- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 06 March 2018 18:49
- Hits: 1817
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ดีดตัวขึ้น ตาม Dow Jones”
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
คาดดัชนีฯสำหรับวันนี้มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ตามตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นถึง 336 จุด หรือ +1.4% หลังมีข่าวว่าปธน.ทรัมป์อาจยกเลิกการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก-อลูมิเนียม และตลาดยังมีแรงซื้อจากหุ้นกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น +2.2% อย่างไรก็ตามความผันผวนของตลาดต่างประเทศยังมีอยู่ ให้แนวรับที่ระดับ 1,790 จุด .... ปัจจัยที่สำคัญในวันนี้ได้แก่ หุ้น PTT จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันนี้ ซึ่งจะมีผลต่อตลาดหุ้นประมาณ 3 จุด และ ติดตามการพิจารณาคดีหงสามีผลต่อ BANPU
กลยุทธ์การลงทุน:
ด้วยมุมมองว่าตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นในวันนี้ นักลงทุนสามารถเก็งกำไรระหว่างวันได้ โดยมีแนวรับที่ 1,790 จุด .... หุ้นที่แนะนำให้เก็งกำไรในช่วงสั้น ได้แก่กลุ่มที่ได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นมา อาทิ กลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน, กลุ่มปิโตรฯ และกลุ่มที่ได้รับผลบวกจากเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวหรือกลุ่มที่อิง domestic play …. โดยหุ้นที่ติด most active และคาดว่าตลาดจะให้ความสนใจได้แก่ PTTEP, CPALL, IRPC, HMPRO
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์: BANPU*, BGRIM, TVO, VGI*
หุ้นแนะนำทางเทคนิค: PTTGC, HTECH, SAT
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+/-) BANPU* : (ราคาปิด 23.20 บาท)
การตัดสินใจจะเข้าซื้อหุ้นตัวนี้หรือไม่ ขึ้นกับผลตัดสินคดีหงสาของศาลวันนี้ (นัดฟัง 9.00 น.) .. เนื่องด้วยเป็นหุ้นที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุน หาก BANPU ชนะคดี คาดราคาหุ้นจะเป็นบวก เรามองเป้าหมายในเชิงกลยุทธ์ไว้ที่ 25-26 บาท แต่หากแพ้คดี และตัวเลขที่ต้องจ่าย ไม่มีนัยยะต่อกำไรมากนัก ราคาหุ้นก็อาจปรับตัวขึ้นได้เช่นกัน (ผลตัดสิน ปี 2012 ศาลสั่งให้ BANPU จ่าย 3.17 หมื่นลบ. หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 6 บาท )
(+) TVO : (ราคาปิด 35.25 บาท)
TVO ได้รับผลบวกจากราคากากถั่วเหลืองปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 387 เหรียญสหรัฐฯ จากปลายปี 2017 ซึ่งอยู่ที่ 312 เหรียญ ปรับเพิ่มขึ้นมาถึง 24%YTDจากปรากฎการณ์ La Nina ในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งทำให้เกิดภาวะฝนแล้ง และเรามองว่าปี 2017 เป็นช่วงต่ำสุดของบริษัท โดยเราประมาณการ์กำไรสุทธิปี 2018 ที่ 2.2 พันล้านบาท (+69% YoY) .... ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 39.00 บาท
(+) IRPC: (ราคาปิด 8.05 บาท)
IRPC เป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น +2.2% โดย IEA ระบุว่า ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องจนถึงปี 2023 นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับปัจจัยหนุนจากข่าวการปิดแหล่งน้ำมัน เอล ฟีล ในประเทศลิเบีย และเรามองว่าประเด็นการซื้อหุ้น IRPC ของ PTT จะเป็นบวกต่อโครงสร้างบริษัทและกลยุทธการดำเนินธุรกิจของ IRPC
หุ้นมีประเด็น
(-) กลุ่มเหล็ก: ส.อ.ท.จับตาเหล็กจ่อทะลักเข้าไทย ผลกระทบทางอ้อมสหรัฐฯขึ้นภาษี
นายกรกต ผดุงจิตต์ เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า กรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก (เซฟการ์ด) อัตรา 25% และอะลูมิเนียม 10% นั้น ขณะนี้กลุ่มเหล็กได้ส่งข้อมูลไปยังกระทรวงพาณิชย์เพื่อประกอบการตัดสินใจระดับนโยบายแล้ว โดยประเด็นดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเหล็กทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะผลกระทบทางอ้อมที่จะเกิดจากเหล็กที่ไม่สามารถส่งออกไปยังสหรัฐได้ ซึ่งมีปริมาณ 27.03 ล้านตันนั้น มีโอกาสสูงที่จะเข้าสู่ตลาดอาเซียนและเสี่ยงที่จะส่งมาไทย คือ เหล็กเส้น เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี เหล็กแผ่นเคลือบดีบุก และเหล็กแผ่นเคลือบโครเมียม เนื่องจากไม่มีมาตรการทางการค้า (ที่มา: นสพ.โพสต์ ทูเดย์)
ความเห็น: เรายังมีมุมมองเป็นลบต่อธุรกิจเหล็กในประเทศจากกรณีดังกล่าว จากผลกระทบทางอ้อมต่อปริมาณเหล็กที่จะเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาเหล็กในประเทศอาจปรับตัวลดลง จะเป็นลบต่อผลประกอบการของธุรกิจเหล็กได้ ทั้งนี้ หลังจากทรัมป์มีการประกาศจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในช่วงต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาเหล็กในสหรัฐ (Nymex HR Coil) ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 12% ขณะที่ราคาเหล็กในจีน (China Domestic HR Steel) ปรับตัวลดลงเล็กน้อย 0.7% อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประเทศไทยมีการออกมาตรการ AD ในบางกลุ่มสินค้า และเราคาดว่าจะไม่มีผลกระทบมากนักต่อบริษัทเหล็กใน SET ที่เราดูแลอยู่ (TMT, PAP)
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
คาดดัชนีฯสำหรับวันนี้มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ตามตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นถึง 336 จุด หรือ +1.4% หลังมีข่าวว่าปธน.ทรัมป์อาจยกเลิกการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก-อลูมิเนียม และตลาดยังมีแรงซื้อจากหุ้นกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น +2.2% อย่างไรก็ตามความผันผวนของตลาดต่างประเทศยังมีอยู่ ให้แนวรับที่ระดับ 1,790 จุด .... ปัจจัยที่สำคัญในวันนี้ได้แก่ หุ้น PTT จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันนี้ ซึ่งจะมีผลต่อตลาดหุ้นประมาณ 3 จุด และ ติดตามการพิจารณาคดีหงสามีผลต่อ BANPU
กลยุทธ์การลงทุน:
ด้วยมุมมองว่าตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นในวันนี้ นักลงทุนสามารถเก็งกำไรระหว่างวันได้ โดยมีแนวรับที่ 1,790 จุด .... หุ้นที่แนะนำให้เก็งกำไรในช่วงสั้น ได้แก่กลุ่มที่ได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นมา อาทิ กลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน, กลุ่มปิโตรฯ และกลุ่มที่ได้รับผลบวกจากเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวหรือกลุ่มที่อิง domestic play …. โดยหุ้นที่ติด most active และคาดว่าตลาดจะให้ความสนใจได้แก่ PTTEP, CPALL, IRPC, HMPRO
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์: BANPU*, BGRIM, TVO, VGI*
หุ้นแนะนำทางเทคนิค: PTTGC, HTECH, SAT
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+/-) BANPU* : (ราคาปิด 23.20 บาท)
การตัดสินใจจะเข้าซื้อหุ้นตัวนี้หรือไม่ ขึ้นกับผลตัดสินคดีหงสาของศาลวันนี้ (นัดฟัง 9.00 น.) .. เนื่องด้วยเป็นหุ้นที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุน หาก BANPU ชนะคดี คาดราคาหุ้นจะเป็นบวก เรามองเป้าหมายในเชิงกลยุทธ์ไว้ที่ 25-26 บาท แต่หากแพ้คดี และตัวเลขที่ต้องจ่าย ไม่มีนัยยะต่อกำไรมากนัก ราคาหุ้นก็อาจปรับตัวขึ้นได้เช่นกัน (ผลตัดสิน ปี 2012 ศาลสั่งให้ BANPU จ่าย 3.17 หมื่นลบ. หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 6 บาท )
(+) TVO : (ราคาปิด 35.25 บาท)
TVO ได้รับผลบวกจากราคากากถั่วเหลืองปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 387 เหรียญสหรัฐฯ จากปลายปี 2017 ซึ่งอยู่ที่ 312 เหรียญ ปรับเพิ่มขึ้นมาถึง 24%YTDจากปรากฎการณ์ La Nina ในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งทำให้เกิดภาวะฝนแล้ง และเรามองว่าปี 2017 เป็นช่วงต่ำสุดของบริษัท โดยเราประมาณการ์กำไรสุทธิปี 2018 ที่ 2.2 พันล้านบาท (+69% YoY) .... ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 39.00 บาท
(+) IRPC: (ราคาปิด 8.05 บาท)
IRPC เป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น +2.2% โดย IEA ระบุว่า ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องจนถึงปี 2023 นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับปัจจัยหนุนจากข่าวการปิดแหล่งน้ำมัน เอล ฟีล ในประเทศลิเบีย และเรามองว่าประเด็นการซื้อหุ้น IRPC ของ PTT จะเป็นบวกต่อโครงสร้างบริษัทและกลยุทธการดำเนินธุรกิจของ IRPC
หุ้นมีประเด็น
(-) กลุ่มเหล็ก: ส.อ.ท.จับตาเหล็กจ่อทะลักเข้าไทย ผลกระทบทางอ้อมสหรัฐฯขึ้นภาษี
นายกรกต ผดุงจิตต์ เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า กรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก (เซฟการ์ด) อัตรา 25% และอะลูมิเนียม 10% นั้น ขณะนี้กลุ่มเหล็กได้ส่งข้อมูลไปยังกระทรวงพาณิชย์เพื่อประกอบการตัดสินใจระดับนโยบายแล้ว โดยประเด็นดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเหล็กทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะผลกระทบทางอ้อมที่จะเกิดจากเหล็กที่ไม่สามารถส่งออกไปยังสหรัฐได้ ซึ่งมีปริมาณ 27.03 ล้านตันนั้น มีโอกาสสูงที่จะเข้าสู่ตลาดอาเซียนและเสี่ยงที่จะส่งมาไทย คือ เหล็กเส้น เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี เหล็กแผ่นเคลือบดีบุก และเหล็กแผ่นเคลือบโครเมียม เนื่องจากไม่มีมาตรการทางการค้า (ที่มา: นสพ.โพสต์ ทูเดย์)
ความเห็น: เรายังมีมุมมองเป็นลบต่อธุรกิจเหล็กในประเทศจากกรณีดังกล่าว จากผลกระทบทางอ้อมต่อปริมาณเหล็กที่จะเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาเหล็กในประเทศอาจปรับตัวลดลง จะเป็นลบต่อผลประกอบการของธุรกิจเหล็กได้ ทั้งนี้ หลังจากทรัมป์มีการประกาศจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในช่วงต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาเหล็กในสหรัฐ (Nymex HR Coil) ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 12% ขณะที่ราคาเหล็กในจีน (China Domestic HR Steel) ปรับตัวลดลงเล็กน้อย 0.7% อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประเทศไทยมีการออกมาตรการ AD ในบางกลุ่มสินค้า และเราคาดว่าจะไม่มีผลกระทบมากนักต่อบริษัทเหล็กใน SET ที่เราดูแลอยู่ (TMT, PAP)
(0) AOT: ทอท.เร่งการบินไทยจ่ายหนี้ ยึดคืนพื้นที่ฝ่ายช่างดอนเมือง
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยกรณีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. เร่งรัดให้ทวงหนี้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ชำระหนี้ค้างค่าเช่าใช้พื้นที่ บริเวณฝ่ายช่างด้านทิศเหนือท่าอากาศยานดอนเมือง ที่ทำเป็นอาคารสำนักงาน และศูนย์ซ่อมอากาศยาน พื้นที่กว่า 100,000 ตร.ม. วงเงินรวมประมาณ 3,000 ล้านบาท ว่า ได้ส่งหนังสือเร่งรัดแล้ว โดยการบินไทยรับทราบว่า ทอท. จะต้องใช้พื้นที่และพร้อมย้ายออก แต่ยังไม่ได้ระบุวันเวลา ที่ชัดเจนจึงให้การบินไทยไปปรับแผนการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้จริงคืนให้ ทอท.มาก่อนบางส่วน เนื่องจาก ทอท. มีแผนพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองระยะที่ 3 และต้องใช้พื้นที่มาเป็นอาคารสำนักงาน ทอท. หากการบินไทยยังไม่ชำระหนี้ ทอท. จะทำหนังสือเร่งรัดทวงหนี้เป็นระยะ (ที่มา: นสพ.กรุงเทพธุรกิจ)
ความเห็น: เรามองว่าการที่ AOT เร่งรัดคืนพื้นที่ดังกล่าว เพื่อดำเนินงานตามแผนพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองระยะที่ 3 ซึ่งจะช่วยทำให้ท่าอากาศยานดอนเมืองสามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารเพิ่มเป็น 40 ล้านคน จากปัจจุบันที่ 30 ล้านคน ทั้งนี้ หาก AOT ได้รับการชำระหนี้จะเป็นบวกต่อกระแสเงินสดที่ดีขึ้น เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ AOT ราคาเป้าหมาย 77 บาท
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยกรณีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. เร่งรัดให้ทวงหนี้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ชำระหนี้ค้างค่าเช่าใช้พื้นที่ บริเวณฝ่ายช่างด้านทิศเหนือท่าอากาศยานดอนเมือง ที่ทำเป็นอาคารสำนักงาน และศูนย์ซ่อมอากาศยาน พื้นที่กว่า 100,000 ตร.ม. วงเงินรวมประมาณ 3,000 ล้านบาท ว่า ได้ส่งหนังสือเร่งรัดแล้ว โดยการบินไทยรับทราบว่า ทอท. จะต้องใช้พื้นที่และพร้อมย้ายออก แต่ยังไม่ได้ระบุวันเวลา ที่ชัดเจนจึงให้การบินไทยไปปรับแผนการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้จริงคืนให้ ทอท.มาก่อนบางส่วน เนื่องจาก ทอท. มีแผนพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองระยะที่ 3 และต้องใช้พื้นที่มาเป็นอาคารสำนักงาน ทอท. หากการบินไทยยังไม่ชำระหนี้ ทอท. จะทำหนังสือเร่งรัดทวงหนี้เป็นระยะ (ที่มา: นสพ.กรุงเทพธุรกิจ)
ความเห็น: เรามองว่าการที่ AOT เร่งรัดคืนพื้นที่ดังกล่าว เพื่อดำเนินงานตามแผนพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองระยะที่ 3 ซึ่งจะช่วยทำให้ท่าอากาศยานดอนเมืองสามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารเพิ่มเป็น 40 ล้านคน จากปัจจุบันที่ 30 ล้านคน ทั้งนี้ หาก AOT ได้รับการชำระหนี้จะเป็นบวกต่อกระแสเงินสดที่ดีขึ้น เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ AOT ราคาเป้าหมาย 77 บาท
บทวิเคราะห์วันนี้
(+) TVO (ซื้อ/39 บาท) ราคาขายกากถั่วเหลืองปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ราคาขายกากถั่วเหลืองปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคากากถั่วเหลืองในตลาดโลก มีราคาสูงขึ้นค่อนข้างมาก เนื่องจากสภาวะอากาศที่แห้งแล้งในอาร์เจนตินา ส่งผลให้ผลผลิตถั่วเหลืองปรับตัวลดลง ราคากากถั่วเหลืองปรับตัวเพิ่มขึ้น และยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง เนื่องจากจีนยังคงมีความต้องการบริโภคถั่วเหลืองอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์ปรับราคาขายขึ้นได้ เราประมาณการณ์กำไรสุทธิปี 2018 ที่ 2.2 พันล้านบาท สูงขึ้นกว่าปี 2017 ที่ 1.3 พันล้านบาทแต่ต่ำกว่าปีที่ดีมากอย่างปี 2016 เราประเมินมูลค่า โดยอิงวิธี PE ที่ 15 เท่า ได้ราคาเหมาะสมที่ 39 บาท เรามีมุมมองว่า TVO ได้ผ่านพ้นจุดที่เลวร้ายที่สุดไปแล้ว และมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวดีขึ้น คาดว่า TVO จะสามารถจ่ายปันผลที่ดีขึ้นสำหรับผลประกอบการปี 2018 ผลตอบแทนเงินปันผล 6% ปรับคำแนะนำจาก”ถือ” เป็น “ซื้อ”
(+) TVO (ซื้อ/39 บาท) ราคาขายกากถั่วเหลืองปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ราคาขายกากถั่วเหลืองปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคากากถั่วเหลืองในตลาดโลก มีราคาสูงขึ้นค่อนข้างมาก เนื่องจากสภาวะอากาศที่แห้งแล้งในอาร์เจนตินา ส่งผลให้ผลผลิตถั่วเหลืองปรับตัวลดลง ราคากากถั่วเหลืองปรับตัวเพิ่มขึ้น และยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง เนื่องจากจีนยังคงมีความต้องการบริโภคถั่วเหลืองอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์ปรับราคาขายขึ้นได้ เราประมาณการณ์กำไรสุทธิปี 2018 ที่ 2.2 พันล้านบาท สูงขึ้นกว่าปี 2017 ที่ 1.3 พันล้านบาทแต่ต่ำกว่าปีที่ดีมากอย่างปี 2016 เราประเมินมูลค่า โดยอิงวิธี PE ที่ 15 เท่า ได้ราคาเหมาะสมที่ 39 บาท เรามีมุมมองว่า TVO ได้ผ่านพ้นจุดที่เลวร้ายที่สุดไปแล้ว และมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวดีขึ้น คาดว่า TVO จะสามารถจ่ายปันผลที่ดีขึ้นสำหรับผลประกอบการปี 2018 ผลตอบแทนเงินปันผล 6% ปรับคำแนะนำจาก”ถือ” เป็น “ซื้อ”
(0) CENTEL (ถือ/57 บาท) ธุรกิจโรงแรมเติบโตดี แต่ธุรกิจอาหารยังคงกดดัน
จากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ (5 มี.ค.) CENTEL ยังคงเป้าหมายการเติบโตของ RevPar ในปีนี้ที่ 3-4% YoY และคาดว่า Occupancy Rate ที่ 81-82% (เป็นไปตามที่เราคาดไว้) ส่วนธุรกิจอาหารตั้งเป้า SSSG ที่ระดับ 2-3% (เราประมาณการอย่างระมัดระวัง โดยคาดไว้ที่ 1.5% ขณะที่ปี 2017 ยัง -0.9%) ขณะที่เดือน พ.ค. จะเริ่ม Renovate 2 โรงแรม ทำให้เราคาดว่า ผลการดำเนินงานในช่วง 2Q18-4Q18 จะถูกผลกระทบจากการ Renovate ได้ ภาพรวมของธุรกิจอาหาร SSSG ในเดือน ม.ค. ผู้บริหารเปิดเผยว่า มีการอ่อนตัวลงอย่างมาก โดยเฉพาะ KFC และ Mister Donut แต่ธุรกิจโรงแรม RevPar ในเดือน ม.ค. ปรับตัว +4% YoY ทั้งนี้ เรามีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2018/2019 ลง 1.1%/1.7% จากการปรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนระบบ software เพิ่มเติม ยังคงคำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมายเดิมที่ 53 บาท
Analyst
Mongkol Puangpetra
License No: 001937
+662 648 1123
[email protected]
จากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ (5 มี.ค.) CENTEL ยังคงเป้าหมายการเติบโตของ RevPar ในปีนี้ที่ 3-4% YoY และคาดว่า Occupancy Rate ที่ 81-82% (เป็นไปตามที่เราคาดไว้) ส่วนธุรกิจอาหารตั้งเป้า SSSG ที่ระดับ 2-3% (เราประมาณการอย่างระมัดระวัง โดยคาดไว้ที่ 1.5% ขณะที่ปี 2017 ยัง -0.9%) ขณะที่เดือน พ.ค. จะเริ่ม Renovate 2 โรงแรม ทำให้เราคาดว่า ผลการดำเนินงานในช่วง 2Q18-4Q18 จะถูกผลกระทบจากการ Renovate ได้ ภาพรวมของธุรกิจอาหาร SSSG ในเดือน ม.ค. ผู้บริหารเปิดเผยว่า มีการอ่อนตัวลงอย่างมาก โดยเฉพาะ KFC และ Mister Donut แต่ธุรกิจโรงแรม RevPar ในเดือน ม.ค. ปรับตัว +4% YoY ทั้งนี้ เรามีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2018/2019 ลง 1.1%/1.7% จากการปรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนระบบ software เพิ่มเติม ยังคงคำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมายเดิมที่ 53 บาท
Analyst
Mongkol Puangpetra
License No: 001937
+662 648 1123
[email protected]