- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 28 March 2018 16:56
- Hits: 2929
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
คาด SET Index วันนี้จะลงมาเคลื่อนไหวต่ำกว่า 1800 จุดอีกครั้ง แรงกดดันยังมาจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีนที่ยังยืดเยื้อ แต่ตลาดฯ จะลงไม่แรง เพราะได้รับปัจจัยหนุนจากการที่ครม.อนุมัติก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 2.15 แสนล้านบาท ใช้การประมูลแบบ PPP จึงเชื่อว่า CK, STEC เป็นผู้มีความพร้อมร่วมลงทุน รวมทั้งปัจจัยบวกจากราคาหมูฟื้นตัวต่อเนื่อง หนุนหุ้น TFG, CPF…Top picks เลือก CK (FV@B34) และ CPF (FV@B30)
ย้อนรอยหุ้นไทยวานนี้ ….. SET Index แผ่วปลาย ขยับได้ไม่ไกลจาก 1800 จุด
วานนี้ SET Index ปิดที่ 1802.58 จุด เพิ่ม 1.48 จุด หรือ 0.08% แม้ระหว่างวันขึ้นสูงสุดกว่า 9 จุด โดยมีแรงขายกลุ่ม ICT และกลุ่มบันเทิง หลัง คสช. ชะลอการใช้มาตรา 44 ช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล และคลื่น 900 MHz สวนทางกับกลุ่มอาหารฟื้นตัวขึ้น นำโดย CPF และ MINT ส่วนกลุ่มรับเหมาฯ ที่เผชิญแรงขายเล็กน้อยหลัง แม้ ครม. อนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน คาดวันนี้ดัชนียังผันผวนและมีโอกาสต่ำกว่า 1800 จุด กรอบการเคลื่อนไหว 1795-1810 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
คาด SET Index วันนี้จะลงมาเคลื่อนไหวต่ำกว่า 1800 จุดอีกครั้ง แรงกดดันยังมาจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีนที่ยังยืดเยื้อ แต่ตลาดฯ จะลงไม่แรง เพราะได้รับปัจจัยหนุนจากการที่ครม.อนุมัติก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 2.15 แสนล้านบาท ใช้การประมูลแบบ PPP จึงเชื่อว่า CK, STEC เป็นผู้มีความพร้อมร่วมลงทุน รวมทั้งปัจจัยบวกจากราคาหมูฟื้นตัวต่อเนื่อง หนุนหุ้น TFG, CPF…Top picks เลือก CK (FV@B34) และ CPF (FV@B30)
ย้อนรอยหุ้นไทยวานนี้ ….. SET Index แผ่วปลาย ขยับได้ไม่ไกลจาก 1800 จุด
วานนี้ SET Index ปิดที่ 1802.58 จุด เพิ่ม 1.48 จุด หรือ 0.08% แม้ระหว่างวันขึ้นสูงสุดกว่า 9 จุด โดยมีแรงขายกลุ่ม ICT และกลุ่มบันเทิง หลัง คสช. ชะลอการใช้มาตรา 44 ช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล และคลื่น 900 MHz สวนทางกับกลุ่มอาหารฟื้นตัวขึ้น นำโดย CPF และ MINT ส่วนกลุ่มรับเหมาฯ ที่เผชิญแรงขายเล็กน้อยหลัง แม้ ครม. อนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน คาดวันนี้ดัชนียังผันผวนและมีโอกาสต่ำกว่า 1800 จุด กรอบการเคลื่อนไหว 1795-1810 จุด
สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนยืดเยื้อ น่าจะกระทบวงกว้าง
ปัจจัยกดดันต่างประเทศยังให้น้ำหนักกับผลกระทบเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน โดยสหรัฐต้องการลดขาดดุลการค้ากับจีน ราว 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากยอดขาดดุลกับจีนปี 2560 ราว 3.75 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยต้องการให้จีนเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ เช่น รถยนต์ และให้จีนลดภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหรัฐ (ยังไม่ได้กำหนดรายละเอียด) จากเดิมเก็บใน อัตรา 0-25% (จีนมีการนำเข้ารถยนต์ราว 8.8% ของยอดนำเข้าจากสหรัฐ) และให้จีนเปิดเสรีทางการเงินให้สหรัฐเข้าไปลงทุน
เชื่อว่าการเจรจาจะยืดเยื้อ และผลกระทบน่าจะเกิดในวงกว้าง โดยมิได้เกิดกับจีน แต่น่าจะเกิดกับคู่ค้าในเอเชีย ซึ่งถือเป็นคู้ค้าหลัก คิดเป็น 49% ของการค้าขายทั้งหมด (ฮ่องกง มีสัดส่วนการค้ากับจีนราว 9.0%, ญี่ปุ่น 8.14%,เกาหลีใต้ 7.48%, ออสเตรเลีย 3.2%, เวียดนาม 2.91%, มาเลเซีย 2.57%, ไทย 2.24% เป็นต้น) ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตส่งออกสินค้าวัตถุดิบ กึ่งวัตถุดิบ (แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ คิดเป็น 40.7% ของการนำเข้าของจีนจากเอเซียทั้งหมด)
แม้ทางฝั่งแม้สหรัฐ หากสามารถบรรลุเป้าหมายจากกีดกัน แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบคือ ผู้บริโภคสหรัฐจะซื้อสินค้าในราคาที่สูงขึ้น สงครามการค้าน่าจะกดดันเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในที่สุด
ปัจจัยกดดันต่างประเทศยังให้น้ำหนักกับผลกระทบเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน โดยสหรัฐต้องการลดขาดดุลการค้ากับจีน ราว 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากยอดขาดดุลกับจีนปี 2560 ราว 3.75 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยต้องการให้จีนเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ เช่น รถยนต์ และให้จีนลดภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหรัฐ (ยังไม่ได้กำหนดรายละเอียด) จากเดิมเก็บใน อัตรา 0-25% (จีนมีการนำเข้ารถยนต์ราว 8.8% ของยอดนำเข้าจากสหรัฐ) และให้จีนเปิดเสรีทางการเงินให้สหรัฐเข้าไปลงทุน
เชื่อว่าการเจรจาจะยืดเยื้อ และผลกระทบน่าจะเกิดในวงกว้าง โดยมิได้เกิดกับจีน แต่น่าจะเกิดกับคู่ค้าในเอเชีย ซึ่งถือเป็นคู้ค้าหลัก คิดเป็น 49% ของการค้าขายทั้งหมด (ฮ่องกง มีสัดส่วนการค้ากับจีนราว 9.0%, ญี่ปุ่น 8.14%,เกาหลีใต้ 7.48%, ออสเตรเลีย 3.2%, เวียดนาม 2.91%, มาเลเซีย 2.57%, ไทย 2.24% เป็นต้น) ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตส่งออกสินค้าวัตถุดิบ กึ่งวัตถุดิบ (แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ คิดเป็น 40.7% ของการนำเข้าของจีนจากเอเซียทั้งหมด)
แม้ทางฝั่งแม้สหรัฐ หากสามารถบรรลุเป้าหมายจากกีดกัน แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบคือ ผู้บริโภคสหรัฐจะซื้อสินค้าในราคาที่สูงขึ้น สงครามการค้าน่าจะกดดันเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในที่สุด
CK-STEC พร้อมสุด ชิงเค้กรถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบิน
ที่ประชุม ครม. วานนี้ อนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ระยะทาง 220 กม. ในรูปแบบ PPP Net Cost (ภาครัฐจะเป็นผู้ลงทุนค่ากรรมสิทธิที่ดิน ส่วนเอกชนลงทุนด้านงานโยธา) ระยะเวลา 50 ปี ขั้นตอนหลังจากนี้ จะจัดทำร่างเอกสารเงื่อนไขการประกวดราคา (TOR) และจะเสนอเข้าครม.อีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา 1-2 เดือนจากนี้ ก่อนที่จะเปิดให้เอกชนที่สนใจเข้าร่วมประมูล
ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า ด้วยมูลค่าโครงการทั้งหมดที่สูงเกือบ 3 แสนล้านบาท ไม่รวมวงเงินที่เอกชนต้องเสนอเพื่อซื้อกิจการของแอร์พอร์ตลิงก์เข้ามารวมไว้ในโครงการด้วย ประกอบกับผลตอบแทนการลงทุนที่มี Project IRR ระยะเวลา 50 ปี ต่ำเพียง 5.17% โดยที่ผลตอบแทนส่วนใหญ่จะอยู่ในส่วนของการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์ย่านมักกะสัน 140 ไร่ ทำให้เอกชนที่มีศักยภาพในการเข้าร่วมประมูลมีความรพ้อมด้านเงินทุนไม่กี่ราย คือ CK, STEC เท่านั้น
CK มีบริษัทย่อย BEM ที่บริหารการเดินรถ และอาจหาพันธมิตพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ส่วน STEC ที่ปัจจุบันจับมือกับ RATCH และ BTS ในนามกิจการร่วมค้า BSR ดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ส่วน ITD และ UNIQ แม้จะมีศักยภาพในการเข้าไปรับงานก่อสร้าง แต่ด้วยฐานทุนที่ไม่แข็งแรงเหมือน CK และ STEC จึงเชื่อว่า ITD และ UNIQ มีโอกาสน้อยที่จะเข้าร่วมประมูลงานโครงการนี้
ที่ประชุม ครม. วานนี้ อนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ระยะทาง 220 กม. ในรูปแบบ PPP Net Cost (ภาครัฐจะเป็นผู้ลงทุนค่ากรรมสิทธิที่ดิน ส่วนเอกชนลงทุนด้านงานโยธา) ระยะเวลา 50 ปี ขั้นตอนหลังจากนี้ จะจัดทำร่างเอกสารเงื่อนไขการประกวดราคา (TOR) และจะเสนอเข้าครม.อีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา 1-2 เดือนจากนี้ ก่อนที่จะเปิดให้เอกชนที่สนใจเข้าร่วมประมูล
ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า ด้วยมูลค่าโครงการทั้งหมดที่สูงเกือบ 3 แสนล้านบาท ไม่รวมวงเงินที่เอกชนต้องเสนอเพื่อซื้อกิจการของแอร์พอร์ตลิงก์เข้ามารวมไว้ในโครงการด้วย ประกอบกับผลตอบแทนการลงทุนที่มี Project IRR ระยะเวลา 50 ปี ต่ำเพียง 5.17% โดยที่ผลตอบแทนส่วนใหญ่จะอยู่ในส่วนของการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์ย่านมักกะสัน 140 ไร่ ทำให้เอกชนที่มีศักยภาพในการเข้าร่วมประมูลมีความรพ้อมด้านเงินทุนไม่กี่ราย คือ CK, STEC เท่านั้น
CK มีบริษัทย่อย BEM ที่บริหารการเดินรถ และอาจหาพันธมิตพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ส่วน STEC ที่ปัจจุบันจับมือกับ RATCH และ BTS ในนามกิจการร่วมค้า BSR ดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ส่วน ITD และ UNIQ แม้จะมีศักยภาพในการเข้าไปรับงานก่อสร้าง แต่ด้วยฐานทุนที่ไม่แข็งแรงเหมือน CK และ STEC จึงเชื่อว่า ITD และ UNIQ มีโอกาสน้อยที่จะเข้าร่วมประมูลงานโครงการนี้
ไทยยังใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำ-รัฐกระตุ้นใช้จ่ายครัวเรือน หนุนเศรษฐกิจ
ขณะที่ไทยด้วยอุปสรรคจากภายนอกทำให้เชื่อว่าเศรษฐกิจปี 2561 น่าจะได้รับแรงหนุนจะมาจากการลงทุนและการบริโภคในประเทศเป็นหลัก โดยเมื่อวานนี้ หลังรัฐบาลได้อนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ดังกล่าวข้างต้น ยังมีมาตรการกระตุ้นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย “ไทยนิยม” อัดฉีดผ่านหมู่บ้านๆละ 2 แสนบาท วงเงิน 1.66 หมื่นล้านบาท ระยะเวลา 1เม.ย.- 31ก.ค.2561 เชื่อว่าจะชดเชยราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ
และการประชุม กนง. ในวันนี้ คาดจะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ (เดือน ก.พ. อยู่ที่ 0.42%) แต่มีโอกาสจะเริ่มเห็นการปรับขึ้นราว 0.25% ในช่วงปลายปี หรือ ต้นปี 2562 สอดคล้องกับประเทศในภูมิภาคที่ยังคงดอกเบี้ยๆ อาทิ ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย ยกเว้นบางประเทศขึ้นดอกเบี้ยไปก่อน คือ มาเลเซีย และ จีน แต่เชื่อว่าประเด็นนี้ตลาดน่าจะซึมซับไปแล้ว
ขณะที่ไทยด้วยอุปสรรคจากภายนอกทำให้เชื่อว่าเศรษฐกิจปี 2561 น่าจะได้รับแรงหนุนจะมาจากการลงทุนและการบริโภคในประเทศเป็นหลัก โดยเมื่อวานนี้ หลังรัฐบาลได้อนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ดังกล่าวข้างต้น ยังมีมาตรการกระตุ้นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย “ไทยนิยม” อัดฉีดผ่านหมู่บ้านๆละ 2 แสนบาท วงเงิน 1.66 หมื่นล้านบาท ระยะเวลา 1เม.ย.- 31ก.ค.2561 เชื่อว่าจะชดเชยราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ
และการประชุม กนง. ในวันนี้ คาดจะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ (เดือน ก.พ. อยู่ที่ 0.42%) แต่มีโอกาสจะเริ่มเห็นการปรับขึ้นราว 0.25% ในช่วงปลายปี หรือ ต้นปี 2562 สอดคล้องกับประเทศในภูมิภาคที่ยังคงดอกเบี้ยๆ อาทิ ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย ยกเว้นบางประเทศขึ้นดอกเบี้ยไปก่อน คือ มาเลเซีย และ จีน แต่เชื่อว่าประเด็นนี้ตลาดน่าจะซึมซับไปแล้ว
ราคาหมู พุ่งทำสถิติสูงสุดรอบ 4 เดือน บวกต่อ CPF-TFG
ราคาสุกรหน้าฟาร์มล่าสุดขยับขึ้นเป็น 51 จาก 48 บาท/ก.ก. ทำระดับสูงสุดต่อเนื่องในรอบเกือบ 4 เดือน และปรับเพิ่มขึ้นถึง 27.5% นับตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค. 61 ปัจจัยหนุนยังคงมาจากผู้ประกอบการเลี้ยงสุกรรายใหญ่ลดการผลิตลง ซึ่งน่าจะหนุนราคาสุกรในประเทศฟื้นตัวต่อเนื่องนับจาก 2Q61 เป็นต้นไป และน่าจะมีโอกาสสูงเกินกว่าต้นทุนการเลี้ยงสุกรที่ 53 บาท/กก. จึงส่งผลดีต่อผู้ที่มีโครงสร้างรายได้จากธุรกิจสุกรในประเทศ ได้แก่ TFG (21% ของรายได้รวม) และ CPF (14% ของรายได้รวม)
ขณะที่ราคาไก่เป็นยังทรงตัวที่ 34 บาท/กก. ใกล้ระดับต้นทุนการเลี้ยงไก่ที่ราว 33 บาท/ก.ก. แต่มีโอกาสที่ราคาจะขยับขึ้นในช่วง 2Q61 ที่เป็น High Season รวมทั้งแนวโน้มการส่งออกที่ดีขึ้นจากทางการจีนอนุญาตให้นำเข้าไก่จากไทยได้ เป็นบวกต่อ GFPT TFG และ CPF ที่มีโครงสร้างรายได้จากธุรกิจไก่ในไทย 80%, 70% และ 10% ตามลำดับ
ฝ่ายวิจัยยังแนะนำ CPF (FV@B30) และ TFG (FV@B6) ที่ทำธุรกิจครบวงจร ได้ประโยชน์จากราคาสุกรที่ฟื้นตัวและตลาดส่งออกไก่ดีขึ้น และแนะนำซื้อ GFPT (FV@B17) จากธุรกิจไก่จะฟื้นตัวตั้งแต่งวด 2Q61 จากแนวโน้มตลาดส่งออกไก่ที่ดีขึ้น
ราคาสุกรหน้าฟาร์มล่าสุดขยับขึ้นเป็น 51 จาก 48 บาท/ก.ก. ทำระดับสูงสุดต่อเนื่องในรอบเกือบ 4 เดือน และปรับเพิ่มขึ้นถึง 27.5% นับตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค. 61 ปัจจัยหนุนยังคงมาจากผู้ประกอบการเลี้ยงสุกรรายใหญ่ลดการผลิตลง ซึ่งน่าจะหนุนราคาสุกรในประเทศฟื้นตัวต่อเนื่องนับจาก 2Q61 เป็นต้นไป และน่าจะมีโอกาสสูงเกินกว่าต้นทุนการเลี้ยงสุกรที่ 53 บาท/กก. จึงส่งผลดีต่อผู้ที่มีโครงสร้างรายได้จากธุรกิจสุกรในประเทศ ได้แก่ TFG (21% ของรายได้รวม) และ CPF (14% ของรายได้รวม)
ขณะที่ราคาไก่เป็นยังทรงตัวที่ 34 บาท/กก. ใกล้ระดับต้นทุนการเลี้ยงไก่ที่ราว 33 บาท/ก.ก. แต่มีโอกาสที่ราคาจะขยับขึ้นในช่วง 2Q61 ที่เป็น High Season รวมทั้งแนวโน้มการส่งออกที่ดีขึ้นจากทางการจีนอนุญาตให้นำเข้าไก่จากไทยได้ เป็นบวกต่อ GFPT TFG และ CPF ที่มีโครงสร้างรายได้จากธุรกิจไก่ในไทย 80%, 70% และ 10% ตามลำดับ
ฝ่ายวิจัยยังแนะนำ CPF (FV@B30) และ TFG (FV@B6) ที่ทำธุรกิจครบวงจร ได้ประโยชน์จากราคาสุกรที่ฟื้นตัวและตลาดส่งออกไก่ดีขึ้น และแนะนำซื้อ GFPT (FV@B17) จากธุรกิจไก่จะฟื้นตัวตั้งแต่งวด 2Q61 จากแนวโน้มตลาดส่งออกไก่ที่ดีขึ้น
หากไม่รวมแรงซื้อ BBL วานนี้ต่างชาติเทขายหุ้นไทยสูงถึง 3.6 พันล้านบาท
วานนี้ต่างชาติยังขายสุทธิหุ้นภูมิภาคเป็นวันที่ 3 ด้วยมูลค่า 114 ล้านเหรียญ และเป็นการขายสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้นไต้หวันที่สลับมาซื้อสุทธิ 114 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 3 วัน) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 4 ประเทศ ยังขายสุทธิ คือ เกาหลีใต้ขายสุทธิ 151 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว) อินโดนีเซีย 62 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3), ฟิลิปปินส์ 14 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 6) และ ไทยแรงขายสุทธิเล็กน้อย 1.3 ล้านเหรียญ หรือ 41 ล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วัน)
สำหรับตลาดหุ้นไทยแรงขายต่างชาติน้อยนั้น คาดว่าน่าจะถูกหักล้างจากการซื้อหุ้น BBL ผ่านทาง Thai NVDR มูลค่าว่า 3.55 พันล้านบาท (เป็นรายการ Big Lot 2.32 พันล้านบาท ที่ราคาเฉลี่ย 200.39 บาท) เพราะบริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด อนุญาตให้ต่างชาติกลับมาซื้อหุ้น BBL ได้อีกครั้ง หลังงดต่างชาติเช้าลงทุนตั้งแต่วันที่ 18 ต.ค. 60 (เพราะต่างชาติถือครองหุ้น BBL สัดส่วนที่สูง)
เชื่อว่าแรงขายต่างชาติยังมีอยู่ตราบที่ไม่มีประเด็นใหม่หนุน และตรงข้ามกับสถาบันฯที่ซื้อสุทธิ 774 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
วานนี้ต่างชาติยังขายสุทธิหุ้นภูมิภาคเป็นวันที่ 3 ด้วยมูลค่า 114 ล้านเหรียญ และเป็นการขายสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้นไต้หวันที่สลับมาซื้อสุทธิ 114 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 3 วัน) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 4 ประเทศ ยังขายสุทธิ คือ เกาหลีใต้ขายสุทธิ 151 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว) อินโดนีเซีย 62 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3), ฟิลิปปินส์ 14 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 6) และ ไทยแรงขายสุทธิเล็กน้อย 1.3 ล้านเหรียญ หรือ 41 ล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วัน)
สำหรับตลาดหุ้นไทยแรงขายต่างชาติน้อยนั้น คาดว่าน่าจะถูกหักล้างจากการซื้อหุ้น BBL ผ่านทาง Thai NVDR มูลค่าว่า 3.55 พันล้านบาท (เป็นรายการ Big Lot 2.32 พันล้านบาท ที่ราคาเฉลี่ย 200.39 บาท) เพราะบริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด อนุญาตให้ต่างชาติกลับมาซื้อหุ้น BBL ได้อีกครั้ง หลังงดต่างชาติเช้าลงทุนตั้งแต่วันที่ 18 ต.ค. 60 (เพราะต่างชาติถือครองหุ้น BBL สัดส่วนที่สูง)
เชื่อว่าแรงขายต่างชาติยังมีอยู่ตราบที่ไม่มีประเด็นใหม่หนุน และตรงข้ามกับสถาบันฯที่ซื้อสุทธิ 774 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
OO7149