- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 15 March 2018 17:45
- Hits: 1537
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
คาดดัชนียังคงแกว่งตัว และมีโอกาสกลับลงมาต่ำกว่า 1800 จุด เชื่อว่ายังไม่มีประเด็นหนุนใหม่ ๆ และยิ่งใกล้วันจ่ายเงินปันผล (ขึ้น XD) น่าจะกดดันดัชนีเพิ่มมากขึ้น กลยุทธ์เลือกรายหุ้นที่มีลักษณะเด่นเฉพาะตัว เช่นหุ้น Growth (TVO, AH, PTTEP, BPP) Defensive (โรงพยาบาล BCH, RJH) และไก่ส่งออก หลังจีนนำเข้าจากไทยครั้งแรก (GFPT, TFG, CPF) Top picks คือ GFPT(FV@B17) และ BBL(FV@B235)
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย ... หุ้นส่งออกอาหารและสื่อบันเทิงหนุน SET ปิดบวกสวนภูมิภาค
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ เปิดเช้าแกว่งตัวในกรอบแคบ แต่ช่วงบ่ายพุ่งขึ้นแรงราว 8 จุด และปิดสวนทางกับภูมิภาค ที่ 1,813.40 จุด เพิ่มขึ้น 3.50 จุด หรือ 0.19% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.8 หมื่นล้านบาท กลุ่มอาหารหนุนตลาดสูงสุด นำโดย CPF เพิ่มขึ้น 5.37% ขานรับราคาสุกรหน้าฟาร์มปรับเพิ่มสูงขึ้นถึง 10% และ GFPT 7% หลังจากจีนนำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่จากไทยเป็นครั้งแรก ตามด้วยกลุ่มที่อิงเศรษฐกิจในประเทศ MINT เพิ่ม 4.67% ค้าปลีก ที่ดันขึ้นมาในช่วงท้ายตลาด เช่น MAKRO เพิ่มขึ้น 6.77% CPN เพิ่มขึ้น 1.25% และกลุ่มสื่อสิ่งพิมพ์ได้ Sentiment บวกจากข่าวทีวีพูลชนะคดีทีวีดิจิทัล โดย BEC เพิ่ม 4.55% MCOT 6.80% และ MONO 2.38% ส่วนหุ้นรายตัวที่ปรับขึ้น คือ TRUE 5.07% , MTLS และ EA เพิ่มขึ้น 4.55% และ 2.08% ตามลำดับ
ตรงข้ามกับกลุ่มโรงพยาบาลที่ยังคงลดลงต่อเนื่อง นำโดย BDMS ลดลง 2.61% BH ลดลง 2.80% ตามด้วยกลุ่ม ธ.พ. KBANK ปรับตัวลดลง 1.32% SCB ลดลง 0.67% และ หุ้นใหญ่รายตัวที่ยังคงปรับตัวลงคือ PTT, AOT และ CAPLL ลดลง 1.06% 0.73% และ 0.85% ตามลำดับ
สำหรับแนวโน้มวันนี้ คาดตลาดหุ้นไทยน่าจะแกว่งตัว มีแนวรับที่ 1803 จุด แนวต้าน 1824 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
คาดดัชนียังคงแกว่งตัว และมีโอกาสกลับลงมาต่ำกว่า 1800 จุด เชื่อว่ายังไม่มีประเด็นหนุนใหม่ ๆ และยิ่งใกล้วันจ่ายเงินปันผล (ขึ้น XD) น่าจะกดดันดัชนีเพิ่มมากขึ้น กลยุทธ์เลือกรายหุ้นที่มีลักษณะเด่นเฉพาะตัว เช่นหุ้น Growth (TVO, AH, PTTEP, BPP) Defensive (โรงพยาบาล BCH, RJH) และไก่ส่งออก หลังจีนนำเข้าจากไทยครั้งแรก (GFPT, TFG, CPF) Top picks คือ GFPT(FV@B17) และ BBL(FV@B235)
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย ... หุ้นส่งออกอาหารและสื่อบันเทิงหนุน SET ปิดบวกสวนภูมิภาค
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ เปิดเช้าแกว่งตัวในกรอบแคบ แต่ช่วงบ่ายพุ่งขึ้นแรงราว 8 จุด และปิดสวนทางกับภูมิภาค ที่ 1,813.40 จุด เพิ่มขึ้น 3.50 จุด หรือ 0.19% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.8 หมื่นล้านบาท กลุ่มอาหารหนุนตลาดสูงสุด นำโดย CPF เพิ่มขึ้น 5.37% ขานรับราคาสุกรหน้าฟาร์มปรับเพิ่มสูงขึ้นถึง 10% และ GFPT 7% หลังจากจีนนำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่จากไทยเป็นครั้งแรก ตามด้วยกลุ่มที่อิงเศรษฐกิจในประเทศ MINT เพิ่ม 4.67% ค้าปลีก ที่ดันขึ้นมาในช่วงท้ายตลาด เช่น MAKRO เพิ่มขึ้น 6.77% CPN เพิ่มขึ้น 1.25% และกลุ่มสื่อสิ่งพิมพ์ได้ Sentiment บวกจากข่าวทีวีพูลชนะคดีทีวีดิจิทัล โดย BEC เพิ่ม 4.55% MCOT 6.80% และ MONO 2.38% ส่วนหุ้นรายตัวที่ปรับขึ้น คือ TRUE 5.07% , MTLS และ EA เพิ่มขึ้น 4.55% และ 2.08% ตามลำดับ
ตรงข้ามกับกลุ่มโรงพยาบาลที่ยังคงลดลงต่อเนื่อง นำโดย BDMS ลดลง 2.61% BH ลดลง 2.80% ตามด้วยกลุ่ม ธ.พ. KBANK ปรับตัวลดลง 1.32% SCB ลดลง 0.67% และ หุ้นใหญ่รายตัวที่ยังคงปรับตัวลงคือ PTT, AOT และ CAPLL ลดลง 1.06% 0.73% และ 0.85% ตามลำดับ
สำหรับแนวโน้มวันนี้ คาดตลาดหุ้นไทยน่าจะแกว่งตัว มีแนวรับที่ 1803 จุด แนวต้าน 1824 จุด
สหรัฐจะเก็บภาษีนำเข้าจีน..กระทบวงกว้างคู่ค้าในเอเชีย
ประเด็นการกีดกันทางการค้าของสหรัฐยังมีน้ำหนักกดดันตลาดหุ้นโลก หลังจากดำเนินการไม่ต่ออายุ GSP แก่ 112 ประเทศทั่วโลกรวมถึงไทย และการขึ้นภาษีนำเข้า Safe Guard ทั้งหมด 6 สินค้า โดยสหรัฐพุ่งเป้าไป จีน ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของสหรัฐ คือ จีน ซึ่งมีมูลค่าการค้ามากที่สุดราว 16.4% ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของสหรัฐราว รองลงมาคือแคนาดา 15%, เม็กซิโก 14.3%, ญี่ปุ่น 5.3%, เยอรมนี 4.4% เป็นต้น และจีน เป็นประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐมากสุด 47.1% ของยอดขาดดุลทั้งหมดของสหรัฐ (รองลงมาคือ เม็กซิโก 8.93%, ญี่ปุ่น 8.65%, เยอรมนี 8.07%, ไอร์แลนด์ 4.79% เป็นต้น)
โดยสหรัฐเตรียมขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน โดยมุ่งไปที่สินค้ากลุ่มเทคโนโลยีและโทรคมนาคม ซึ่งสหรัฐระบุว่าเข้าข่ายการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ขณะที่สินค้านำเข้าจากจีน 5 ลำดับแรก คือ คอมพิวเตอร์ 11% อุปกรณ์โทรคมนาคม 8.2%, โทรศัพท์ 4.9%, ตุ๊กตา 2.6% และ เฟอร์นิเจอร์ 2.3% เป็นต้น
หากมีการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน ย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าจีน โดยเฉพาะในแถบเอเชีย ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตส่งออกสินค้าวัตถุดิบ กึ่งวัตถุดิบ (Supply Chain) ให้กับจีน ได้แก่ ฮ่องกง ที่มีสัดส่วนการค้ากับจีนราว 9.0%, ญี่ปุ่น 8.14%,เกาหลีใต้ 7.48%, ออสเตรเลีย 3.2%, เวียดนาม 2.91%, มาเลเซีย 2.57%, ไทย 2.24% เป็นต้น ซึ่งถือว่ากดดันการค้าโลก และกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมในระยะถัดไป
สต็อกน้ำมันเพิ่ม แต่ถูกหักล้างจาก Demand ที่แข็งแกร่ง
แม้ล่าสุด สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ(EIA) รายงานตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบ เพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 3 ราว 5.02 ล้านบาร์เรล (ตลาดคาด 2.02 ล้านบาร์เรล) แต่เป็นผลจากการที่อยู่ในช่วงฤดูกาลการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในช่วงระหว่างเดือน ก.พ.- เม.ย. และความกังวลต่อ Oversupply ยังมีอยู่ ล่าสุด EIA ปรับเพิ่มคาดการปริมาณน้ำมันดิบสหรัฐเฉลี่ยปี 2561 เป็น 10.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิม 10.59 ล้านบาร์เรล แต่อย่างไรก็ตามถูกหักล้างจากความต้องการใช้น้ำมันที่แข็งแกร่ง ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และความพยายามควบคุมปริมาณผลิตน้ำมันทางฝั่ง OPEC และ Non OPEC ต่อเนื่องจนถึง ธ.ค. ปีนี้ น่าจะลดปัญหา Oversupply ลงได้
นอกจากนี้ค่าเงิน Dollar Index ที่แกว่งตัวในทิศทางอ่อนค่า ยังเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันดิบ สะท้อนจากราคาน้ำมันดูไบ ล่าสุด อยู่ที่ 62.14 เหรียญฯต่อบาร์เรล และคาดเคลื่อนไหวในกรอบ 60-65 เหรียญฯ ได้ จึงยังชอบ PTTEP(FV@B137) มากสุด นอกจากราคาหุ้นยังมี Upside 18.6% แล้วโอกาสที่จะปรับเพิ่มมูลค่าหุ้นอีก 25 บาทต่อหุ้นในระยะอันใกล้ หากสามารถประมูลแหล่งผลิตและสำรวจก๊าซในแหล่งบงกช กลับมาได้ และสามารถขยายเวลาผลิตออกไปอีก 10 ปี แต่ต้องรอให้ขบวนการประมูลเสร็จสิ้นราวปลายปีนี้ ส่วน PTT(FV@B540) ยังแนะนำให้ขาย เพราะราคาหุ้นที่ขึ้นเกินมูลค่าหุ้นปี 2561 แต่เป็นการตอบรับด้านบวกต่อข่าวการแตกพาร์ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องเท่านั้น
ประเด็นการกีดกันทางการค้าของสหรัฐยังมีน้ำหนักกดดันตลาดหุ้นโลก หลังจากดำเนินการไม่ต่ออายุ GSP แก่ 112 ประเทศทั่วโลกรวมถึงไทย และการขึ้นภาษีนำเข้า Safe Guard ทั้งหมด 6 สินค้า โดยสหรัฐพุ่งเป้าไป จีน ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของสหรัฐ คือ จีน ซึ่งมีมูลค่าการค้ามากที่สุดราว 16.4% ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของสหรัฐราว รองลงมาคือแคนาดา 15%, เม็กซิโก 14.3%, ญี่ปุ่น 5.3%, เยอรมนี 4.4% เป็นต้น และจีน เป็นประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐมากสุด 47.1% ของยอดขาดดุลทั้งหมดของสหรัฐ (รองลงมาคือ เม็กซิโก 8.93%, ญี่ปุ่น 8.65%, เยอรมนี 8.07%, ไอร์แลนด์ 4.79% เป็นต้น)
โดยสหรัฐเตรียมขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน โดยมุ่งไปที่สินค้ากลุ่มเทคโนโลยีและโทรคมนาคม ซึ่งสหรัฐระบุว่าเข้าข่ายการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ขณะที่สินค้านำเข้าจากจีน 5 ลำดับแรก คือ คอมพิวเตอร์ 11% อุปกรณ์โทรคมนาคม 8.2%, โทรศัพท์ 4.9%, ตุ๊กตา 2.6% และ เฟอร์นิเจอร์ 2.3% เป็นต้น
หากมีการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน ย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าจีน โดยเฉพาะในแถบเอเชีย ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตส่งออกสินค้าวัตถุดิบ กึ่งวัตถุดิบ (Supply Chain) ให้กับจีน ได้แก่ ฮ่องกง ที่มีสัดส่วนการค้ากับจีนราว 9.0%, ญี่ปุ่น 8.14%,เกาหลีใต้ 7.48%, ออสเตรเลีย 3.2%, เวียดนาม 2.91%, มาเลเซีย 2.57%, ไทย 2.24% เป็นต้น ซึ่งถือว่ากดดันการค้าโลก และกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมในระยะถัดไป
สต็อกน้ำมันเพิ่ม แต่ถูกหักล้างจาก Demand ที่แข็งแกร่ง
แม้ล่าสุด สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ(EIA) รายงานตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบ เพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 3 ราว 5.02 ล้านบาร์เรล (ตลาดคาด 2.02 ล้านบาร์เรล) แต่เป็นผลจากการที่อยู่ในช่วงฤดูกาลการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในช่วงระหว่างเดือน ก.พ.- เม.ย. และความกังวลต่อ Oversupply ยังมีอยู่ ล่าสุด EIA ปรับเพิ่มคาดการปริมาณน้ำมันดิบสหรัฐเฉลี่ยปี 2561 เป็น 10.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิม 10.59 ล้านบาร์เรล แต่อย่างไรก็ตามถูกหักล้างจากความต้องการใช้น้ำมันที่แข็งแกร่ง ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และความพยายามควบคุมปริมาณผลิตน้ำมันทางฝั่ง OPEC และ Non OPEC ต่อเนื่องจนถึง ธ.ค. ปีนี้ น่าจะลดปัญหา Oversupply ลงได้
นอกจากนี้ค่าเงิน Dollar Index ที่แกว่งตัวในทิศทางอ่อนค่า ยังเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันดิบ สะท้อนจากราคาน้ำมันดูไบ ล่าสุด อยู่ที่ 62.14 เหรียญฯต่อบาร์เรล และคาดเคลื่อนไหวในกรอบ 60-65 เหรียญฯ ได้ จึงยังชอบ PTTEP(FV@B137) มากสุด นอกจากราคาหุ้นยังมี Upside 18.6% แล้วโอกาสที่จะปรับเพิ่มมูลค่าหุ้นอีก 25 บาทต่อหุ้นในระยะอันใกล้ หากสามารถประมูลแหล่งผลิตและสำรวจก๊าซในแหล่งบงกช กลับมาได้ และสามารถขยายเวลาผลิตออกไปอีก 10 ปี แต่ต้องรอให้ขบวนการประมูลเสร็จสิ้นราวปลายปีนี้ ส่วน PTT(FV@B540) ยังแนะนำให้ขาย เพราะราคาหุ้นที่ขึ้นเกินมูลค่าหุ้นปี 2561 แต่เป็นการตอบรับด้านบวกต่อข่าวการแตกพาร์ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องเท่านั้น
การเลือกตั้งจะเกิดขึ้น ก.พ. 2562 กฎหมายลูกต้องมีผล ก.ย.2561
เชื่อว่าความกังวลต่อประเด็นที่จะมีการเลือกตั้ง ก.พ. 2562 หรือไม่กลับมากดดันตลาด ทั้งนี้แม้วันที่ 8 มี.ค. ที่ผ่านมา สนช. ได้ลงมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.ป. ที่เหลืออีก 2 ฉบับ คือ ร่าง พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส และ ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาของ ส.ว. และ ร่าง ก.ม. ทั้ง 2 ฉบับได้ผ่านการแก้ไขจากที่ประชุมกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย (พ.ร.ป. อีก 2 ฉบับคือ พ.ร.ป. ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560... มีผลบังคับใช้เมื่อ 8 ก.ย.2560 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560.. มีผลบังคับใช้เมื่อ 10 ต.ค.2560) ขั้นตอนจากนี้ สนช. จะส่งร่างให้ รัฐบาล เพื่อดำเนินกระบวนการนำขึ้นทูลเกล้าฯ และ ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
อย่างไรก็ตามความล่าช้าอาจเกิดขึ้น เพราะช่วงก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ได้เปิดช่องให้ผู้ที่เห็นต่าง (เนื้อหาในร่าง ก.ม. ขัดแย้ง กับ บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ) สามารถรวบรวมรายชื่อ ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความเนื้อหาฯ ซึ่งหากศาลฯ รับไว้พิจารณา อาจทำให้วันที่ ก.ม.มีผลบังคับใช้เลื่อนออกไป
หากกำหนดเป้าหมายให้มีการเลือกตั้งทั้วไปภายในเดือน ก.พ.2562 หรือนับย้อนหลังกลับมา 150 วัน พ.ร.ป. ทั้ง 2 ฉบับ จะต้องมีผลบังคับใช้ภายในเดือน ก.ย.2561 กล่าวคือ
พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ฯ จะต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา ภายใน มิ.ย. 2561 เพราะเนื้อหาใน ก.ม. กำหนดให้มีผลบังคับใช้ 90 วันหลังลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ขณะที่ พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้ได้มาซึ่ง ส.ว.ฯ จะต้องถูกประกาศในราชกิจจานุเบกษาอย่างช้าเดือน ก.ย. 2561 เพราะกฎหมายมีผลบังคับใช้ทันทีหลังลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เชื่อว่าความกังวลต่อประเด็นที่จะมีการเลือกตั้ง ก.พ. 2562 หรือไม่กลับมากดดันตลาด ทั้งนี้แม้วันที่ 8 มี.ค. ที่ผ่านมา สนช. ได้ลงมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.ป. ที่เหลืออีก 2 ฉบับ คือ ร่าง พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส และ ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาของ ส.ว. และ ร่าง ก.ม. ทั้ง 2 ฉบับได้ผ่านการแก้ไขจากที่ประชุมกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย (พ.ร.ป. อีก 2 ฉบับคือ พ.ร.ป. ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560... มีผลบังคับใช้เมื่อ 8 ก.ย.2560 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560.. มีผลบังคับใช้เมื่อ 10 ต.ค.2560) ขั้นตอนจากนี้ สนช. จะส่งร่างให้ รัฐบาล เพื่อดำเนินกระบวนการนำขึ้นทูลเกล้าฯ และ ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
อย่างไรก็ตามความล่าช้าอาจเกิดขึ้น เพราะช่วงก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ได้เปิดช่องให้ผู้ที่เห็นต่าง (เนื้อหาในร่าง ก.ม. ขัดแย้ง กับ บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ) สามารถรวบรวมรายชื่อ ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความเนื้อหาฯ ซึ่งหากศาลฯ รับไว้พิจารณา อาจทำให้วันที่ ก.ม.มีผลบังคับใช้เลื่อนออกไป
หากกำหนดเป้าหมายให้มีการเลือกตั้งทั้วไปภายในเดือน ก.พ.2562 หรือนับย้อนหลังกลับมา 150 วัน พ.ร.ป. ทั้ง 2 ฉบับ จะต้องมีผลบังคับใช้ภายในเดือน ก.ย.2561 กล่าวคือ
พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ฯ จะต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา ภายใน มิ.ย. 2561 เพราะเนื้อหาใน ก.ม. กำหนดให้มีผลบังคับใช้ 90 วันหลังลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ขณะที่ พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้ได้มาซึ่ง ส.ว.ฯ จะต้องถูกประกาศในราชกิจจานุเบกษาอย่างช้าเดือน ก.ย. 2561 เพราะกฎหมายมีผลบังคับใช้ทันทีหลังลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา
หากตัดบิ๊กล็อต EASTW ต่างชาติยังขายหุ้นไทย เช่นเดียวกับภูมิภาค
วานนี้ต่างชาติสลับมาขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 372 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วัน) และเป็นการขายสุทธิเกือบทุกประเทศ เริ่มจากไต้หวันขายสุทธิ 274 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วัน) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 155 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 3 วัน), อินโดนีเซีย 44 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) และฟิลิปปินส์ 27 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 17) ยกเว้นตลาดหุ้นไทยที่ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิ 128 ล้านเหรียญ หรือ 4.0 พันล้านบาท (หลังจากขายสุทธิในวันก่อนหน้า) อย่างไรก็ตามหากหักรายการบิ๊กล็อตหุ้น EASTW มูลค่า 5.23 พันล้านบาทออก ต่างชาติยังคงขายหุ้นไทยราว 1.23 พันล้านบาท ขณะเดียวกันนักลงทุนสถาบันฯซื้อสุทธิอีก 2.67 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3)
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันฯซื้อสุทธิ 1.74 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับต่างชาติที่สลับมาซื้อสุทธิ 4.95 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2)
กลยุทธ์เลือกเป็นรายหุ้น...SET ผันผวนและมีโอกาสต่ำกว่า 1800 จุด
แม้ว่า SET index จะมีการฟื้นตัวขึ้น แต่ก็เชื่อว่า Upside น่าจะจำกัด และมีโอกาสที่จะแกว่งผันผวนอีกครั้ง ทั้งนี้ ต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะความชัดเจนของวันเลือกตั้งว่าจะยังเป็นไปตามกำหนดการเดิมหรือไม่ ขณะที่ตลาดฯ อยู่ในช่วงของการประกาศจ่ายปันผลภายในเดือน มี.ค. และ เม.ย. จะมีบริษัทจดทะเบียนขึ้นเครื่องหมาย XD กว่า 135 บริษัท ซึ่งจะมี Impact ต่อตลาดประมาณ 13 จุด นอกจากนี้ยังต้องให้น้ำหนักถึงประเด็นต่างประเทศโดยเฉพาะนโยบายการค้าของสหรัฐ ที่ล่าสุดอาจมีการตั้งกำแพงภาษีกับสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มเติม ทำให้ความกังวลเรื่องสงครามการค้ากลับมากดดันภาวะการลงทุนอีกครั้ง จากปัจจัยที่กล่าวมาอาจส่งผลให้ตลาดยังมีความผันผวนต่อเนื่อง ดังนั้น คาดว่า SET Index มีโอกาสแกว่งตัวต่ำกว่า 1800 จุด
กลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำขายทำกำไรหุ้นแพง ราคาหุ้นเกิน Fair Value หรือมี upside เหลือน้อย เช่น PTT, AOT, TOP, EA, TRUE, SCCC, GPSC, HMPRO เป็นต้น และเข้าลงทุนในปลอดภัย ดังนี้
หุ้นเติบโตโดดเด่น โดยฝ่ายวิจัยคัดกรองหุ้นที่มี ASP Score ในเกณฑ์ดี (มากกว่า 5) และมี Upside เกินกว่า 10% ได้แก่ AH, TVO, BPP, PLANB, SC, SEAFCO, WHA และ PTTEP มีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการฯ และ Fair Value ขึ้นอีก 25 บาท หากว่าสามารถประมูลแหล่งบงกชกลับมาได้
หุ้น Defensive ผันผวนต่ำ คัดกรองโดยเลือกหุ้นที่มี ASP Score ในเกณฑ์ดี (มากกว่า 5), มี Upside เกินกว่า 10%, Expected P/E ปี 2561 ต่ำกว่า 15 เท่า, Div. Yield สูงกว่า 3% และมี Beta น้อยกว่า 1 ฝ่ายวิจัยแนะนำ SC, INTUCH, SNC, TVO
หุ้น Laggard คือ กลุ่มโรงพยาบาล : BCH ([email protected]) มีแนวโน้มจะปรับประมาณการกำไรและ Fair Value ขึ้นจากการปรับเพิ่มค่าบริการของประกันสังคม และการฟื้นตัวของ World Medical Hospital (WMC) ราคาปัจจุบันมี upside 13.41% รวมทั้ง RJH ([email protected]) ผลประกอบการเด่น และมี Upside คงเหลือมากที่สุดในกลุ่มฯ ราว 49%
และ กลุ่มรับเหมาฯ : UNIQ (FV@B24) ผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง อัตรากำไรดีสุดในกลุ่มฯ Backlog ในมืออยู่ในระดับสูง ทั้งยังมี upside สูงถึง 80% รวมทั้ง SEAFCO (FV@B12) Backlog อยู่ในระดับสูง ทั้งยังมีโอกาสได้งานโครงการภาครัฐและเอกชนเข้ามาต่อเนื่อง โดยจะเริ่มรับรู้รายได้โครงการใหญ่เต็มที่ตั้งแต่ 2Q61 เป็นต้นไป ราคาปัจจุบันมี upside 33%
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
OO6516
วานนี้ต่างชาติสลับมาขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 372 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วัน) และเป็นการขายสุทธิเกือบทุกประเทศ เริ่มจากไต้หวันขายสุทธิ 274 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วัน) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 155 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 3 วัน), อินโดนีเซีย 44 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) และฟิลิปปินส์ 27 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 17) ยกเว้นตลาดหุ้นไทยที่ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิ 128 ล้านเหรียญ หรือ 4.0 พันล้านบาท (หลังจากขายสุทธิในวันก่อนหน้า) อย่างไรก็ตามหากหักรายการบิ๊กล็อตหุ้น EASTW มูลค่า 5.23 พันล้านบาทออก ต่างชาติยังคงขายหุ้นไทยราว 1.23 พันล้านบาท ขณะเดียวกันนักลงทุนสถาบันฯซื้อสุทธิอีก 2.67 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3)
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันฯซื้อสุทธิ 1.74 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับต่างชาติที่สลับมาซื้อสุทธิ 4.95 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2)
กลยุทธ์เลือกเป็นรายหุ้น...SET ผันผวนและมีโอกาสต่ำกว่า 1800 จุด
แม้ว่า SET index จะมีการฟื้นตัวขึ้น แต่ก็เชื่อว่า Upside น่าจะจำกัด และมีโอกาสที่จะแกว่งผันผวนอีกครั้ง ทั้งนี้ ต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะความชัดเจนของวันเลือกตั้งว่าจะยังเป็นไปตามกำหนดการเดิมหรือไม่ ขณะที่ตลาดฯ อยู่ในช่วงของการประกาศจ่ายปันผลภายในเดือน มี.ค. และ เม.ย. จะมีบริษัทจดทะเบียนขึ้นเครื่องหมาย XD กว่า 135 บริษัท ซึ่งจะมี Impact ต่อตลาดประมาณ 13 จุด นอกจากนี้ยังต้องให้น้ำหนักถึงประเด็นต่างประเทศโดยเฉพาะนโยบายการค้าของสหรัฐ ที่ล่าสุดอาจมีการตั้งกำแพงภาษีกับสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มเติม ทำให้ความกังวลเรื่องสงครามการค้ากลับมากดดันภาวะการลงทุนอีกครั้ง จากปัจจัยที่กล่าวมาอาจส่งผลให้ตลาดยังมีความผันผวนต่อเนื่อง ดังนั้น คาดว่า SET Index มีโอกาสแกว่งตัวต่ำกว่า 1800 จุด
กลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำขายทำกำไรหุ้นแพง ราคาหุ้นเกิน Fair Value หรือมี upside เหลือน้อย เช่น PTT, AOT, TOP, EA, TRUE, SCCC, GPSC, HMPRO เป็นต้น และเข้าลงทุนในปลอดภัย ดังนี้
หุ้นเติบโตโดดเด่น โดยฝ่ายวิจัยคัดกรองหุ้นที่มี ASP Score ในเกณฑ์ดี (มากกว่า 5) และมี Upside เกินกว่า 10% ได้แก่ AH, TVO, BPP, PLANB, SC, SEAFCO, WHA และ PTTEP มีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการฯ และ Fair Value ขึ้นอีก 25 บาท หากว่าสามารถประมูลแหล่งบงกชกลับมาได้
หุ้น Defensive ผันผวนต่ำ คัดกรองโดยเลือกหุ้นที่มี ASP Score ในเกณฑ์ดี (มากกว่า 5), มี Upside เกินกว่า 10%, Expected P/E ปี 2561 ต่ำกว่า 15 เท่า, Div. Yield สูงกว่า 3% และมี Beta น้อยกว่า 1 ฝ่ายวิจัยแนะนำ SC, INTUCH, SNC, TVO
หุ้น Laggard คือ กลุ่มโรงพยาบาล : BCH ([email protected]) มีแนวโน้มจะปรับประมาณการกำไรและ Fair Value ขึ้นจากการปรับเพิ่มค่าบริการของประกันสังคม และการฟื้นตัวของ World Medical Hospital (WMC) ราคาปัจจุบันมี upside 13.41% รวมทั้ง RJH ([email protected]) ผลประกอบการเด่น และมี Upside คงเหลือมากที่สุดในกลุ่มฯ ราว 49%
และ กลุ่มรับเหมาฯ : UNIQ (FV@B24) ผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง อัตรากำไรดีสุดในกลุ่มฯ Backlog ในมืออยู่ในระดับสูง ทั้งยังมี upside สูงถึง 80% รวมทั้ง SEAFCO (FV@B12) Backlog อยู่ในระดับสูง ทั้งยังมีโอกาสได้งานโครงการภาครัฐและเอกชนเข้ามาต่อเนื่อง โดยจะเริ่มรับรู้รายได้โครงการใหญ่เต็มที่ตั้งแต่ 2Q61 เป็นต้นไป ราคาปัจจุบันมี upside 33%
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
OO6516