- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 02 March 2018 17:46
- Hits: 2581
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ถอยหุ้นใหญ่ รับผลลบจากตลาดต่างประเทศ”
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
คาดดัชนีฯ มีแนวโน้มอ่อนตัวลง แนวรับสำคัฐ 1810 และ 1790 จุด ตามดัชนีฯ Dow Jones ที่ลดลงสองวันถึง 3.1% … ด้วย 2 ตัวแปรหลักๆ คือ ความกังวลรอบใหม่ของสงครามการค้า จากวานนี้ ที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯเตรียมปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก-อลูมิเนียม หรือ safeguard tax เพื่อปกป้องผู้ผลิตสหรัฐฯ และตลาดยังเป็นกังวลต่ออัตราเร่งในการปรับดอกเบี้ยของ Fed ..... ค่าดอลล่าร์ ที่เดินหน้าต่อ (Dollar Index 90 จุด) กดดันต่อราคาน้ำมันดิบ และการรายงานกำไรของ SET ที่จะสิ้นสุดลงเช้าวันนี้ กำไรปี 2560 ที่รายงานมาแล้ว 521 บริษัท เติบโต 9.0% YoY (สูงกว่าที่เราคาดที่ 6.9%) และ 4Q-17 ขยายตัว 25% YoY ; 13% QoQ จากนี้ นักลงทุนจะไปให้ความสนใจกับการแถลงผลประกอบการและแนวโน้มของบริษัทต่างๆกัน และการคลื่อนไหวของราคาหุ้น PTT ที่มีผลต่อดัชนีฯค่อนข้างมาก
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
คาดดัชนีฯ มีแนวโน้มอ่อนตัวลง แนวรับสำคัฐ 1810 และ 1790 จุด ตามดัชนีฯ Dow Jones ที่ลดลงสองวันถึง 3.1% … ด้วย 2 ตัวแปรหลักๆ คือ ความกังวลรอบใหม่ของสงครามการค้า จากวานนี้ ที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯเตรียมปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก-อลูมิเนียม หรือ safeguard tax เพื่อปกป้องผู้ผลิตสหรัฐฯ และตลาดยังเป็นกังวลต่ออัตราเร่งในการปรับดอกเบี้ยของ Fed ..... ค่าดอลล่าร์ ที่เดินหน้าต่อ (Dollar Index 90 จุด) กดดันต่อราคาน้ำมันดิบ และการรายงานกำไรของ SET ที่จะสิ้นสุดลงเช้าวันนี้ กำไรปี 2560 ที่รายงานมาแล้ว 521 บริษัท เติบโต 9.0% YoY (สูงกว่าที่เราคาดที่ 6.9%) และ 4Q-17 ขยายตัว 25% YoY ; 13% QoQ จากนี้ นักลงทุนจะไปให้ความสนใจกับการแถลงผลประกอบการและแนวโน้มของบริษัทต่างๆกัน และการคลื่อนไหวของราคาหุ้น PTT ที่มีผลต่อดัชนีฯค่อนข้างมาก
กลยุทธ์การลงทุน:
นักลงทุนควรพิจารณาลดความเสี่ยง หุ้นขนาดใหญ่ที่อิงกับตลาดมากๆลง โดยเฉพาะหุ้นที่ราคาปรับขึ้นมามาก อาทิ PTT..... การอ่อนตัวของดัชนีฯ จะเป็นจังหวะเข้าลงทุนหุ้นที่มีปัจจัยหนุน แต่แนะให้เน้นเล่นสั้นๆ เป็นหลัก วันนี้ เราสนใจหุ้นที่ผลประกอบการและแนวโน้มดี อาทิ AH , BJC และหุ้นที่ถูกนำเข้าคำนวณดัชนีฯ FTSE รอบนี้ บางตัว ได้แก่ ORI , BCPG* และ M*
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์: ERW , CK*
หุ้นแนะนำทางเทคนิค: JMART, ORI, TKN
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) AH : (ราคาปิด 33.00 บาท)
AH เป็นหนึ่งในบริษัทชิ้นส่วนรถยนต์ ที่รายงานกำไร 4Q-17 ขยายตัวค่อนข้างมาก ที่ 376 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 163% YoY และ 55% QoQ ดีกว่าที่เราและตลาดคาดมาก โดยได้ปัจจัยบวกจากการเข้าลงทุนใน SGAH ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2017 ทำให้มีดอกเบี้ยรับและเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรใน SGAH มากขึ้น ขณะที่ธุรกิจหลักยังดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และด้วยแนวโน้มกำไร ปี 2018 ที่โต 16% ทำให้ปรับราคาเป้าหมายจาก 37 เป็น 42 บาท แนะนำ “ซื้อ” ... ล่าสุดประกาศจ่ายเงินปันผล @0.60 บาท “XD” 13 มี.ค.
(+) ERW : (ราคาปิด 8.60 บาท)
เรากลับมาให้ความสนใจต่อหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยว คือ โรงแรม ที่รับลูกค้าชาวจีน คือ ERW ผลประกอบการ 4Q –17 ออกมาที่ 162 ล้านบาท +57%YoY และ +104% QoQ มากกว่าที่เราและตลาดคาดไว้ 40% และ 20% ตามลำดับ จาก Occupancy Rate ที่ เพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ 83% (4Q16=77%) และรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (Rev Par) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 7% YoY จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นได้ดีทั้งจากจีน, รัสเซีย และอินเดีย
(+) CK*: (ราคาปิด 25.50 บาท)
เรามองว่า CK มีความน่าสนใจจากประเด็นเรื่องกระทรวงคมนาคมกำหนด timeline โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 2 แสนล้านบาท และโครงการรถไฟทางคู่อีก 2 เส้นทาง มูลค่า 1 แสนล้านบาทที่จะเข้า ครม. ในช่วงเดือน มี.ค. นอกจากนี้ CK ยังมีการกระจายการลงทุนไปยังบริษัทลูกอย่าง BEM, CKP, TTW
หุ้นมีประเด็น
(-) กลุ่มเหล็ก: "ทรัมป์" เผยสหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก 25%,อลูมิเนียม 10% สัปดาห์หน้า
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ประกาศว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และอลูมิเนียม 10% ในสัปดาห์หน้า โดยมาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะปกป้องอุตสาหกรรมของสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ปธน.ทรัมป์ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนว่า จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากประเทศใดบ้าง และจะดำเนินมาตรการดังกล่าวเป็นเวลานานเท่าใด (ที่มา: อินโฟเควสท์)
ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นลบต่อกลุ่มเหล็ก เนื่องจากหากสหรัฐมีการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าเหล็กจากจีน อาจทำให้ปริมาณเหล็กที่จีนเคยส่งออกไปสหรัฐกลับต้องถูกผลักดันมาขายในตลาดภูมิภาคเอเชียมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ราคาเหล็กมีโอกาสปรับตัวลดลงได้ จึงมองผลกระทบอาจเป็นลบต่อกลุ่มเหล็ก (TSTH, MILL, TMT, PAP, THE) อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันทางการจีนยังคงเดินหน้าลดกำลังการผลิตเหล็กในประเทศ อาจช่วยลดผลกระทบต่อราคาเหล็กได้ ทั้งนี้ ในกรณีที่ราคาเหล็กปรับตัวลดลงจะเป็นบวกต่อกลุ่มรับเหมา และคาดว่าจะเป็นบวกต่อ SMPC ที่มีการล็อคราคาขายถังแก๊สไว้ล่วงหน้าแล้ว
รวมถึงกรณีการขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียมในสหรัฐจะมีผลกระทบต่อต้นทุนรถยนต์ของผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐที่สูงขึ้น เรามองว่าจะเป็นผลบวกต่อผู้ผลิตรถยนต์ของประเทศอื่น โดยเฉพาะค่ายรถญี่ปุ่นที่จะได้เปรียบด้านราคาและขายได้มากขึ้น ซึ่งผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของไทยส่วนใหญ่ผลิตให้กับค่ายรถญี่ปุ่นอาจได้รับผลบวกด้วย เรามองว่ากลุ่มยานยนต์อาจได้ประโยชน์ในทางอ้อม (SAT, AH)
(+) ERW ปตท.คาดเสนอบอร์ดเม.ย.นี้ เคาะพันธมิตรลงทุนโรงแรมราคาประหยัดในปั๊ม 3 ราย
นางสาวจิราพร รองกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน PTT กล่าวว่า ขณะนี้ ปตท.อยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียด ธุรกิจโรงแรมราคาประหยัดในปั๊มปตท. เนื่องจากยังอยู่ในขั้นตอนสรรหาผู้ประกอบการ โรงแรมที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตรร่วมลงทุน (พาร์ทเนอร์) ซึ่งตามกระบวนการยังเหลืออีก 2 ขั้นตอน คือ การพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาการลงทุนคาดว่าจะนำเสนอได้ช่วงต้นเดือนมี.ค.นี้ ก่อนส่งเรื่องให้คณะกรรมการจัดการปตท.พิจารณาและบรรจุวาระเข้าสู่การประชุมบอร์ด ปตท.ได้เร็วสุดในช่วงเดือนเม.ย.นี้ และจะมีผู้ผ่านหลักเกณฑ์ให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3 ราย ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมและเกิดประโยชน์กับธุรกิจอย่างแท้จริง (ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ)
ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นบวกต่อ ERW หากได้ทำโรงแรมในปั้มของ PTT เพราะจะส่งผลดีต่อรายได้ที่จะเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต แต่เรายังไม่ทราบรายละเอียดในการร่วมลงทุนกันครั้งนี้ ขณะที่ทาง PTT มีการเลื่อนการอนุมัติการทำโรงแรมในปั้มมาตั้งแต่ช่วงเดือน ธ.ค. 2017 ซึ่งตอนนั้นได้ผู้ประกอบการโรงแรมที่ผ่านเกณฑ์พิจารณาแล้ว 3 ราย ได้แก่ 1.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป เจ้าของแบรนด์ Hop Inn 2.บริษัทโกลเบิ้ล พร๊อพเพอร์ตี้ คอนเซ้าติ้ง แอนด์ แมเนจเม้นท์ เจ้าของแบรนด์ บีทู และ 3.Wyndham Group (Kosmopolitan Hospitality) เจ้าของแบรนด์ ซูเปอร์ เอด (Super 8) จากที่ร่วมเสนอโมเดลธุรกิจ 5 ราย แต่อย่างไรก็ดี เราคาดว่า หาก ERW ไม่ได้ทำโรงแรมในปั้มก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไร เพราะจากการเติบโตของ ERW เองยังคงเติบโตได้ดี แต่มีการขยายโรงแรมอย่างต่อเนื่อง โดยเราคาดว่า ปี 2018 จะเปิดโรงแรมเพิ่มขึ้นทั้งหมด 9 แห่ง และคาดว่า การเติบโตของ EBITDA ยังคงเติบโตได้ที่ระดับสูงถึง 30% ต่อปี ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 10 บาท
นักลงทุนควรพิจารณาลดความเสี่ยง หุ้นขนาดใหญ่ที่อิงกับตลาดมากๆลง โดยเฉพาะหุ้นที่ราคาปรับขึ้นมามาก อาทิ PTT..... การอ่อนตัวของดัชนีฯ จะเป็นจังหวะเข้าลงทุนหุ้นที่มีปัจจัยหนุน แต่แนะให้เน้นเล่นสั้นๆ เป็นหลัก วันนี้ เราสนใจหุ้นที่ผลประกอบการและแนวโน้มดี อาทิ AH , BJC และหุ้นที่ถูกนำเข้าคำนวณดัชนีฯ FTSE รอบนี้ บางตัว ได้แก่ ORI , BCPG* และ M*
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์: ERW , CK*
หุ้นแนะนำทางเทคนิค: JMART, ORI, TKN
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) AH : (ราคาปิด 33.00 บาท)
AH เป็นหนึ่งในบริษัทชิ้นส่วนรถยนต์ ที่รายงานกำไร 4Q-17 ขยายตัวค่อนข้างมาก ที่ 376 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 163% YoY และ 55% QoQ ดีกว่าที่เราและตลาดคาดมาก โดยได้ปัจจัยบวกจากการเข้าลงทุนใน SGAH ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2017 ทำให้มีดอกเบี้ยรับและเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรใน SGAH มากขึ้น ขณะที่ธุรกิจหลักยังดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และด้วยแนวโน้มกำไร ปี 2018 ที่โต 16% ทำให้ปรับราคาเป้าหมายจาก 37 เป็น 42 บาท แนะนำ “ซื้อ” ... ล่าสุดประกาศจ่ายเงินปันผล @0.60 บาท “XD” 13 มี.ค.
(+) ERW : (ราคาปิด 8.60 บาท)
เรากลับมาให้ความสนใจต่อหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยว คือ โรงแรม ที่รับลูกค้าชาวจีน คือ ERW ผลประกอบการ 4Q –17 ออกมาที่ 162 ล้านบาท +57%YoY และ +104% QoQ มากกว่าที่เราและตลาดคาดไว้ 40% และ 20% ตามลำดับ จาก Occupancy Rate ที่ เพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ 83% (4Q16=77%) และรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (Rev Par) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 7% YoY จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นได้ดีทั้งจากจีน, รัสเซีย และอินเดีย
(+) CK*: (ราคาปิด 25.50 บาท)
เรามองว่า CK มีความน่าสนใจจากประเด็นเรื่องกระทรวงคมนาคมกำหนด timeline โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 2 แสนล้านบาท และโครงการรถไฟทางคู่อีก 2 เส้นทาง มูลค่า 1 แสนล้านบาทที่จะเข้า ครม. ในช่วงเดือน มี.ค. นอกจากนี้ CK ยังมีการกระจายการลงทุนไปยังบริษัทลูกอย่าง BEM, CKP, TTW
หุ้นมีประเด็น
(-) กลุ่มเหล็ก: "ทรัมป์" เผยสหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก 25%,อลูมิเนียม 10% สัปดาห์หน้า
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ประกาศว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และอลูมิเนียม 10% ในสัปดาห์หน้า โดยมาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะปกป้องอุตสาหกรรมของสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ปธน.ทรัมป์ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนว่า จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากประเทศใดบ้าง และจะดำเนินมาตรการดังกล่าวเป็นเวลานานเท่าใด (ที่มา: อินโฟเควสท์)
ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นลบต่อกลุ่มเหล็ก เนื่องจากหากสหรัฐมีการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าเหล็กจากจีน อาจทำให้ปริมาณเหล็กที่จีนเคยส่งออกไปสหรัฐกลับต้องถูกผลักดันมาขายในตลาดภูมิภาคเอเชียมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ราคาเหล็กมีโอกาสปรับตัวลดลงได้ จึงมองผลกระทบอาจเป็นลบต่อกลุ่มเหล็ก (TSTH, MILL, TMT, PAP, THE) อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันทางการจีนยังคงเดินหน้าลดกำลังการผลิตเหล็กในประเทศ อาจช่วยลดผลกระทบต่อราคาเหล็กได้ ทั้งนี้ ในกรณีที่ราคาเหล็กปรับตัวลดลงจะเป็นบวกต่อกลุ่มรับเหมา และคาดว่าจะเป็นบวกต่อ SMPC ที่มีการล็อคราคาขายถังแก๊สไว้ล่วงหน้าแล้ว
รวมถึงกรณีการขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียมในสหรัฐจะมีผลกระทบต่อต้นทุนรถยนต์ของผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐที่สูงขึ้น เรามองว่าจะเป็นผลบวกต่อผู้ผลิตรถยนต์ของประเทศอื่น โดยเฉพาะค่ายรถญี่ปุ่นที่จะได้เปรียบด้านราคาและขายได้มากขึ้น ซึ่งผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของไทยส่วนใหญ่ผลิตให้กับค่ายรถญี่ปุ่นอาจได้รับผลบวกด้วย เรามองว่ากลุ่มยานยนต์อาจได้ประโยชน์ในทางอ้อม (SAT, AH)
(+) ERW ปตท.คาดเสนอบอร์ดเม.ย.นี้ เคาะพันธมิตรลงทุนโรงแรมราคาประหยัดในปั๊ม 3 ราย
นางสาวจิราพร รองกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน PTT กล่าวว่า ขณะนี้ ปตท.อยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียด ธุรกิจโรงแรมราคาประหยัดในปั๊มปตท. เนื่องจากยังอยู่ในขั้นตอนสรรหาผู้ประกอบการ โรงแรมที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตรร่วมลงทุน (พาร์ทเนอร์) ซึ่งตามกระบวนการยังเหลืออีก 2 ขั้นตอน คือ การพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาการลงทุนคาดว่าจะนำเสนอได้ช่วงต้นเดือนมี.ค.นี้ ก่อนส่งเรื่องให้คณะกรรมการจัดการปตท.พิจารณาและบรรจุวาระเข้าสู่การประชุมบอร์ด ปตท.ได้เร็วสุดในช่วงเดือนเม.ย.นี้ และจะมีผู้ผ่านหลักเกณฑ์ให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3 ราย ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมและเกิดประโยชน์กับธุรกิจอย่างแท้จริง (ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ)
ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นบวกต่อ ERW หากได้ทำโรงแรมในปั้มของ PTT เพราะจะส่งผลดีต่อรายได้ที่จะเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต แต่เรายังไม่ทราบรายละเอียดในการร่วมลงทุนกันครั้งนี้ ขณะที่ทาง PTT มีการเลื่อนการอนุมัติการทำโรงแรมในปั้มมาตั้งแต่ช่วงเดือน ธ.ค. 2017 ซึ่งตอนนั้นได้ผู้ประกอบการโรงแรมที่ผ่านเกณฑ์พิจารณาแล้ว 3 ราย ได้แก่ 1.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป เจ้าของแบรนด์ Hop Inn 2.บริษัทโกลเบิ้ล พร๊อพเพอร์ตี้ คอนเซ้าติ้ง แอนด์ แมเนจเม้นท์ เจ้าของแบรนด์ บีทู และ 3.Wyndham Group (Kosmopolitan Hospitality) เจ้าของแบรนด์ ซูเปอร์ เอด (Super 8) จากที่ร่วมเสนอโมเดลธุรกิจ 5 ราย แต่อย่างไรก็ดี เราคาดว่า หาก ERW ไม่ได้ทำโรงแรมในปั้มก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไร เพราะจากการเติบโตของ ERW เองยังคงเติบโตได้ดี แต่มีการขยายโรงแรมอย่างต่อเนื่อง โดยเราคาดว่า ปี 2018 จะเปิดโรงแรมเพิ่มขึ้นทั้งหมด 9 แห่ง และคาดว่า การเติบโตของ EBITDA ยังคงเติบโตได้ที่ระดับสูงถึง 30% ต่อปี ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 10 บาท
(0) MTLS ยังมีมุมมองบวก คาด พรบ.ใหม่ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
จากการประชุมนักวิเคราะห์ MTLS วันพุธที่ผ่านมา (28 ก.พ.2018) ผู้บริหารยังมีความมั่นใจผลการดำเนินงานที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากการขยายสาขา ณ สิ้นปี 2018 ที่ 2.8 พันสาขา และสินเชื่อจะขยายตัวสูงมากกว่า 40% ในขณะที่ด้านค่าใช้จ่ายอาจจะมีการปรับลด Cost-to-income ratio จากการประหยัดต่อขนาด และการขยายสาขาที่จะเน้นขยายสาขาขนาดกลาง และขนาดเล็กมากกว่าขนาดใหญ่ นอกจากนี้บริษัทจะยังตั้งเป้ารักษา NPLs ให้อยู่ต่ำกว่า 1.5% และคาดว่าจะสามารถเห็นความชัดเจนของการตั้งสำรองตาม IFRS9 ใน 2Q18 นี้ รวมทั้งบรืคาดว่ามีโอกาสในการทำ Banking Agent ในขณะที่ผลกระทบจากข้อบังคับสัญญาเช่าซื้อใหม่ และการตั้งองค์กรของกระทรวงการคลังมาดูแลสถาบันการเงินที่ ธปท. ยังไม่ได้ควบคุมนั้น ผู้บริหารมองว่าเป็นผลดีต่อการดำเนินงานทั้งจากการที่จะมีองค์กรที่ควบคุมเพื่อดูแลรักษาผลประโยชน์ของลูกหนี้ และควบคุมผู้ประกอบการ จะส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่มีประสิทธิภาพในอุตสาหกรรม, มีการควบคุมอัตราผลตอบแทนไม่ให้เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยเราคาดว่าอัตรานี้ไม่น่าจะมากกว่า 36% ที่เป็นอัตราดอกเบี้ย รวมค่าธรรมเนียมทั้งหมดของสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ (สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน) เรามองว่าการควบคุมนี้จะก่อให้เกิดผลดีต่อ MTLS เนื่องจากบริษัทมีอัตราผลตอบแทนรวมที่ 25% ซึ่งต่ำกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรม โดยเรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 48.00 บาท
จากการประชุมนักวิเคราะห์ MTLS วันพุธที่ผ่านมา (28 ก.พ.2018) ผู้บริหารยังมีความมั่นใจผลการดำเนินงานที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากการขยายสาขา ณ สิ้นปี 2018 ที่ 2.8 พันสาขา และสินเชื่อจะขยายตัวสูงมากกว่า 40% ในขณะที่ด้านค่าใช้จ่ายอาจจะมีการปรับลด Cost-to-income ratio จากการประหยัดต่อขนาด และการขยายสาขาที่จะเน้นขยายสาขาขนาดกลาง และขนาดเล็กมากกว่าขนาดใหญ่ นอกจากนี้บริษัทจะยังตั้งเป้ารักษา NPLs ให้อยู่ต่ำกว่า 1.5% และคาดว่าจะสามารถเห็นความชัดเจนของการตั้งสำรองตาม IFRS9 ใน 2Q18 นี้ รวมทั้งบรืคาดว่ามีโอกาสในการทำ Banking Agent ในขณะที่ผลกระทบจากข้อบังคับสัญญาเช่าซื้อใหม่ และการตั้งองค์กรของกระทรวงการคลังมาดูแลสถาบันการเงินที่ ธปท. ยังไม่ได้ควบคุมนั้น ผู้บริหารมองว่าเป็นผลดีต่อการดำเนินงานทั้งจากการที่จะมีองค์กรที่ควบคุมเพื่อดูแลรักษาผลประโยชน์ของลูกหนี้ และควบคุมผู้ประกอบการ จะส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่มีประสิทธิภาพในอุตสาหกรรม, มีการควบคุมอัตราผลตอบแทนไม่ให้เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยเราคาดว่าอัตรานี้ไม่น่าจะมากกว่า 36% ที่เป็นอัตราดอกเบี้ย รวมค่าธรรมเนียมทั้งหมดของสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ (สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน) เรามองว่าการควบคุมนี้จะก่อให้เกิดผลดีต่อ MTLS เนื่องจากบริษัทมีอัตราผลตอบแทนรวมที่ 25% ซึ่งต่ำกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรม โดยเรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 48.00 บาท
บทวิเคราะห์วันนี้
(+) AH (ซื้อ/42 บาท) กำไรสุทธิ 4Q17 แข็งแกร่งและดีกว่าคาดมาก
AH รายงานกำไรสุทธิ 4Q17 โดดเด่นที่ 376 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 163% YoY และ 55% QoQ ดีกว่าที่เราและตลาดคาดมาก โดยได้ปัจจัยบวกจากการเข้าลงทุนใน SGAH ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2017 ทำให้เริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรใน SGAH มากขึ้น และได้รับดอกเบี้ยจากการปล่อยกู้ให้ SGAH ในจำนวนที่สูง ขณะที่ธุรกิจหลักยังดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งรายได้และอัตรากำไรขั้นต้น ส่งผลให้กำไรสุทธิรวมทั้งปี 2017 อยู่ที่ 1,158 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 113% YoY เรามีการปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2018 ขึ้นจากเดิม 16% เป็น 1,344 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น 16% YoY โดยปรับเพิ่มส่วนแบ่งกำไรจาก SGAH เพิ่มขึ้น และปรับคาดการณ์อัตรากำไรขึ้นต้นเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ โดยปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 42 บาท จากเดิมที่ 37 บาท
(+) AH (ซื้อ/42 บาท) กำไรสุทธิ 4Q17 แข็งแกร่งและดีกว่าคาดมาก
AH รายงานกำไรสุทธิ 4Q17 โดดเด่นที่ 376 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 163% YoY และ 55% QoQ ดีกว่าที่เราและตลาดคาดมาก โดยได้ปัจจัยบวกจากการเข้าลงทุนใน SGAH ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2017 ทำให้เริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรใน SGAH มากขึ้น และได้รับดอกเบี้ยจากการปล่อยกู้ให้ SGAH ในจำนวนที่สูง ขณะที่ธุรกิจหลักยังดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งรายได้และอัตรากำไรขั้นต้น ส่งผลให้กำไรสุทธิรวมทั้งปี 2017 อยู่ที่ 1,158 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 113% YoY เรามีการปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2018 ขึ้นจากเดิม 16% เป็น 1,344 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น 16% YoY โดยปรับเพิ่มส่วนแบ่งกำไรจาก SGAH เพิ่มขึ้น และปรับคาดการณ์อัตรากำไรขึ้นต้นเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ โดยปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 42 บาท จากเดิมที่ 37 บาท
(+) BJC (ซื้อ/63.00 บาท) กำไรสูงกว่าคาด การบริโภคยังโตต่อเนื่อง
รายงานกำไรสุทธิ 1.86 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 31% YoY และ 34%QoQ ดีกว่าที่คาด โดยมีการทำกำไรที่ดีขึ้นจากทุกกลุ่มธุรกิจ เรามองว่า ในปี 2018 ยังเติบโตต่อเนื่อง โดย BIGC มีแผนเดินหน้าเปิดสาขาใหม่ต่อเนื่อง และยังมีแผนขยายเตาแก้วโรงที่ 5 รวมถึง คาดว่าการปรับโครงสร้างภาษีจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ ซึ่งจะทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากการกลับรายการภาษี ตลอดจนการรับรู้รายได้เต็มปีจากสาขาของ BIGC 9 แห่งที่เปิดไปในปี 2017 เราประเมินมูลค่า โดยอิงวิธีส่วนลดกระแสเงินสด (DCF) โดยอิง WACC ที่ 6.4% และ terminal growth 3% สะท้อนธุรกิจที่ยังเติบโตในระยะยาว ได้ราคาเหมาะสมที่ 63 บาท ซึ่งใกล้เคียงกับ PER ในอดีตที่ประมาณ 39 เท่า แนะนำ “ซื้อ”
รายงานกำไรสุทธิ 1.86 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 31% YoY และ 34%QoQ ดีกว่าที่คาด โดยมีการทำกำไรที่ดีขึ้นจากทุกกลุ่มธุรกิจ เรามองว่า ในปี 2018 ยังเติบโตต่อเนื่อง โดย BIGC มีแผนเดินหน้าเปิดสาขาใหม่ต่อเนื่อง และยังมีแผนขยายเตาแก้วโรงที่ 5 รวมถึง คาดว่าการปรับโครงสร้างภาษีจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ ซึ่งจะทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากการกลับรายการภาษี ตลอดจนการรับรู้รายได้เต็มปีจากสาขาของ BIGC 9 แห่งที่เปิดไปในปี 2017 เราประเมินมูลค่า โดยอิงวิธีส่วนลดกระแสเงินสด (DCF) โดยอิง WACC ที่ 6.4% และ terminal growth 3% สะท้อนธุรกิจที่ยังเติบโตในระยะยาว ได้ราคาเหมาะสมที่ 63 บาท ซึ่งใกล้เคียงกับ PER ในอดีตที่ประมาณ 39 เท่า แนะนำ “ซื้อ”
(0) AMATA (ซื้อ / 30.00 บาท) คาดยอดขายที่ดินจะกลับมาอย่างแข็งแกร่ง
บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 4Q17 ที่ 316 ล้านบาท (-58%YoY และ - 46%QoQ) หรือคิดเป็นกำไรสุทธปี 2017 ที่ 1.4 พันล้านบาท ต่ำกว่าที่เราคาด โดยบริษัทมีรายได้ยอดขายที่ดินในนิคมที่ 564 ล้านบาท (-44%YoY และ - 22%QoQ) ลดลงตามยอดโอนที่ดินที่อ่อนตัวลงจาก 4Q16 และ 1Q17 อย่างไรก็ตามบริษัทมีรายได้จากการให้บริการเพิ่มขึ้น 9%YoY จากปริมาณการใช้น้ำ และการเรียกเก็บค่าบำบัดน้ำเสียที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น 717%YoY เราคาดว่าบริษัทจะกลับมามียอดขายที่ดินโดดเด่นภายหลัง พรบ. EEC มีผลบังคับใช้ (คาด 1H18) รวมทั้งบริษัทจะมีรายได้ประจำเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% และรายได้ส่วนแบ่งเงินลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น ตามการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า Amata B-Grimm Power ที่จะเปิดดำเนินงานเพิ่มขึ้นในปี 2018 อีก 3 โรง คงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 30.00 บาท (อิงวิธี SOTP)
บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 4Q17 ที่ 316 ล้านบาท (-58%YoY และ - 46%QoQ) หรือคิดเป็นกำไรสุทธปี 2017 ที่ 1.4 พันล้านบาท ต่ำกว่าที่เราคาด โดยบริษัทมีรายได้ยอดขายที่ดินในนิคมที่ 564 ล้านบาท (-44%YoY และ - 22%QoQ) ลดลงตามยอดโอนที่ดินที่อ่อนตัวลงจาก 4Q16 และ 1Q17 อย่างไรก็ตามบริษัทมีรายได้จากการให้บริการเพิ่มขึ้น 9%YoY จากปริมาณการใช้น้ำ และการเรียกเก็บค่าบำบัดน้ำเสียที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น 717%YoY เราคาดว่าบริษัทจะกลับมามียอดขายที่ดินโดดเด่นภายหลัง พรบ. EEC มีผลบังคับใช้ (คาด 1H18) รวมทั้งบริษัทจะมีรายได้ประจำเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% และรายได้ส่วนแบ่งเงินลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น ตามการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า Amata B-Grimm Power ที่จะเปิดดำเนินงานเพิ่มขึ้นในปี 2018 อีก 3 โรง คงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 30.00 บาท (อิงวิธี SOTP)
(0) BDMS (ซื้อ/25 บาท) กำไรสุทธิ 4Q17 ตามที่เราและตลาดคาด
BDMS รายงานกำไรสุทธิ 4Q17 ที่ 2,035 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% YoY แต่ลดลง 16% QoQ ใกล้เคียงกับที่เราและตลาดคาด โดยการเติบโต YoY มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นทั้งจากผู้ป่วยชาวไทย และต่างชาติ และอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นจากการที่มีแผนลดต้นทุนตั้งแต่ต้นปี แต่กำไรลดลง QoQ ตามผลของฤดูกาล สำหรับรวมทั้งปี 2017 มีกำไรสุทธิ 10,216 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% YoY เนื่องจากมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้น BH หากไม่รวมจะได้กำไรปกติที่ 8,021 ล้านบาท ลดลง 2% YoY ส่วนปี 2018 เรายังคงประมาณการกำไรปกติที่ 8,845 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% YoY จากมีโรคมีความรุนแรงมากขึ้น และคนไข้ต่างชาติกลับมา ทั้งนี้ เรายังคงราคาเป้าหมายปี 2018 ที่ 25.00 บาท และคงคำแนะนำ ซื้อ
BDMS รายงานกำไรสุทธิ 4Q17 ที่ 2,035 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% YoY แต่ลดลง 16% QoQ ใกล้เคียงกับที่เราและตลาดคาด โดยการเติบโต YoY มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นทั้งจากผู้ป่วยชาวไทย และต่างชาติ และอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นจากการที่มีแผนลดต้นทุนตั้งแต่ต้นปี แต่กำไรลดลง QoQ ตามผลของฤดูกาล สำหรับรวมทั้งปี 2017 มีกำไรสุทธิ 10,216 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% YoY เนื่องจากมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้น BH หากไม่รวมจะได้กำไรปกติที่ 8,021 ล้านบาท ลดลง 2% YoY ส่วนปี 2018 เรายังคงประมาณการกำไรปกติที่ 8,845 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% YoY จากมีโรคมีความรุนแรงมากขึ้น และคนไข้ต่างชาติกลับมา ทั้งนี้ เรายังคงราคาเป้าหมายปี 2018 ที่ 25.00 บาท และคงคำแนะนำ ซื้อ
(0) BGRIM (ซื้อ/36.50 บาท) กำไรปกติ 4Q17 ตามคาด
BGRIM ประกาศกำไรปกติ 4Q17 ที่ 362 ล้านบาท (ตามคาด) -3% QoQ จาก Maintenance shutdown ตามแผนในโรงไฟฟ้าหลัก ในขณะที่กลับมามีกำไรเมื่อเทียบ YoY จากกำลังการผลิตตามสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น 277 MW จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้หากรวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจะทำให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 457 ล้าบบาท (-20% QoQ, Turnaround YoY) และส่งผลให้กำไรสุทธิทั้งปี 2017 +54% YoY โดยเรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบในระยะ 5 ปีข้างหน้าคาดเติบโตเฉลี่ย 24% ต่อปี (CAGR 2017-22) จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง พร้อม Upside จากโครงการในต่างประเทศ คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 36.50 บาท2
BGRIM ประกาศกำไรปกติ 4Q17 ที่ 362 ล้านบาท (ตามคาด) -3% QoQ จาก Maintenance shutdown ตามแผนในโรงไฟฟ้าหลัก ในขณะที่กลับมามีกำไรเมื่อเทียบ YoY จากกำลังการผลิตตามสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น 277 MW จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้หากรวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจะทำให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 457 ล้าบบาท (-20% QoQ, Turnaround YoY) และส่งผลให้กำไรสุทธิทั้งปี 2017 +54% YoY โดยเรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบในระยะ 5 ปีข้างหน้าคาดเติบโตเฉลี่ย 24% ต่อปี (CAGR 2017-22) จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง พร้อม Upside จากโครงการในต่างประเทศ คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 36.50 บาท2
(-) HANA (ถือ/46 บาท) กำไรสุทธิ 4Q17 ต่ำกว่าที่ตลาดคาด
HANA รายงานกำไรสุทธิ 4Q17 ที่ 625 ล้านบาท ลดลง 2% YoY และ 19% QoQ ต่ำกว่าที่ตลาดคาด 4% หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจะได้กำไรปกติที่ 512 ล้านบาท ลดลง 33% YoY และ 21% QoQ ซึ่งการที่กำไรลดลง YoY มาจากรายได้ในรูปสกุลเงินดอลลาร์เติบโตเพียงเล็กน้อย แต่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาก สำหรับรวมทั้งปี 2017 มีอยู่ที่ 2,888 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% YoY หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจะได้กำไรปกติที่ 2,357 ล้านบาท เติบโต 16% YoY จากอุตสาหกรรมที่เติบโตได้ดีในช่วง 9M17 ส่วนปี 2018 เราปรับกำไรปกติลง 15% เพื่อสะท้อนค่าเงินบาทและการเติบโตของรายได้ที่ชะลอตัวลงใน 4Q17 เราจึงปรับราคาเป้าหมายลงมาที่ 46 บาท เดิม 60 บาท และแนะนำเพียง ถือ เดิม ซื้อ
HANA รายงานกำไรสุทธิ 4Q17 ที่ 625 ล้านบาท ลดลง 2% YoY และ 19% QoQ ต่ำกว่าที่ตลาดคาด 4% หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจะได้กำไรปกติที่ 512 ล้านบาท ลดลง 33% YoY และ 21% QoQ ซึ่งการที่กำไรลดลง YoY มาจากรายได้ในรูปสกุลเงินดอลลาร์เติบโตเพียงเล็กน้อย แต่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาก สำหรับรวมทั้งปี 2017 มีอยู่ที่ 2,888 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% YoY หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจะได้กำไรปกติที่ 2,357 ล้านบาท เติบโต 16% YoY จากอุตสาหกรรมที่เติบโตได้ดีในช่วง 9M17 ส่วนปี 2018 เราปรับกำไรปกติลง 15% เพื่อสะท้อนค่าเงินบาทและการเติบโตของรายได้ที่ชะลอตัวลงใน 4Q17 เราจึงปรับราคาเป้าหมายลงมาที่ 46 บาท เดิม 60 บาท และแนะนำเพียง ถือ เดิม ซื้อ
(-) SAWAD (ถือ / 67.00 บาท) กำไรปกติต่ำคาด อนาคตยังไม่แน่นอน
บริษัทรายงานกำไรสุทธิที่ 725 ล้านบาทขยายตัว 19%YoY และ 17%QoQ อย่างไรก็ตามบริษัทมีรายได้พิเศษจากการซื้อ BFIT ในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมจำนวน 186 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 539 ล้านบาท (-11%YoY และ -13%QoQ) หรือคิดเป็นกำไรสุทธิปกติปี 2017 ที่ 2.4 พันล้านบาทต่ำกว่าที่เราคาด โดยบริษัทมีการขยายสินเชื่อของเงินให้กู้ยืมผ่านทาง BFIT และ S2014 ที่ 19% และสินเชื่อเช่าซื้อ 40% ผ่านเครือข่ายสาขาทั่วประเทศจำนวนกว่า 2.5 พันสาขา อย่างไรก็ตามเราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 ลดลง 7% อยู่ที่ 3.3 พันล้านบาท (23%) จากสำรองต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Coverage Ratio) ของสินเชื่อเช่าซื้อใน 4Q17 ต่ำกว่า 50% และ NPLs ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนมาอยู่ที่ 4.7% โดยเป็น NPLs ของสินเชื่อเช่าซื้อสูงถึง 7.9% จากความเสี่ยงในการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับ IFRS9 ในอนาคตเราจึงปรับลดคำแนะนำเป็น ถือ ที่ราคาเป้าหมาย 67.00 บาท (อิง PBV 6.1X)
Analyst
Mongkol Puangpetra
License No: 001937
+662 648 1123
[email protected]
บริษัทรายงานกำไรสุทธิที่ 725 ล้านบาทขยายตัว 19%YoY และ 17%QoQ อย่างไรก็ตามบริษัทมีรายได้พิเศษจากการซื้อ BFIT ในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมจำนวน 186 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 539 ล้านบาท (-11%YoY และ -13%QoQ) หรือคิดเป็นกำไรสุทธิปกติปี 2017 ที่ 2.4 พันล้านบาทต่ำกว่าที่เราคาด โดยบริษัทมีการขยายสินเชื่อของเงินให้กู้ยืมผ่านทาง BFIT และ S2014 ที่ 19% และสินเชื่อเช่าซื้อ 40% ผ่านเครือข่ายสาขาทั่วประเทศจำนวนกว่า 2.5 พันสาขา อย่างไรก็ตามเราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 ลดลง 7% อยู่ที่ 3.3 พันล้านบาท (23%) จากสำรองต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Coverage Ratio) ของสินเชื่อเช่าซื้อใน 4Q17 ต่ำกว่า 50% และ NPLs ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนมาอยู่ที่ 4.7% โดยเป็น NPLs ของสินเชื่อเช่าซื้อสูงถึง 7.9% จากความเสี่ยงในการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับ IFRS9 ในอนาคตเราจึงปรับลดคำแนะนำเป็น ถือ ที่ราคาเป้าหมาย 67.00 บาท (อิง PBV 6.1X)
Analyst
Mongkol Puangpetra
License No: 001937
+662 648 1123
[email protected]