม กนง. คาดว่าจะคงดอกเบี้ย
กลยุทธ์การลงทุน:
การเข้าลงทุนยังแนะนำเป็นลักษณะ selective buy เน้นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว อิงปัจจัยในประเทศเป็นหลัก และลงทุนในกรอบเวลาสั้นๆ .... เราถอดหุ้นกลุ่ม ICT และ กลุ่มทีวีดิจิทอลออกจากหุ้นแนะนำของเรา หลังคสช. ตีกลับมาตรการการช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล และคลื่น 900 MHz โดยเรายังคงแนะนำหุ้นกลุ่ม domestic play อยู่แต่แนะนำ switch ออกจากหุ้นที่ขึ้นมามากอย่าง KTC มายังหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีอย่าง CPALL และ CPN แทน
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์: MEGA, BCH, TOA*
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) CPALL : (ราคาปิด 90.00 บาท)
CPALL เป็นอีกหนึ่งหุ้นที่มีลักษณะเป็น domestic play ซึ่งได้แรงหนุนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งปัจจุบันความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงทรงตัวในระดับสูงที่ 79.3 ในขณะที่ค่าเฉลี่ย 2 ปีอยู่ที่ระดับราว 75 และ CPALL ยังได้ผลบวกจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เติบโตในช่วงเดือน ก.พ. ที่ 3.57 ล้านคน (+19% YoY) …. KTBST คาดปี 2018 บริษัทเติบโต +20% YoY ที่ 23,106 ล้านบาท และเติบโตต่อเนื่องในปี 2019 ที่ +12% YoY ที่ระดับ 25,888 ล้านบาท .... ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST ที่ 93.00 บาท
(+) CPN : (ราคาปิด 78.50 บาท)
CPN มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวจากการเตรียมเปิดเซ็นทรัลภูเก็ตพื้นที่ถึง 63,00 ตร.ม. ภายในช่วง 1H18 นอกจากนี้เซ็นทรัลเวิลด์จะปรับปรุงแล้วเสร็จในช่วง 3Q18 รวมถึงจะมีการรับรู้รายได้จากคอนโดอีกราว 3 พันล้านบาท โดยเราคาดกำไรปกติปี 2018 ของ CPN จะเติบโต +22% YoY ที่ 12,254 ล้านบาท .... ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST ที่ 92.00 บาท
(+) MEGA : (ราคาปิด 47.25 บาท)
MEGA เป็นหนึ่งในหุ้นที่ผลการดำเนินงานดีต่อเนื่อง ในปี 2018-2022 เราคาดว่า Branded business จะเติบโตสูงต่อเนื่องที่ CAGR 13.5% จากเทรนด์ด้านสุขภาพ, การออกผลิตภัณฑ์ใหม่, การขยายไปต่างประเทศ ด้านธุรกิจ distribution business คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวเช่นกัน .... ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST ที่ 50.00 บาท
หุ้นมีประเด็น
(+) Contractor, Industrial Estateครม.ไฟเขียว รถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบินนานาชาติ
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม คณะรฐัมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามนิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) วงเงินไม่เกิน 119,425.75 ล้านบาท ระยะทาง 220 กม. ในรูปแบบ PPP Net Cost โดยภาครัฐจะเป็น ผู้ลงทุนค่ากรรมสิทธิ์ที่ดิน ส่วนเอกชนลงทุนด้านงานโยธา โดยมีระยะเวลา 50 ปี โดยหลังจากนี้จะจัดทำร่างเอกสารเงื่อนไขการประกวดราคา (TOR) เพื่อหาผู้ประมูลโครงการและจะเสนอ เข้าครม.อีกครั้ง นอกจากนี้ยังอนุมัติค่างานที่เกี่ยวข้องกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์โครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ในกรอบวงเงินจำนวน 3,570.29 ล้านบาท และยังเห็นชอบให้รัฐบาลรับภาระหนี้โครงสร้างพื้นฐานของโครงการแอร์พอร์ต เรลลิงก์ ของ รฟท. เป็นจำนวนเงิน 22,558.06 ล้านบาท รวมทั้งกำหนดพื้นที่โครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ตั้งแต่สนามบินดอนเมืองถึงสุดเขตกรุงเทพฯ และรวมถึงสถานีสุวรรณภูมิเป็นพื้นที่ "ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก" เพิ่มเติม (ที่มา: นสพ. ไทยรัฐ)
ความเห็น: เรามีความเห็นเป็นบวกต่อข่าวข้างต้นที่สนับสนุนการขนส่ง และการลงทุนโดยเฉพาะพื้นที่ EEC และบริเวณข้างเคียง นอกจากนี้เรามองว่าโครงการนี้จะช่วยเพิ่มความสะดวกในการคมนาคมสำหรับนักท่องเที่ยวสำหรับการเข้าถึงสถานที่ท่องเที่ยวใน EEC และเพิ่มรายได้ให้แก่ประเทศไทย โดยโครงการนี้มีสถานีทั้งหมด 5 แห่ง (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ศรีราชา พัทยา และอู่ตะเภา) สำหรับกลุ่มรับเหมาเรายังชอบ STEC และ CK เนื่องจากบริษัทมีสัดส่วน Net Gearing ที่ต่ำ และมีประสบการณ์ในโครงการต่างๆ โดยเฉพาะรถไฟฟ้า และรถทางคู่ เป็นต้น ในขณะที่กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมเราชอบ WHA เนื่องจากบริษัทมีที่ดินเพื่อขายในพื้นที่ EEC ที่สูง, มีธุรกิจเพื่อรองรับการขนส่งในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ (พื้นที่ EEC ใหม่) ที่สูง, มีธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง เช่น โรงไฟฟ้า และมีแนวโน้มที่จะขายทรัพย์สินเข้า REIT อย่างต่อเนื่อง เรายังคงแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 5.00 บาท นอกจากนี้เราคาดว่าผลการดำเนินงานใน 1Q18 จะขยายตัวเพิ่มขึ้น YoY จากยอดขายทรัพย์สินเข้ากอง HREIT ที่ถูกโอนเมื่อวันที่ 4 ม.ค. ที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่าขายที่ 1.7 พันล้านบาท
การเข้าลงทุนยังแนะนำเป็นลักษณะ selective buy เน้นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว อิงปัจจัยในประเทศเป็นหลัก และลงทุนในกรอบเวลาสั้นๆ .... เราถอดหุ้นกลุ่ม ICT และ กลุ่มทีวีดิจิทอลออกจากหุ้นแนะนำของเรา หลังคสช. ตีกลับมาตรการการช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล และคลื่น 900 MHz โดยเรายังคงแนะนำหุ้นกลุ่ม domestic play อยู่แต่แนะนำ switch ออกจากหุ้นที่ขึ้นมามากอย่าง KTC มายังหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีอย่าง CPALL และ CPN แทน
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์: MEGA, BCH, TOA*
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) CPALL : (ราคาปิด 90.00 บาท)
CPALL เป็นอีกหนึ่งหุ้นที่มีลักษณะเป็น domestic play ซึ่งได้แรงหนุนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งปัจจุบันความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงทรงตัวในระดับสูงที่ 79.3 ในขณะที่ค่าเฉลี่ย 2 ปีอยู่ที่ระดับราว 75 และ CPALL ยังได้ผลบวกจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เติบโตในช่วงเดือน ก.พ. ที่ 3.57 ล้านคน (+19% YoY) …. KTBST คาดปี 2018 บริษัทเติบโต +20% YoY ที่ 23,106 ล้านบาท และเติบโตต่อเนื่องในปี 2019 ที่ +12% YoY ที่ระดับ 25,888 ล้านบาท .... ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST ที่ 93.00 บาท
(+) CPN : (ราคาปิด 78.50 บาท)
CPN มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวจากการเตรียมเปิดเซ็นทรัลภูเก็ตพื้นที่ถึง 63,00 ตร.ม. ภายในช่วง 1H18 นอกจากนี้เซ็นทรัลเวิลด์จะปรับปรุงแล้วเสร็จในช่วง 3Q18 รวมถึงจะมีการรับรู้รายได้จากคอนโดอีกราว 3 พันล้านบาท โดยเราคาดกำไรปกติปี 2018 ของ CPN จะเติบโต +22% YoY ที่ 12,254 ล้านบาท .... ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST ที่ 92.00 บาท
(+) MEGA : (ราคาปิด 47.25 บาท)
MEGA เป็นหนึ่งในหุ้นที่ผลการดำเนินงานดีต่อเนื่อง ในปี 2018-2022 เราคาดว่า Branded business จะเติบโตสูงต่อเนื่องที่ CAGR 13.5% จากเทรนด์ด้านสุขภาพ, การออกผลิตภัณฑ์ใหม่, การขยายไปต่างประเทศ ด้านธุรกิจ distribution business คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวเช่นกัน .... ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST ที่ 50.00 บาท
หุ้นมีประเด็น
(+) Contractor, Industrial Estateครม.ไฟเขียว รถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบินนานาชาติ
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม คณะรฐัมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามนิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) วงเงินไม่เกิน 119,425.75 ล้านบาท ระยะทาง 220 กม. ในรูปแบบ PPP Net Cost โดยภาครัฐจะเป็น ผู้ลงทุนค่ากรรมสิทธิ์ที่ดิน ส่วนเอกชนลงทุนด้านงานโยธา โดยมีระยะเวลา 50 ปี โดยหลังจากนี้จะจัดทำร่างเอกสารเงื่อนไขการประกวดราคา (TOR) เพื่อหาผู้ประมูลโครงการและจะเสนอ เข้าครม.อีกครั้ง นอกจากนี้ยังอนุมัติค่างานที่เกี่ยวข้องกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์โครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ในกรอบวงเงินจำนวน 3,570.29 ล้านบาท และยังเห็นชอบให้รัฐบาลรับภาระหนี้โครงสร้างพื้นฐานของโครงการแอร์พอร์ต เรลลิงก์ ของ รฟท. เป็นจำนวนเงิน 22,558.06 ล้านบาท รวมทั้งกำหนดพื้นที่โครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ตั้งแต่สนามบินดอนเมืองถึงสุดเขตกรุงเทพฯ และรวมถึงสถานีสุวรรณภูมิเป็นพื้นที่ "ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก" เพิ่มเติม (ที่มา: นสพ. ไทยรัฐ)
ความเห็น: เรามีความเห็นเป็นบวกต่อข่าวข้างต้นที่สนับสนุนการขนส่ง และการลงทุนโดยเฉพาะพื้นที่ EEC และบริเวณข้างเคียง นอกจากนี้เรามองว่าโครงการนี้จะช่วยเพิ่มความสะดวกในการคมนาคมสำหรับนักท่องเที่ยวสำหรับการเข้าถึงสถานที่ท่องเที่ยวใน EEC และเพิ่มรายได้ให้แก่ประเทศไทย โดยโครงการนี้มีสถานีทั้งหมด 5 แห่ง (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ศรีราชา พัทยา และอู่ตะเภา) สำหรับกลุ่มรับเหมาเรายังชอบ STEC และ CK เนื่องจากบริษัทมีสัดส่วน Net Gearing ที่ต่ำ และมีประสบการณ์ในโครงการต่างๆ โดยเฉพาะรถไฟฟ้า และรถทางคู่ เป็นต้น ในขณะที่กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมเราชอบ WHA เนื่องจากบริษัทมีที่ดินเพื่อขายในพื้นที่ EEC ที่สูง, มีธุรกิจเพื่อรองรับการขนส่งในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ (พื้นที่ EEC ใหม่) ที่สูง, มีธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง เช่น โรงไฟฟ้า และมีแนวโน้มที่จะขายทรัพย์สินเข้า REIT อย่างต่อเนื่อง เรายังคงแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 5.00 บาท นอกจากนี้เราคาดว่าผลการดำเนินงานใน 1Q18 จะขยายตัวเพิ่มขึ้น YoY จากยอดขายทรัพย์สินเข้ากอง HREIT ที่ถูกโอนเมื่อวันที่ 4 ม.ค. ที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่าขายที่ 1.7 พันล้านบาท
(+) Media นายกฯเผยอยู่ระหว่างหามาตรการที่เป็นธรรมเยียวยาทีวีดิจทัล ทั้งนี้ยังยึดถือคำตัดสินศาลปกครองชั้นต้นมาเป็นบรรทัดฐาน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุที่ยังไม่ตัดสินใจออกคำสั่งตามมาตรา 44 เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล ว่า ต้องหามาตรการที่เหมาะสมว่าจะดูแลอย่างไรในเรื่องเศรษฐกิจทางด้านนี้ และจะดูแลอย่างไรให้เกิดความเป็นธรรม แต่ทั้งนี้จะยึดถือคำตัดสินของศาลปกครองชั้นต้นมาเป็นบรรทัดฐานว่าจะมีมาตรการอย่างไรต่อไป
ความเห็น เรามีมุมมองเป็นบวกกับข่าวข้างต้น เรามองว่ารัฐบาลจะต้องมีมาตรการออกมาช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้แม้ว่าอาจจะล่าช้า โดยนายกฯได้ให้เวลา 1 สัปดาห์ให้ กสทช.ทำเอกสารมาชี้แจงใหม่เรื่องไม่ได้เอื้อเอกชน เรามองว่าการที่นายกบอกว่าจะยึดถือคำตัดสินของศาลปกครองชั้นต้นมาเป็นบรรทัดฐานว่าจะมีมาตรการอย่างไรต่อไป อาจส่งสัญญาณเป็นบวกว่าสามารถคืน License ทีวีดิจิทัลได้ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลที่มี License หลายใบ และผู้ประกอบการช่องทีวีดิจิทัลรายเล็กที่มีเรตติ้งไม่สูงมาก อาจมีความต้องการในการคืน License ไปบางส่วน หุ้นที่ได้ประโยชน์ คือ BEC (ซึ่งมี License 3 ใบ) และ Grammy (มี 2ใบ) นอกเหนือจากนี้ เรามองว่าหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการแข่งขันที่ลดลงจากการคืนช่องทีวีดิจิทัล ผู้ประกอบการที่มี Rating ใน Top 5 คือ BEC,RS (ซื้อ/35 บาท), WORK และ MONO เรามองว่าราคาหุ้นกลุ่มผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลที่ปรับตัวลงมา เป็นจังหวะให้ "เข้าซื้อสะสม" เรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" RS ที่ราคาเหมาะสม 35บาท เราเชื่อมั่นว่า ในปี 2018 กำไรสุทธิจะเติบโตโดดเด่นที่ +148% YoY อยู่ที่ 827 ลบ.จากรายได้จากธุรกิจหลักที่เติบโตโดดเด่น คือ สื่อ กับ Multiple Platform Commerce ปัจจุบันแม้ RS เทรดอยู่ที่ PER 35x2018 แต่มี PEG อยู่ที่ 0.24x (Inexpensive valuation) ซึ่งต่ำกว่า peer ทั้งกลุ่มธุรกิจ Media (PEG 1.02 x2018) และ Commerce (PEG 1.4x 2018)
ความเห็น เรามีมุมมองเป็นบวกกับข่าวข้างต้น เรามองว่ารัฐบาลจะต้องมีมาตรการออกมาช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้แม้ว่าอาจจะล่าช้า โดยนายกฯได้ให้เวลา 1 สัปดาห์ให้ กสทช.ทำเอกสารมาชี้แจงใหม่เรื่องไม่ได้เอื้อเอกชน เรามองว่าการที่นายกบอกว่าจะยึดถือคำตัดสินของศาลปกครองชั้นต้นมาเป็นบรรทัดฐานว่าจะมีมาตรการอย่างไรต่อไป อาจส่งสัญญาณเป็นบวกว่าสามารถคืน License ทีวีดิจิทัลได้ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลที่มี License หลายใบ และผู้ประกอบการช่องทีวีดิจิทัลรายเล็กที่มีเรตติ้งไม่สูงมาก อาจมีความต้องการในการคืน License ไปบางส่วน หุ้นที่ได้ประโยชน์ คือ BEC (ซึ่งมี License 3 ใบ) และ Grammy (มี 2ใบ) นอกเหนือจากนี้ เรามองว่าหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการแข่งขันที่ลดลงจากการคืนช่องทีวีดิจิทัล ผู้ประกอบการที่มี Rating ใน Top 5 คือ BEC,RS (ซื้อ/35 บาท), WORK และ MONO เรามองว่าราคาหุ้นกลุ่มผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลที่ปรับตัวลงมา เป็นจังหวะให้ "เข้าซื้อสะสม" เรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" RS ที่ราคาเหมาะสม 35บาท เราเชื่อมั่นว่า ในปี 2018 กำไรสุทธิจะเติบโตโดดเด่นที่ +148% YoY อยู่ที่ 827 ลบ.จากรายได้จากธุรกิจหลักที่เติบโตโดดเด่น คือ สื่อ กับ Multiple Platform Commerce ปัจจุบันแม้ RS เทรดอยู่ที่ PER 35x2018 แต่มี PEG อยู่ที่ 0.24x (Inexpensive valuation) ซึ่งต่ำกว่า peer ทั้งกลุ่มธุรกิจ Media (PEG 1.02 x2018) และ Commerce (PEG 1.4x 2018)
(+) BCH: บางกอกเชนทุ่ม 3.6 พันล้านบาท สร้างรพ.ใหม่-ซื้อกิจการ
นายเฉลิม หาญพาณิชย์ CEO ของ BCH เปิดเผยว่า บริษัทตั้งงบลงทุน 3 ปี (2561-2563) มูลค่า 3,676 ล้านบาท สำหรับสร้างโรงพยาบาลใหม่ 5 แห่ง ซึ่งปีนี้จะใช้งบลงทุน 1,191 ล้านบาท ในการเริ่มทยอยก่อสร้าง โดยคาดว่า จะเปิดโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ แห่งใหม่ที่ 1) รามคำแหง ช่วง 4Q18 2) เชียงของ ช่วง 2Q19 และ 3) ปราจีนบุรี, สระแก้ว และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ที่สปป.ลาว ในปี 2020 นอกจากนี้ ยังมีการเจรจาเข้าซื้อกิจการโรงพยาบาลในประเทศ 1 แห่ง และต่างประเทศที่เวียดนาม 1 ราย ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจายังไม่ได้ข้อสรุป (ที่มา: นสพ.กรุงเทพธุรกิจ)
ความเห็น: เรามีความเห็นแป็นบวกเล็กน้อยกับประเด็นดังกล่าวข้างต้น โดยแผนการเปิดโรงพยาบาลใหม่ยังคงเป็นไปตามแผน ซึ่งการเปิด ร.พ.เกษมราษฎร์รามคำแหงใน 4Q18 เป็นการย้ายที่ทำการจาก ร.พ.การุญเวชสุขาภิบาล 3 มาแห่งใหม่ ซึ่งมีคนไข้รองรับอยู่แล้ว คาดสามารถทำกำไรได้เลย ส่วนประเด็นใหม่เรื่องการเจรจาเข้าซื้อกิจการ ร.พ. แห่งใหม่ ในประเทศ 1 แห่ง และต่างประเทศที่เวียดนาม 1 แห่ง เรามองว่าจะเป็นบวกกับ BCH เนื่องจากจะช่วยขยายเครือข่ายของ ร.พ. ในเครือของ BCH ทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยที่ไม่ต้องขึ้น ร.พ. Green field ซึ่งเรามองว่า BCH จะสามารถซื้อกิจการได้ที่ราคาสมเหตุสมผล ปัจจุบันเราแนะนำ ซื้อ BCH ที่ราคาเหมาะสม 19.50 บาท
นายเฉลิม หาญพาณิชย์ CEO ของ BCH เปิดเผยว่า บริษัทตั้งงบลงทุน 3 ปี (2561-2563) มูลค่า 3,676 ล้านบาท สำหรับสร้างโรงพยาบาลใหม่ 5 แห่ง ซึ่งปีนี้จะใช้งบลงทุน 1,191 ล้านบาท ในการเริ่มทยอยก่อสร้าง โดยคาดว่า จะเปิดโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ แห่งใหม่ที่ 1) รามคำแหง ช่วง 4Q18 2) เชียงของ ช่วง 2Q19 และ 3) ปราจีนบุรี, สระแก้ว และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ที่สปป.ลาว ในปี 2020 นอกจากนี้ ยังมีการเจรจาเข้าซื้อกิจการโรงพยาบาลในประเทศ 1 แห่ง และต่างประเทศที่เวียดนาม 1 ราย ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจายังไม่ได้ข้อสรุป (ที่มา: นสพ.กรุงเทพธุรกิจ)
ความเห็น: เรามีความเห็นแป็นบวกเล็กน้อยกับประเด็นดังกล่าวข้างต้น โดยแผนการเปิดโรงพยาบาลใหม่ยังคงเป็นไปตามแผน ซึ่งการเปิด ร.พ.เกษมราษฎร์รามคำแหงใน 4Q18 เป็นการย้ายที่ทำการจาก ร.พ.การุญเวชสุขาภิบาล 3 มาแห่งใหม่ ซึ่งมีคนไข้รองรับอยู่แล้ว คาดสามารถทำกำไรได้เลย ส่วนประเด็นใหม่เรื่องการเจรจาเข้าซื้อกิจการ ร.พ. แห่งใหม่ ในประเทศ 1 แห่ง และต่างประเทศที่เวียดนาม 1 แห่ง เรามองว่าจะเป็นบวกกับ BCH เนื่องจากจะช่วยขยายเครือข่ายของ ร.พ. ในเครือของ BCH ทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยที่ไม่ต้องขึ้น ร.พ. Green field ซึ่งเรามองว่า BCH จะสามารถซื้อกิจการได้ที่ราคาสมเหตุสมผล ปัจจุบันเราแนะนำ ซื้อ BCH ที่ราคาเหมาะสม 19.50 บาท
(+) CPALL เสนอขายหุ้น MAKRO จะเพิ่มสภาพคล่อง
CPALL ถือหุ้น MARKO 4698 ล้านหุ้น หรือ 98% จำนวนที่เสนอขาย 161 ล้านหุ้น คือ 3.4% ของทุนฯ ของ MAKRO * Credit Suisse, Siam Commercial Bank เป็น joint bookrunners ของการเสนอขายนี้ (Bloomberg)
ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นบวกต่อข่าวดังกล่าว เนื่องจาก จะทำให้ CPALL มีสภาพคล่องสูงขึ้น คาดจะได้เงินประมาณ 7-7.5 พันล้านบาท (ต้นทุนประมาณ 42 บาท) หากเอาไปชำระดอกเบี้ยจะลดดอกเบี้ยจ่ายได้ประมาณ 250-300 ล้านบาท เป็นบวกต่อกำไรประมาณ 1.2% เรายังติดตามว่าคู่ซื้อเป็นใครและ CPALL จะมีการขายหุ้น MAKRO ออกมาเพิ่มหรือไม่ เบื้องต้น เรายังคงแนะนำ ซื้อ CPALL ราคาเป้าหมาย 93 บาท
(-) KBANK, SCB ประกาศ ฟรีค่าธรรมเนียมธุรกรรม "โอน จ่าย เติม" เงิน ออนไลน์
SCB มีการปรับลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมออนไลน์ ฟรีทุกอย่าง รวมถึงกดเงินสดโดยไม่ใช้บัตร เริ่มตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. เป็นต้นไป โดย SCB ก็มีแผนจัดแถลงข่าวใหญ่ในวันนี้ (28 มี.ค.) พร้อมเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ ขณะที่ KBANK ชิงประกาศ "ฟรีค่าธรรมเนียม" ก่อน โดยนายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส กสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารฟรีค่าธรรมเนียม "โอน เติม จ่าย" บนช่องทางดิจิทัล 4 ช่องทาง ได้แก่ K PLUS, K PLUS SME, K-Cyber, K-Cyber SME โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง ตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. ถึงสิ้นปีนี้ (ที่มา: นสพ.กรุงเทพธุรกิจ)
ความเห็น: เรามีมุมมองเชิงลบต่อ SCB และ KBANK ในระยะสั้น จากการให้ฟรีในการโอน จ่าย และเติมเงิน ผ่านออนไลน์ เนื่องจากจะกระทบต่อรายได้ค่าธรรมเนียมของแบงก์โดยตรง ซึ่งเรามองว่า การให้ฟรีค่าธรรมเนียมดังกล่าวคล้ายรูปแบบของ promtpay ที่ภาครัฐต้องการให้ทำ เพื่อลดค่าธรรมเนียมของกลุ่มแบงก์อยู่แล้ว โดยเราคาดว่า หากมีการใช้ promtpay เต็มรูปแบบจะกระทบรายได้ราว 4-5% แต่อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่า จะช่วยลดต้นทุนลง โดยฉพาะอย่างยิ่ง การลดจำนวนสาขาลง ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของแบงก์อยู่แล้ว ขณะที่เราคาดว่า การที่ SCB และ KBANK เร่งให้คนใช้ฟรีก่อน จะเป็นการช่วยดึงลูกค้าให้มีการเข้ามาใช้บริการผ่านระบบออนไลน์ก่อน ซึ่งฐานลูกค้าดังกล่าวจะต่อยอดไปสู่การทำธุรกรรมอื่นๆเช่น ปล่อยกู้ เพิ่มเติมได้ โดยเรายังคงน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มแบงก์เป็นเท่ากับตลาด เพราะแนวทางในการหารายได้ค่าธรรมเนียมมีข้อจำกัดมากขึ้น แนะนำ หลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่มแบงก์ออกไปก่อน
CPALL ถือหุ้น MARKO 4698 ล้านหุ้น หรือ 98% จำนวนที่เสนอขาย 161 ล้านหุ้น คือ 3.4% ของทุนฯ ของ MAKRO * Credit Suisse, Siam Commercial Bank เป็น joint bookrunners ของการเสนอขายนี้ (Bloomberg)
ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นบวกต่อข่าวดังกล่าว เนื่องจาก จะทำให้ CPALL มีสภาพคล่องสูงขึ้น คาดจะได้เงินประมาณ 7-7.5 พันล้านบาท (ต้นทุนประมาณ 42 บาท) หากเอาไปชำระดอกเบี้ยจะลดดอกเบี้ยจ่ายได้ประมาณ 250-300 ล้านบาท เป็นบวกต่อกำไรประมาณ 1.2% เรายังติดตามว่าคู่ซื้อเป็นใครและ CPALL จะมีการขายหุ้น MAKRO ออกมาเพิ่มหรือไม่ เบื้องต้น เรายังคงแนะนำ ซื้อ CPALL ราคาเป้าหมาย 93 บาท
(-) KBANK, SCB ประกาศ ฟรีค่าธรรมเนียมธุรกรรม "โอน จ่าย เติม" เงิน ออนไลน์
SCB มีการปรับลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมออนไลน์ ฟรีทุกอย่าง รวมถึงกดเงินสดโดยไม่ใช้บัตร เริ่มตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. เป็นต้นไป โดย SCB ก็มีแผนจัดแถลงข่าวใหญ่ในวันนี้ (28 มี.ค.) พร้อมเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ ขณะที่ KBANK ชิงประกาศ "ฟรีค่าธรรมเนียม" ก่อน โดยนายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส กสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารฟรีค่าธรรมเนียม "โอน เติม จ่าย" บนช่องทางดิจิทัล 4 ช่องทาง ได้แก่ K PLUS, K PLUS SME, K-Cyber, K-Cyber SME โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง ตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. ถึงสิ้นปีนี้ (ที่มา: นสพ.กรุงเทพธุรกิจ)
ความเห็น: เรามีมุมมองเชิงลบต่อ SCB และ KBANK ในระยะสั้น จากการให้ฟรีในการโอน จ่าย และเติมเงิน ผ่านออนไลน์ เนื่องจากจะกระทบต่อรายได้ค่าธรรมเนียมของแบงก์โดยตรง ซึ่งเรามองว่า การให้ฟรีค่าธรรมเนียมดังกล่าวคล้ายรูปแบบของ promtpay ที่ภาครัฐต้องการให้ทำ เพื่อลดค่าธรรมเนียมของกลุ่มแบงก์อยู่แล้ว โดยเราคาดว่า หากมีการใช้ promtpay เต็มรูปแบบจะกระทบรายได้ราว 4-5% แต่อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่า จะช่วยลดต้นทุนลง โดยฉพาะอย่างยิ่ง การลดจำนวนสาขาลง ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของแบงก์อยู่แล้ว ขณะที่เราคาดว่า การที่ SCB และ KBANK เร่งให้คนใช้ฟรีก่อน จะเป็นการช่วยดึงลูกค้าให้มีการเข้ามาใช้บริการผ่านระบบออนไลน์ก่อน ซึ่งฐานลูกค้าดังกล่าวจะต่อยอดไปสู่การทำธุรกรรมอื่นๆเช่น ปล่อยกู้ เพิ่มเติมได้ โดยเรายังคงน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มแบงก์เป็นเท่ากับตลาด เพราะแนวทางในการหารายได้ค่าธรรมเนียมมีข้อจำกัดมากขึ้น แนะนำ หลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่มแบงก์ออกไปก่อน
บทวิเคราะห์วันนี้
(+) IRPC (ซื้อ/8.5 บาท) ค่าการกลั่นสูงและขยายกำลังการผลิต
กลุ่มประเทศ OPEC รวมถึงประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เช่น รัสเซีย ยังคงความร่วมมือกันในการควบคุมปริมาณการผลิต ทำให้ราคาน้ำมันดิบยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในระดับสูงได้ ราคาน้ำมันที่เคลื่อนไหวในระดับที่เหมาะสม ทำให้ค่าการกลั่นเคลื่อนไหวอยู่ในระดับที่สูง 6-7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลดีต่อธุรกิจโรงกลั่น IRPC สามารถเดินหน้าโครงการ UHV และโครงการ Polypropylene Expansion (PPE) และ Polypropylene Compound (PPC) ซึ่งเป็นโครงการเพิ่มประสิทธิภาพและมูลค่าผลิตภัณฑ์ คาดว่าIRPC จะมีกำไรเติบโต 17% จากการขึ้นกำลังการผลิตในต้นปี 2018 ในระยะยาว IRPC ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกจาก โครงการ Beyond Everest เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสายการผลิต Aromatic เราประเมินมูลค่าด้วย EV/EBITDA ปี 2018 ที่ 9.0 เท่า ได้ราคาเหมาะสมที่ 8.50 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”
(+) IRPC (ซื้อ/8.5 บาท) ค่าการกลั่นสูงและขยายกำลังการผลิต
กลุ่มประเทศ OPEC รวมถึงประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เช่น รัสเซีย ยังคงความร่วมมือกันในการควบคุมปริมาณการผลิต ทำให้ราคาน้ำมันดิบยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในระดับสูงได้ ราคาน้ำมันที่เคลื่อนไหวในระดับที่เหมาะสม ทำให้ค่าการกลั่นเคลื่อนไหวอยู่ในระดับที่สูง 6-7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลดีต่อธุรกิจโรงกลั่น IRPC สามารถเดินหน้าโครงการ UHV และโครงการ Polypropylene Expansion (PPE) และ Polypropylene Compound (PPC) ซึ่งเป็นโครงการเพิ่มประสิทธิภาพและมูลค่าผลิตภัณฑ์ คาดว่าIRPC จะมีกำไรเติบโต 17% จากการขึ้นกำลังการผลิตในต้นปี 2018 ในระยะยาว IRPC ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกจาก โครงการ Beyond Everest เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสายการผลิต Aromatic เราประเมินมูลค่าด้วย EV/EBITDA ปี 2018 ที่ 9.0 เท่า ได้ราคาเหมาะสมที่ 8.50 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”