- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 08 March 2018 17:25
- Hits: 1518
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“รอ 3 ตัวแปร สนช.-ภาษีสหรัฐฯ-ECB”
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
ปัจจัยต่างประเทศยังออกไปในทางลบ และคาดว่าจะส่งผลถึงตลาดหุ้นไทยด้วย นอกจากนี้ เรายังเห็นแรงขายของหุ้นขนาดใหญ่ต่อเนื่องจากวันก่อน มองว่าเป็นผลมาจากหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวเริ่มมี upside จำกัด อีกทั้งการส่งงบได้ผ่านพ้นไป หุ้นส่วนใหญ่ได้ขึ้นเครื่องหมาย XD .... ปัจจัยต่างประเทศ ปธน.ทรัมป์เตรียมเดินหน้าประกาศแผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมภายในสัปดาห์นี้, ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง -2.3% .... ปัจจัยในประเทศ รองนายกสมคิด เชิญอาลีบาบาลงทุนใน EEC ช่วงเดือน เม.ย. นี้ …. วันนี้ติดตามตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภค จะประกาศเวลา 10.30 น. และ สนช. พิจารณาร่างกฏหมายเลือกตั้ง 2 ฉบับ
กลยุทธ์การลงทุน:
แม้ภาพรวมยังแนะนำทยอยลดพอร์ท แต่วันนี้ นักลงทุนอาจเลือกที่จะรอให้ผลประชุม สนช. ออกมา (หากก่อนตลาดปิด) เนื่องจากมีผลต่อทิศทางตลาดทั้งขึ้น-ลง ..... หุ้นที่แนะนำให้เก็งกำไรในช่วงสั้น ได้แก่กลุ่ม domestic play ที่ได้รับผลบวกจากเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว, เก็งการประกาศรายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคในช่วงวันนี้ หรือเก็งกำไรในกลุ่มที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว …. โดยหุ้นที่ติด most active และคาดว่าตลาดจะให้ความสนใจได้แก่ BJC, CPALL, BH
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์: SPA, TOA*
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) BJC : (ราคาปิด 58.00 บาท)
เราแนะนำ BJC ต่อเนื่องจากวันก่อน เนื่องจากในวันนี้จะมีการรายงานตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.พ. ซึ่งเราคาดว่าจะออกมาสูงต่อเนื่อง เป็นบวกต่อ BJC ซึ่งเดือน ม.ค. ความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ที่ระดับ 80.0 ทำระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี นอกจากนี้ BIGC ยังมีแผนเดินหน้าเปิดสาขาใหม่ต่อเนื่อง และยังมีแผนขยายเตาแก้วโรงงานที่ 5 .... ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 63.00 บาท
(+) CPALL : (ราคาปิด 85.50 บาท)
CPALL เป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่จะได้ผลบวกจากรายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่คาดว่าจะออกมาดี นอกจากนี้ดัชนีค้าปลีกช่วง 4Q17 รายงานโดยสภาพัฒน์ที่เติบโต 7%, และได้รับผลบวกจากงบประมาณพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก 35,000 ล้านบาท, ผลบวกจากการทำ Banking Agent, อีกทั้งเรายังคาดกำไรสุทธิ 4Q17 อยู่ในระดับสูงที่ 5.3 พันล้านบาท +23.5% YoY และ +6.8% QoQ …. ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 86.00 บาท
(+) BH : (ราคาปิด 211.00 บาท)
กลุ่มโรงพยาบาลสามารถปรับตัวขึ้นได้ในช่วงวานนี้แม้ตลาดโดยรวมจะปรับตัวลง เลือก BH จากผลประกอบการที่ยังคงดี BH รายงานกำไรสุทธิ 4Q17 ที่ 923 ล้านบาท (+12% YoY, -13% QoQ) และคาดกำไรสุทธิปี 2018 จะอยู่ที่ 4,302 ล้านบาท เติบโต 9% YoY จากคนไข้ต่างชาติที่เริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ 3Q17 และโรคไข้หวัดใหญ่กลับมาระบาดมากขึ้น .... ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 223.50 บาท
หุ้นมีประเด็น
(+) DDD คาดรายได้ 1H18 โตต่อเนื่องหลังได้รับอย.จากจีน-ปรับโครงสร้างภายในใหม่หนุนรุกตลาดต่างประเทศ
DDD คาดว่ายอดขายใน1Q18 และ2Q18 จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากบริษัทฯ ได้รับ China Food and Drug Administration (CFDA) หรือ เครื่องหมาย อย.ในประเทศจีนแล้ว ทำให้ผลิตภัณฑ์หลักที่สร้างยอดขายได้ดีในกลุ่มลูกค้าประเทศจีนมีความพร้อมที่จะขยายไปยังช่องทางการขายอื่นเพิ่มเติม ซึ่งได้แก่ Mainstream Ecommerce ซึ่งจะช่วยให้เกิดการขายส่ง (Wholesale) มากยิ่งขึ้น รวมถึงช่องทางการจำหน่ายแบบออฟไลน์ที่มีศักยภาพและมีมูลค่าตลาดสูง แม้ยอดขายใน4Q17 จะลดลง แต่ก็เกิดจากการปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ของสินค้าเพื่อรองรับช่องทางการขายใหม่และเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของ CFDA ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน1Q18 รวมถึงได้มีการปรับโครงสร้างภายในบริษัทฯ และอยู่ระหว่างการจัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อสนับสนุนการขายในต่างประเทศ โดยคาดว่าจะจัดตั้งแล้วเสร็จภายในเดือน มี.ค.18 ซึ่งจะส่งผลประโยชน์ต่อการขายสินค้าในต่างประเทศของบริษัท (Source: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, 07/03/2018)
ความเห็น: เรามีมุมมองเชิงบวกกับข่าวข้างต้น เรามองว่าการได้รับ CFDA จะส่งผลดีต่อรายได้จากต่างประเทศของ DDD ซึ่ง 99% ของรายได้มาจากประเทศจีน การได้รับ CFDA จะส่งผลให้ DDD สามารถวางขายสินค้าใน Mainstream e-commerce และตลาดออฟไลน์ของจีน ซึ่งตลาด Mainstream e-commerce ของจีนเป็นตลาดขนาดใหญ่ จากข้อมูลของ Statista คาดว่ารายได้จาก e-commerce ในปี 2020 จะอยู่ที่ U$794b เราคาดว่ารายได้จากช่องทางนี้จะเริ่มรับรู้ใน 2Q18 สำหรับปี 2018 เราคาดว่ารายได้จากประเทศจีนจะอยู่ที่ 873 ล้านบาท เติบโตขึ้น 76% YoY ทั้งนี้เรายังไม่ได้รวมรายได้จากช่องทาง Mainstream e-commerce ในการประเมินราคาหุ้น เราชอบแผนการรุกขยายตลาดต่างประเทศของ DDD เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 125 บาท โดยเช้าวันนี้จะมีการประชุมนักวิเคราะห์ ซึ่งอาจส่งผลต่อประมาณการในอนาคต
“รอ 3 ตัวแปร สนช.-ภาษีสหรัฐฯ-ECB”
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
ปัจจัยต่างประเทศยังออกไปในทางลบ และคาดว่าจะส่งผลถึงตลาดหุ้นไทยด้วย นอกจากนี้ เรายังเห็นแรงขายของหุ้นขนาดใหญ่ต่อเนื่องจากวันก่อน มองว่าเป็นผลมาจากหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวเริ่มมี upside จำกัด อีกทั้งการส่งงบได้ผ่านพ้นไป หุ้นส่วนใหญ่ได้ขึ้นเครื่องหมาย XD .... ปัจจัยต่างประเทศ ปธน.ทรัมป์เตรียมเดินหน้าประกาศแผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมภายในสัปดาห์นี้, ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง -2.3% .... ปัจจัยในประเทศ รองนายกสมคิด เชิญอาลีบาบาลงทุนใน EEC ช่วงเดือน เม.ย. นี้ …. วันนี้ติดตามตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภค จะประกาศเวลา 10.30 น. และ สนช. พิจารณาร่างกฏหมายเลือกตั้ง 2 ฉบับ
กลยุทธ์การลงทุน:
แม้ภาพรวมยังแนะนำทยอยลดพอร์ท แต่วันนี้ นักลงทุนอาจเลือกที่จะรอให้ผลประชุม สนช. ออกมา (หากก่อนตลาดปิด) เนื่องจากมีผลต่อทิศทางตลาดทั้งขึ้น-ลง ..... หุ้นที่แนะนำให้เก็งกำไรในช่วงสั้น ได้แก่กลุ่ม domestic play ที่ได้รับผลบวกจากเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว, เก็งการประกาศรายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคในช่วงวันนี้ หรือเก็งกำไรในกลุ่มที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว …. โดยหุ้นที่ติด most active และคาดว่าตลาดจะให้ความสนใจได้แก่ BJC, CPALL, BH
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์: SPA, TOA*
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) BJC : (ราคาปิด 58.00 บาท)
เราแนะนำ BJC ต่อเนื่องจากวันก่อน เนื่องจากในวันนี้จะมีการรายงานตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.พ. ซึ่งเราคาดว่าจะออกมาสูงต่อเนื่อง เป็นบวกต่อ BJC ซึ่งเดือน ม.ค. ความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ที่ระดับ 80.0 ทำระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี นอกจากนี้ BIGC ยังมีแผนเดินหน้าเปิดสาขาใหม่ต่อเนื่อง และยังมีแผนขยายเตาแก้วโรงงานที่ 5 .... ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 63.00 บาท
(+) CPALL : (ราคาปิด 85.50 บาท)
CPALL เป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่จะได้ผลบวกจากรายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่คาดว่าจะออกมาดี นอกจากนี้ดัชนีค้าปลีกช่วง 4Q17 รายงานโดยสภาพัฒน์ที่เติบโต 7%, และได้รับผลบวกจากงบประมาณพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก 35,000 ล้านบาท, ผลบวกจากการทำ Banking Agent, อีกทั้งเรายังคาดกำไรสุทธิ 4Q17 อยู่ในระดับสูงที่ 5.3 พันล้านบาท +23.5% YoY และ +6.8% QoQ …. ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 86.00 บาท
(+) BH : (ราคาปิด 211.00 บาท)
กลุ่มโรงพยาบาลสามารถปรับตัวขึ้นได้ในช่วงวานนี้แม้ตลาดโดยรวมจะปรับตัวลง เลือก BH จากผลประกอบการที่ยังคงดี BH รายงานกำไรสุทธิ 4Q17 ที่ 923 ล้านบาท (+12% YoY, -13% QoQ) และคาดกำไรสุทธิปี 2018 จะอยู่ที่ 4,302 ล้านบาท เติบโต 9% YoY จากคนไข้ต่างชาติที่เริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ 3Q17 และโรคไข้หวัดใหญ่กลับมาระบาดมากขึ้น .... ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 223.50 บาท
หุ้นมีประเด็น
(+) DDD คาดรายได้ 1H18 โตต่อเนื่องหลังได้รับอย.จากจีน-ปรับโครงสร้างภายในใหม่หนุนรุกตลาดต่างประเทศ
DDD คาดว่ายอดขายใน1Q18 และ2Q18 จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากบริษัทฯ ได้รับ China Food and Drug Administration (CFDA) หรือ เครื่องหมาย อย.ในประเทศจีนแล้ว ทำให้ผลิตภัณฑ์หลักที่สร้างยอดขายได้ดีในกลุ่มลูกค้าประเทศจีนมีความพร้อมที่จะขยายไปยังช่องทางการขายอื่นเพิ่มเติม ซึ่งได้แก่ Mainstream Ecommerce ซึ่งจะช่วยให้เกิดการขายส่ง (Wholesale) มากยิ่งขึ้น รวมถึงช่องทางการจำหน่ายแบบออฟไลน์ที่มีศักยภาพและมีมูลค่าตลาดสูง แม้ยอดขายใน4Q17 จะลดลง แต่ก็เกิดจากการปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ของสินค้าเพื่อรองรับช่องทางการขายใหม่และเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของ CFDA ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน1Q18 รวมถึงได้มีการปรับโครงสร้างภายในบริษัทฯ และอยู่ระหว่างการจัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อสนับสนุนการขายในต่างประเทศ โดยคาดว่าจะจัดตั้งแล้วเสร็จภายในเดือน มี.ค.18 ซึ่งจะส่งผลประโยชน์ต่อการขายสินค้าในต่างประเทศของบริษัท (Source: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, 07/03/2018)
ความเห็น: เรามีมุมมองเชิงบวกกับข่าวข้างต้น เรามองว่าการได้รับ CFDA จะส่งผลดีต่อรายได้จากต่างประเทศของ DDD ซึ่ง 99% ของรายได้มาจากประเทศจีน การได้รับ CFDA จะส่งผลให้ DDD สามารถวางขายสินค้าใน Mainstream e-commerce และตลาดออฟไลน์ของจีน ซึ่งตลาด Mainstream e-commerce ของจีนเป็นตลาดขนาดใหญ่ จากข้อมูลของ Statista คาดว่ารายได้จาก e-commerce ในปี 2020 จะอยู่ที่ U$794b เราคาดว่ารายได้จากช่องทางนี้จะเริ่มรับรู้ใน 2Q18 สำหรับปี 2018 เราคาดว่ารายได้จากประเทศจีนจะอยู่ที่ 873 ล้านบาท เติบโตขึ้น 76% YoY ทั้งนี้เรายังไม่ได้รวมรายได้จากช่องทาง Mainstream e-commerce ในการประเมินราคาหุ้น เราชอบแผนการรุกขยายตลาดต่างประเทศของ DDD เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 125 บาท โดยเช้าวันนี้จะมีการประชุมนักวิเคราะห์ ซึ่งอาจส่งผลต่อประมาณการในอนาคต
(+) KTB ศาลฎีกาแผนกคดีอาญายกเลิกคำสั่งระงับขายที่ดิน AQ 4.3 พันไร่
เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2561 บมจ.เอคิว เอสเตท (AQ) แจ้งว่าตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่บริษัทต้องร่วมรับผิดชอบค่าความเสียหายนั้น คดีถึงที่สุด โดยโจทก์คือธนาคารกรุงไทย (KTB) ได้ยึดทรัพย์ที่เป็นหลักประกันและประกาศขายทรัพย์ทอดตลาด ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2560 นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่แบงก์กรุงไทย ในฐานะผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการขายทอดตลาดที่ดินทั้ง 215 แปลง เนื่องด้วยการประกาศขายที่ดินไม่พร้อมกัน ทำให้เกิดการกำหนดราคาไม่เหมาะสม และวันที่ 25 ธันวาคม 2560 มีการส่งหมายให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด ทั้งนี้ วันที่ 5 มีนาคม 2561 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ยกเลิกคำสั่งที่ให้งดการบังคับคดีตามรายงานกระบวนการพิจารณาฉบับลงวันที่ 25 ธันวาคม 2560 และยกเลิกวันนัดวันที่ 8 มีนาคม 2561 (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น)
ความเห็น: เรามีมุมมองเชิงบวกต่อประเด็นดังกล่าวกับ KTB เนื่องจากเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของ AQ ซึ่งล่าสุดศาลได้อนุมัติให้นำที่ดินของ AQ จำนวน 4.3 พันไร่ ขายทอดตลาดได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อ KTB โดยตรง หากขายได้จะได้เงินเข้ามาราว 1 หมื่นล้านบาท แต่อย่างไรก็ดี เราคาดว่า กระบวนการในการขายที่ดินจะต้องใช้เวลานาน และหากได้เงินมาเราคาดว่า KTB จะนำเงินดังกล่าวไปตั้งสำรองเพิ่มเติม เพื่อรองรับ IFRS9 เนื่องจากระดับ Coverage Ratio ของ KTB อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ โดยเรายังคงคำแนะนำ “ถือ” สำหรับ KTB ราคาเป้าหมายที่ 20 บาท
เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2561 บมจ.เอคิว เอสเตท (AQ) แจ้งว่าตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่บริษัทต้องร่วมรับผิดชอบค่าความเสียหายนั้น คดีถึงที่สุด โดยโจทก์คือธนาคารกรุงไทย (KTB) ได้ยึดทรัพย์ที่เป็นหลักประกันและประกาศขายทรัพย์ทอดตลาด ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2560 นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่แบงก์กรุงไทย ในฐานะผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการขายทอดตลาดที่ดินทั้ง 215 แปลง เนื่องด้วยการประกาศขายที่ดินไม่พร้อมกัน ทำให้เกิดการกำหนดราคาไม่เหมาะสม และวันที่ 25 ธันวาคม 2560 มีการส่งหมายให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด ทั้งนี้ วันที่ 5 มีนาคม 2561 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ยกเลิกคำสั่งที่ให้งดการบังคับคดีตามรายงานกระบวนการพิจารณาฉบับลงวันที่ 25 ธันวาคม 2560 และยกเลิกวันนัดวันที่ 8 มีนาคม 2561 (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น)
ความเห็น: เรามีมุมมองเชิงบวกต่อประเด็นดังกล่าวกับ KTB เนื่องจากเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของ AQ ซึ่งล่าสุดศาลได้อนุมัติให้นำที่ดินของ AQ จำนวน 4.3 พันไร่ ขายทอดตลาดได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อ KTB โดยตรง หากขายได้จะได้เงินเข้ามาราว 1 หมื่นล้านบาท แต่อย่างไรก็ดี เราคาดว่า กระบวนการในการขายที่ดินจะต้องใช้เวลานาน และหากได้เงินมาเราคาดว่า KTB จะนำเงินดังกล่าวไปตั้งสำรองเพิ่มเติม เพื่อรองรับ IFRS9 เนื่องจากระดับ Coverage Ratio ของ KTB อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ โดยเรายังคงคำแนะนำ “ถือ” สำหรับ KTB ราคาเป้าหมายที่ 20 บาท
(+) ROBINS ขยายสาขาต่อเนื่องและการบริโภคปรับตัวดีขึ้น
“โรบินสัน” กางแผน 5 ปี ทุ่มงบ 1.5 หมื่นล้านบาท ขยายเพิ่ม 2-3 สาขา/ปี เป้าปี 2022 แตะ 59 สาขา ปรับปรุงสาขาเดิม แย้มผลงานไตรมาส 1/18 แจ่ม เตรียมเปิดสาขาใหม่ 2 สาขา ที่ จ.ชลบุรี และ จ.ชัยภูมิ รองรับ EEC คาดสิ้นปีมี 48 สาขา (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น)
ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นบวกต่อข่าวนี้ โดยความต้องการมีการฟื้นตัวขึ้นตามความเชื่อมั่นการบริโภคและภาวะการจับจ่ายใช้สอยที่สูง คาดยอดขายของสาขาเดิม (same store sales growth-SSSG) ยังสามารถเติบโตได้ในระดับ 2-3% โดยคาดจะเปิดสาขาชลบุรีในเดือน กค. และเปิดสาขาชัยภูมิใน 4Q18 ซึ่งบริษัทจะมุ่งไปตลาดที่มีความต้องการสูงอย่างธุรกิจผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องใช้ในบ้านเรา ตลาดเด็ก เครื่องสำอาง และสินค้าที่รองรับการท่องเที่ยว รวมถึงการปรับปรุงสาขารูปแบบใหม่ในปีที่แล้ว เช่น เพชรบุรี กำแพงเพชร เริ่มส่งผลดีและรับรู้รายได้เต็มปี เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายตาม DCF ที่ 79 บาท
“โรบินสัน” กางแผน 5 ปี ทุ่มงบ 1.5 หมื่นล้านบาท ขยายเพิ่ม 2-3 สาขา/ปี เป้าปี 2022 แตะ 59 สาขา ปรับปรุงสาขาเดิม แย้มผลงานไตรมาส 1/18 แจ่ม เตรียมเปิดสาขาใหม่ 2 สาขา ที่ จ.ชลบุรี และ จ.ชัยภูมิ รองรับ EEC คาดสิ้นปีมี 48 สาขา (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น)
ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นบวกต่อข่าวนี้ โดยความต้องการมีการฟื้นตัวขึ้นตามความเชื่อมั่นการบริโภคและภาวะการจับจ่ายใช้สอยที่สูง คาดยอดขายของสาขาเดิม (same store sales growth-SSSG) ยังสามารถเติบโตได้ในระดับ 2-3% โดยคาดจะเปิดสาขาชลบุรีในเดือน กค. และเปิดสาขาชัยภูมิใน 4Q18 ซึ่งบริษัทจะมุ่งไปตลาดที่มีความต้องการสูงอย่างธุรกิจผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องใช้ในบ้านเรา ตลาดเด็ก เครื่องสำอาง และสินค้าที่รองรับการท่องเที่ยว รวมถึงการปรับปรุงสาขารูปแบบใหม่ในปีที่แล้ว เช่น เพชรบุรี กำแพงเพชร เริ่มส่งผลดีและรับรู้รายได้เต็มปี เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายตาม DCF ที่ 79 บาท
บทวิเคราะห์วันนี้
(+) BDMS (ซื้อ/25.00 บาท) มองปี 2018 กำไรปกติกลับมาทำสถิติสูงสุดใหม่
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ของ BDMS โดยผู้บริหารมองว่ารายได้ในปี 2018 จะสามารถเติบโตได้ในระดับ 2 เท่าของ GDP ปัจจุบัน ซึ่งเรามองว่ามีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากจำนวนเคสคนไข้โรคไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยช่วง 1Q18 เพิ่มขึ้นถึง 27% YoY ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยงตะวันออกกลางและจีนยังคงเติบโตดีอยู่ ซึ่งเราคาดว่าจะส่งผลดีต่อจำนวนคนไข้ของ BDMS โดยเราคงประมาณการกำไรปกติปี 2018 ที่ 8,845 ล้านบาท เติบโต 10% YoY กลับมาพลิกฟื้นทำสถิติสูงสุดใหม่ ทั้งนี้ เราให้ราคาเหมาะสมสำหรับ BDMS ที่ 25.00 บาท และยังคงคำแนะนำ ซื้อ
(+) BDMS (ซื้อ/25.00 บาท) มองปี 2018 กำไรปกติกลับมาทำสถิติสูงสุดใหม่
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ของ BDMS โดยผู้บริหารมองว่ารายได้ในปี 2018 จะสามารถเติบโตได้ในระดับ 2 เท่าของ GDP ปัจจุบัน ซึ่งเรามองว่ามีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากจำนวนเคสคนไข้โรคไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยช่วง 1Q18 เพิ่มขึ้นถึง 27% YoY ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยงตะวันออกกลางและจีนยังคงเติบโตดีอยู่ ซึ่งเราคาดว่าจะส่งผลดีต่อจำนวนคนไข้ของ BDMS โดยเราคงประมาณการกำไรปกติปี 2018 ที่ 8,845 ล้านบาท เติบโต 10% YoY กลับมาพลิกฟื้นทำสถิติสูงสุดใหม่ ทั้งนี้ เราให้ราคาเหมาะสมสำหรับ BDMS ที่ 25.00 บาท และยังคงคำแนะนำ ซื้อ
(+) SPA (ซื้อ/24.00 บาท) เดินหน้าเติบโตได้ต่อเนื่อง
จากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ (7 มี.ค.) SPA ยังคงเป้าหมายการขยายสาขาเพิ่มขึ้น 10 สาขาในประเทศไทย โดยจะเริ่มเปิดในช่วงเดือน มิ.ย. เป็นต้นไป ส่วนในต่างประเทศจะเริ่มเปิดให้บริการสาขาแรกที่พนมเปญในวันนี้ (8 มี.ค.) ส่วนที่จีนจะเริ่มเปิดที่เมืองชิงเต่าในเดือน เม.ย. และที่เมืองเทียนจินในเดือน พ.ค. ขณะที่จะเปิดสาขาที่จีนในรูปแบบของการลงทุนเองที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งจะเป็นสาขาต้นแบบ โดยคาดว่า จะเปิดให้ทันภายในปีนี้ เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 ที่ 248 ล้านบาท เติบโตได้โดดเด่น 42% YoY ขณะที่ปีนี้จะเห็นการ Renovate เพียงแห่งเดียวในช่วงปลาย 4Q18 ที่พัทยา ซึ่งน้อยกว่าปีก่อนที่มีถึง 3 แห่ง นอกจากนี้ SPA ได้มีการจับมือกับ Alipay ในการทำ promotion ตลอดทั้งปีนี้ มีจำนวนถึง 6 เทศกาล ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมที่ 24 บาท
จากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ (7 มี.ค.) SPA ยังคงเป้าหมายการขยายสาขาเพิ่มขึ้น 10 สาขาในประเทศไทย โดยจะเริ่มเปิดในช่วงเดือน มิ.ย. เป็นต้นไป ส่วนในต่างประเทศจะเริ่มเปิดให้บริการสาขาแรกที่พนมเปญในวันนี้ (8 มี.ค.) ส่วนที่จีนจะเริ่มเปิดที่เมืองชิงเต่าในเดือน เม.ย. และที่เมืองเทียนจินในเดือน พ.ค. ขณะที่จะเปิดสาขาที่จีนในรูปแบบของการลงทุนเองที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งจะเป็นสาขาต้นแบบ โดยคาดว่า จะเปิดให้ทันภายในปีนี้ เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 ที่ 248 ล้านบาท เติบโตได้โดดเด่น 42% YoY ขณะที่ปีนี้จะเห็นการ Renovate เพียงแห่งเดียวในช่วงปลาย 4Q18 ที่พัทยา ซึ่งน้อยกว่าปีก่อนที่มีถึง 3 แห่ง นอกจากนี้ SPA ได้มีการจับมือกับ Alipay ในการทำ promotion ตลอดทั้งปีนี้ มีจำนวนถึง 6 เทศกาล ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมที่ 24 บาท
(0) SINGER (ซื้อ/12.20 บาท) คุณภาพสินเชื่อ และIFRS9 ยังคงกดดันผลการดำเนินงานอนาคต
จากงาน Opportunity Day วานนี้ (07.03.2018) ผู้บริหารคาดว่าผลการดำเนินงานในปี 2018 จะกลับมาดีขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลัง โดย 1H18 บริษัทยังคงได้รับแรงกดดันจากลูกหนี้ในระบบเก่าที่มีคุณภาพสินเชื่อที่ยังถดถอย เรามองว่าบริษัทจะยังคงขยายสินเชื่อรถทำเงินทั้งในรูปแบบโอนเล่มทะเบียน และไม่โอน รวมทั้งสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่จะเริ่มให้บริการใน 2H18 คาดสินเชื่อรถทำเงิน และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยปี 2018 อยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท ในขณะที่เรามองว่าบริษัทจะลดการขายสินค้าผ่อนชำระที่ก่อให้เกิด NPLs เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโทรศัพท์เคลื่อนที่ ควบคู่การปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกหนี้ที่มีศักยภาพที่ดีคาดบริษัทจะมี NPLs ลดลงอยู่ที่ 10% จากปีก่อนที่ 12% เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 ที่ 67 ล้านบาท จากการขยายตัวของรายได้รวมสูงถึง 12% โดยมีรายได้ดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมเพิ่มสูงขึ้นถึง 24% ตามการขยายตัวของสินเชื่อรถทำเงินอย่างมีนัย อย่างไรก็ตามเรามองว่าบริษัทยังคงมีภาระในการปรับปรุงคุณภาพสินเชื่อ และการตั้งสำรองส่วนเกินเพื่อรองรับ TFRS9 คาดบริษัทตั้งสำรองเพิ่ม 1,089 bps เรามองว่าราคาหุ้นที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ยังทรงถึงทรุดในปีที่ผ่านมา และความเสี่ยงจากการตั้งสำรองเพื่อรองรับ TFRS9 แล้ว เราจึงปรับคำแนะนำเพิ่มขึ้นเป็น “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายเดิม 12.20 บาท (อิง PBV ที่ 2.0x) จากผลการดำเนินงานที่จะพลิกกลับมาเป็นบวกตามรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น จากของสินเชื่อรถทำเงินที่เพิ่มขึ้นสูงอย่างมีนัย
จากงาน Opportunity Day วานนี้ (07.03.2018) ผู้บริหารคาดว่าผลการดำเนินงานในปี 2018 จะกลับมาดีขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลัง โดย 1H18 บริษัทยังคงได้รับแรงกดดันจากลูกหนี้ในระบบเก่าที่มีคุณภาพสินเชื่อที่ยังถดถอย เรามองว่าบริษัทจะยังคงขยายสินเชื่อรถทำเงินทั้งในรูปแบบโอนเล่มทะเบียน และไม่โอน รวมทั้งสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่จะเริ่มให้บริการใน 2H18 คาดสินเชื่อรถทำเงิน และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยปี 2018 อยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท ในขณะที่เรามองว่าบริษัทจะลดการขายสินค้าผ่อนชำระที่ก่อให้เกิด NPLs เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโทรศัพท์เคลื่อนที่ ควบคู่การปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกหนี้ที่มีศักยภาพที่ดีคาดบริษัทจะมี NPLs ลดลงอยู่ที่ 10% จากปีก่อนที่ 12% เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 ที่ 67 ล้านบาท จากการขยายตัวของรายได้รวมสูงถึง 12% โดยมีรายได้ดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมเพิ่มสูงขึ้นถึง 24% ตามการขยายตัวของสินเชื่อรถทำเงินอย่างมีนัย อย่างไรก็ตามเรามองว่าบริษัทยังคงมีภาระในการปรับปรุงคุณภาพสินเชื่อ และการตั้งสำรองส่วนเกินเพื่อรองรับ TFRS9 คาดบริษัทตั้งสำรองเพิ่ม 1,089 bps เรามองว่าราคาหุ้นที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ยังทรงถึงทรุดในปีที่ผ่านมา และความเสี่ยงจากการตั้งสำรองเพื่อรองรับ TFRS9 แล้ว เราจึงปรับคำแนะนำเพิ่มขึ้นเป็น “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายเดิม 12.20 บาท (อิง PBV ที่ 2.0x) จากผลการดำเนินงานที่จะพลิกกลับมาเป็นบวกตามรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น จากของสินเชื่อรถทำเงินที่เพิ่มขึ้นสูงอย่างมีนัย
(-) JMART (ซื้อ/19.00 บาท) ปรับประมาณการลง จากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
จากงาน Opportunity Day วานนี้ (07.03.2018) แม้ผู้บริหารคาดว่าผลการดำเนินงาน จะดีขึ้นสำหรับธุรกิจ Jay-Mobile จากการขยายหน้าร้าน และการเพิ่มขึ้นของ SSSG แต่จากคุณภาพสินเชื่อที่ไหลลง และลูกหนี้ปรับโครงสร้างที่เพิ่มขึ้นของ J-FinTech กอปรกับแรงกดดันจาก TFRS9 ส่งผลให้มีความกังวลต่อผลการดำเนินงานในปี 2018 และบริษัทยังมั่นใจว่า J-Fin Coin จะไม่ได้รับผลกระทบจากการประชุมส่วนงานที่เกี่ยวข้องเพื่อควบคุมเงินดิจิตัล แม้เรามองว่าบริษัทจะมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นตามราคามือถือเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นจากการออกมือถือรุ่นใหม่ในปี และรายได้จากการติดตามหนี้ และบริหารหนี้ที่เพิ่มจากการขยายพอร์ตลูกหนี้ที่ซื้อมา แต่จากแนวโน้มค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัย ทั้งค่าใช้จ่ายพนักงาน และค่าใช้จ่ายหนี้สงสัยจะสูญ ส่งผลให้เราปรับประมาณการกำไรสุทธิลดลงเหลือ 605 ล้านบาท คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเหมาะสมใหม่ 19.00 บาท อิงวิธี SOTP (เดิมแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 23.00 บาท)
Analyst
Mongkol Puangpetra
License No: 001937
+662 648 1123
[email protected]
จากงาน Opportunity Day วานนี้ (07.03.2018) แม้ผู้บริหารคาดว่าผลการดำเนินงาน จะดีขึ้นสำหรับธุรกิจ Jay-Mobile จากการขยายหน้าร้าน และการเพิ่มขึ้นของ SSSG แต่จากคุณภาพสินเชื่อที่ไหลลง และลูกหนี้ปรับโครงสร้างที่เพิ่มขึ้นของ J-FinTech กอปรกับแรงกดดันจาก TFRS9 ส่งผลให้มีความกังวลต่อผลการดำเนินงานในปี 2018 และบริษัทยังมั่นใจว่า J-Fin Coin จะไม่ได้รับผลกระทบจากการประชุมส่วนงานที่เกี่ยวข้องเพื่อควบคุมเงินดิจิตัล แม้เรามองว่าบริษัทจะมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นตามราคามือถือเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นจากการออกมือถือรุ่นใหม่ในปี และรายได้จากการติดตามหนี้ และบริหารหนี้ที่เพิ่มจากการขยายพอร์ตลูกหนี้ที่ซื้อมา แต่จากแนวโน้มค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัย ทั้งค่าใช้จ่ายพนักงาน และค่าใช้จ่ายหนี้สงสัยจะสูญ ส่งผลให้เราปรับประมาณการกำไรสุทธิลดลงเหลือ 605 ล้านบาท คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเหมาะสมใหม่ 19.00 บาท อิงวิธี SOTP (เดิมแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 23.00 บาท)
Analyst
Mongkol Puangpetra
License No: 001937
+662 648 1123
[email protected]