WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

KTBบล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Technical Daily

SET INDEX
1786.66  +1.22(+0.07) // Vol.55,919
  มีความผันผวนสูง ด้วยการเปิดตัวลง และแรงซื้อกลับหลังจากที่เข้าใกล้แนวรับ  ลุ้นยืน 1758 ให้อยู่
กรอบการเคลื่อนไหว 1753-1790
  ดัชนีวานนี้มีทิศทางแกว่งตัวออกข้างที่ชะลอทั้งด้านขาลงและการ Rebound ทำได้ดีสุดของวันที่ 1796 จุด ขณะที่ด้านล่างลงไม่ลึกอยู่ที่ 1781 จุด โดยส่วนใหญ่เน้นเก็งกำไรในหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ก่อนที่ดัชนีจะทำปิดที่ 1786 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ลดลงเหลือระดับ 5 หมื่นกว่าล้านบาท จากภาพดังกล่าวดูเหมือนแนวโน้มดัชนียังคงมีความก้ำกึ่งได้ทั้งทางขึ้นและลง ตราบใดที่ยังไม่สามารถยืน 1800 จุดได้ บวกกับ Sentiment ในเชิงลบของตลาดเพื่อนบ้านยังรบกวนอยู่ ทำให้ดัชนีมีโอกาสพักตัวอีกรอบ และมีโอกาสลงมาปิด Gap ที่เปิดไว้เมื่อ 3 ม.ค. 61 (1753-1758)
แนวรับ 1773 // 1753 // 1746
แนวต้าน 1790-1795
Technical Analyst :  พรรณนภา  เขมะสุรัตน์ // เลขทะเบียน 060110 // Tel. : 02-648-1124 // phannapa.k@ktbst .co.th

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell
“ ถูกกดดันจาก ตลาดหุ้นสหรัฐฯอีกระลอก”
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
  ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงอย่างมากที่ระดับ 1,032 จุด หรือ -4% ในช่วงคืนที่ผ่านมา เป็นผลจากความกังวลด้านดอกเบี้ยและ bond yield ที่ปรับตัวขึ้น คาดตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลงตามภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศ อย่างไรก็ตามเรามองว่าการปรับตัวลงของดัชนีไทยจะไม่แรงเท่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเราให้แนวรับที่ระดับ 1,760 จุด .... ปัจจัยภายนอกได้แก่ ตัวเลขการว่างงานต่ำสุดในรอบ 45 ปี,  ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวลง, และติดตามเรื่องการโหวตร่างงบประมาณของวุฒิสภาสหรัฐฯเพื่อหลีกเลี่ยงการชัตดาวน์ คาดว่าจะสามารถผ่านพ้นไปได้.... ส่วนปัจจัยในประเทศ ททท. คาดยอดท่องเที่ยวช่วงตรุษจีนคึกคัก, และ กระทรงการคลังเตรียมพ.ร.บ.ร่วมทุน (พ.ร.บ.PPP) สำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
กลยุทธ์การลงทุน:
  ภาพระยะสั้นตลาดยังปรับฐานแต่ไม่ลงลึก การปรับตัวลงของดัชนีจะเป็นโอกาสที่ดีในการ “ทยอยซื้อ”  แต่หากหลุดแนวรับที่ระดับ 1,760 แนะนำให้หาจังหวะในการ cut loss  การเข้าเก็งกำไรระหว่างวันยังคงต้องเลือกซื้อเป็นรายตัวหรือ selective buy เน้นหุ้นที่มีลักษณะ domestic play หรือหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว …. ยังแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกลุ่มน้ำมัน-ปิโตรเคมี เนื่องจากราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง .... โดยหุ้นที่ติด most active และคาดว่าตลาดจะให้ความสนใจได้แก่ AMATA, GULF*
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) AMATA:
  เรายังคงเลือก AMATA เป็นหุ้นที่น่าสนใจต่อเนื่อง โดยเรามองว่า AMATA เป็นหุ้นที่อิงปัจจัยในประเทศ, ได้รับผลบวกจากมาตรการ EEC และ AMATA ได้รับปัจจัยบวกจากการที่ สนช. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. อีอีซี ประกาศใช้เป็นกฎหมาย .... ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 30.00 บาท
(+) AU:
  ปริมาณการซื้อขายของ AU เพิ่มขึ้นมากในช่วงวานนี้ โดยเรามองว่า AU เป็นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวจากแผนการขยายสาขา ซึ่งบริษัทตั้งเป้าการเปิดสาขาจำนวนอีก 10 สาขา จากปี 2017 ที่มีทั้งสิ้น 27 สาขา  มีแผนหาตัวแทนแฟรนไชส์ในต่างประเทศ (เริ่มที่มาเลเซีย)  .... ผลสำรวจคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2017-2018 รวบรวมโดย Bloomberg ยังเติบโตสูงที่ +32% และ 31% ที่ 130 ล้านบาท และ 170 ล้านบาท ตามลำดับ
(+) HANA:
  เรามองว่าจะมีแรงซื้อเข้ามายัง HANA จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับราว 31.85 บาท/ดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น +1.2% เมื่อเทียบกับช่วงสัปดาห์ก่อน อีกทั้ง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ยังกล่าวว่าส่งออกมีโอกาสเติบโตกว่าที่กระทรงพาณิชย์ประเมินไว้ที่ 6% ...  ในฝั่งของรายได้ของบริษัทฯ  พบว่ามีการขยายตัวต่อเนื่อง .... ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 60.00 บาท
หุ้นมีประเด็น
(+) Industrial Estate (Overweight)
  ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เขตพัฒนาพิเศษภาค ตะวันออก พ.ศ. ..หรือ"กฎหมาย อีอีซี"ในชั้นให้ความเห็นชอบในวาระ 2 และ 3 หลังจากที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.)วิสามัญได้พิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว โดยหลังจากนี้ประธานสนช.จะส่งร่างกฎหมายให้นายกรัฐมนตรีเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯต่อไป (ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ)
  ความเห็น: เรามองว่าการผ่านร่าง พรบ. อีอีซีข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความชัดเจนของ พรบ.อีอีซี และจะหนุนให้เกิดการลงทุนในเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเพิ่มขึ้น ทั้งในจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และ ระยอง และพื้นที่อื่นๆที่ มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ ในการดำเนินการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค ซึ่งมีงบประมาณการลงทุนในช่วง 10 ปีไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านล้านบาท เรายังคงชอบหุ้นในกลุ่มนิคมฯที่จะได้รับผลบวกจากการขายที่ดินได้เพิ่มขึ้น และรายได้จากการให้บริการสาธารณูปโภคในนิคม ได้แก่ AMATA และ WHA ที่ราคาเหมาะสม 30 และ 5 บาท ตามลำดับ         
  
(+) IVL (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 63 บาท)
  ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะใช้ซื้อหุ้นสามัญบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 2 หรือ IVL-W2 ได้รับการแปลงสภาพรอบล่าสุด (31 ม.ค. 2561) สูงถึง 166 ล้านหน่วย ส่งผลให้บริษัทรับเงินระดมทุนเข้ามาสูงถึง 7,148 ล้านบาท จะช่วยสนับสนุนให้บริษัทมีฐานเงินทุนแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
  ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นบวกต่อข่าวดังกล่าว IVL ได้รับเงินจากการระดมทุนเพื่อสร้างโอกาสเติบโตจากการซื้อสินทรัพย์จากคู่แข่ง เช่น โรงงาน PET และ PTA ที่ประสบปัญหาของ M&G ในสหรัฐฯ, เม็กซิโกและบราซิล รวมถึงยังมีโรงงาน PET ในเบลเยี่ยม ของ JBF ซึ่ง IVL คาดจะสรุปแผนการซื้อสินทรัพย์ของ M&G ใน 1Q18 และของ JBF ในช่วงไตรมาส 3Q18 โดยการที่คู่แข่งขันอย่าง M&G และ JBF ประสบปัญหาทางการเงินและยังไม่สามารถขึ้นกำลังการผลิตได้ จะส่งผลให้สเปรด pet ในยุโรปและสหรัฐฯอยู่ในระดับดี 210-230 เหรียญ ชดเชย dilution ที่ต่ำเพียง 3%ได้ แนะนำ ซื้อ IVL ราคาเป้าหมาย 63 บาท
(+) LHBANK (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 1.92 บาท)
  จากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ (8 ก.พ.) LHBANK ตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อปี 2018 เพิ่มขึ้น 10-15% YoY (ใกล้เคียงกับที่เราคาดไว้ที่ 10% YoY) ตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่โตได้ดีโดยจะมาจากสินเชื่อรายใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับภาคการผลิตมากขึ้น ในส่วนของการเป็น partner กับทาง CTBC น่าจะเห็น synergy ในช่วงปลายปี 2018 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องของ Trade Finance และ Digital Banking ซึ่งจะช่วยหนุนให้มีสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นได้ แต่เรามีปรับประมาณการกำไรสุทธิในปี 2018 ลง 4% โดยปรับ credit cost เพิ่มขึ้นอีก 10bps จาก IFRS9 เราคาดว่า การเข้ามาของ CTBC จะส่งผลให้สินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมที่มี
โอกาสเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่องในระยะยาว ดังนั้น เราจึงแนะนำ “ซื้อ” แต่เป็นการซื้อเพื่อการลงทุนในระยะยาว เพื่อรอ synergy ที่จะมีจาก CTBC ซึ่งจะเริ่มเห็นผลช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป แต่ปรับราคาเป้าหมายลงมาอยู่ที่ 1.92 บาท
(+) GPI: (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 4.30 บาท)
  เราคาดกำไรสุทธิใน 4Q17 ของ GPI จะอยู่ที่ -20 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิลดลงจาก 4Q16 ที่อยู่ที่ -22 ล้านบาท เนื่องจาก 1) รายได้จากการจัดงาน Air Race 1 เพิ่มขึ้น และ 2) รายได้จากธุรกิจรับจ้างพิมพ์เพิ่มขึ้น ทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2017 ของเราอยู่ที่ 138 ล้านบาท เติบโต 16% YoY ส่วนปี 2018 เราได้ปรับกำไรสุทธิปี 2018 ขึ้น 1.34% เป็น 150 ล้านบาท เติบโต 8% YoY เพื่อะสะท้อนธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ของบริษัทและธุรกิจกิจกรรมส่งเสริมการตลาดที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามเรามองว่ากำไรสุทธิตั้งแต่ปี 2018 จะเติบโตได้อีกจากงาน motor show ในต่างประเทศ และธุรกิจอื่นๆ ที่จะเข้ามาเพิ่มเติม คงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 4.30 บาท (PER ที่ 17.4 เท่า)
(0) TK (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 20.00 บาท) 
  เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2017 ลดลง 7% จากกำไรสุทธิ 4Q17 ที่ต่ำกว่าคาด โดยคาดกำไรสุทธิ 4Q17 เพิ่มขึ้น 21%YoY จากการขยายสินเชื่อที่ได้รับแรงหนุนจากยอดขายรถในประเทศปี 2017 เพิ่มขึ้น 4% แต่กำไรสุทธิอ่อนตัว 8%QoQ จากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายทางการตลาดสำหรับการดำเนินงานครบรอบ 45 ปีบริษัท อย่างไรก็ตามเรามองว่าในปี 2018บริษัทจะติดตาม และบริหารสินเชื่อที่เข้มงวดเพิ่มขึ้น ควบคู่การขยายสินเชื่อทั้งใน และนอกประเทศ รวมทั้งการออกหุ้นกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยลดลง นอกจากนี้เรามองว่าบริษัทจะมีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นในปี 2018 และเพียงพอต่อ IFRS 9 ส่งผลให้บริษัทจะมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นในระยะยาวที่ลดลง โดยเรามองว่าราคาหุ้นที่ลดลงมาสะท้อนผลการดำเนินงาน 4Q17 ที่อ่อนตัวแล้ว และเรามองว่าปี 2018 ผลการดำเนินงานจะดีขึ้น จึงเป็นจังหวะในการเข้าซื้อหุ้นที่ราคาเหมาะสม 20.00 บาท (อิง PBV ที่ 1.9x)
(+) MALEE (Bloomberg Consensus 46.40 บาท)
  MALEE ปรับกลยุทธ์ เน้นการบริหารจัดการควบคุมต้นทุน และปรับปรุงคุณภาพสินค้า พร้อมวางงบลงทุนราว 500 ลบ. เพื่อปรับปรุงโรงงาน ซื้อเครื่องจักรใหม่ นอกเหนือจากนี้ยังมีแผนจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 3-5 ตัว ในช่วง 2Q18-3Q18 ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 30% โดยเน้นส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศมากขึ้น คาดสัดส่วนส่งออกอยู่ที่ 30-40% สำหรับค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นอาจกระทบต่อราคาที่แพงขึ้นสำหรับลูกค้าที่รับสินค้าไปส่วนตัวบริษัทเองไม่ได้รับผลกระทบ ในด้านธุรกิจร่วมทุนกับพันธมิตรเวียดนาม คาดว่าจะได้ข้อสรุปในไตรมาส 2Q18
  ความเห็น: เรามีมุมมองเชิงบวกกับข่าวข้างต้น เรามองว่า ผลประกอบการ MALEE ได้ผ่านจุดต่ำมาแล้วในปี 2017 เราเชื่อมั่นว่า MALEE จะสามารถ Deliver revenues growth ได้ตามเป้าส่งผลจาก 1) การรุกขยายตลาดต่างประเทศและในประเทศ 2) การเพิ่มพันธมิตรใหม่ในต่างประเทศทั้งเวียดนามและอินโดนีเซียอีกทั้งมี แผนที่จะนำสินค้าของพันธมิตรมาขายในประเทศใน 2Q18 และการลงทุนในเวียดนามล่าสุดจะสนับสนุนการขยายไปในตลาดอาเซียนของ MALEE  3) การปรับปรุงการผลิตน้ำมะพร้าวได้เสร็จสมบูรณ์ในช่วงปลายปี 2017 4)แผนการจัดการควบคุมต้นทุนและปรับปรุงคุณภาพสินค้า จะส่งผลให้ Gross profit margin ขยายตัวดีขึ้นในปีนี้  เรายังมองว่าการปรับปรุงกลยุทธ์การดำเนินงาน สอดคล้องกับแผนธุรกิจ 9ปีของ MALEE เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่ง ราคาเป้าหมาย Consensus ที่ 46.4 บาท
(+) EKH: (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 6.00 บาท)
  EKH เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 61 เติบโต 8-10% จากปี 60 ที่คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 540 ล้านบาท จากการปรับขึ้นค่าห้องพักในส่วนที่ปรับปรุงใหม่ราว 10% ขณะเดียวกันบริษัทได้เปิดศูนย์เด็กหลอดแก้วที่ร่วมทุนพันธมิตรจีน คาดว่าจะมีลูกค้าราว 10 ราย/เดือน ซึ่งจะทำให้ในปีแรกทำรายได้ราว 30-40 ล้านบาท และจะถึงจุดคุ้มทุนภายใน 2 ปีข้างหน้า โดยวานนี้บริษัทฯ ได้จัดงาน "EKI-IVF Grand Opening Ceremony" เพื่อเปิดตัวศูนย์ให้คำแนะนำปรึกษาผู้มีบุตรยาก ซึ่งดำเนินงานโดย บริษัท เอกชัย อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัทย่อยที่ EKH ถือหุ้นในสัดส่วน 57% และพันธมิตรจากจีนถือหุ้น 25% และที่เหลือถือหุ้นโดยผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านดังกล่าว
  ความเห็น: เรามองประเด็นข่าวดังกล่าวเป็นบวกกับ EKH เนื่องจากเราคาดว่าศูนย์ผู้มีบุตรยากจะสร้างรายได้ให้กับโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลจีนสนับสนุนการมีมีบุตรคนที่ 2 ซึ่งชาวจีนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจะมีมากกว่า 100 ล้านคู่ รวมถึงผู้ที่มีอายุมากที่มีความเสี่ยงในการมีบุตรยาก ปัจจุบันเราแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 6.00 บาท ซึ่งอาจจะมีการปรับราคาเป้าหมายขึ้นหากมีความชัดเจนในเรื่องของจำนวนคนไข้ IVF
  
(+) ROJNA: (Bloomberg Consensus 7.60 บาท)
  ROJNA มีมติขายหุ้น TICON ที่ถืออยู่ทั้งหมด 478.7 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 26.10% ให้กับ “กลุ่มเฟรเซอร์ส” ของ “เสี่ยเจริญ” ในราคาขายหุ้นละ 17.90 บาท จากต้นทุนถือหุ้นละ 14.27 บาท (ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์)
  ความเห็น: เรามองว่าข่าวข้างต้นนี้จะส่งผลบวกต่อผลการดำเนินงานของ ROJNA ปี 2018 โดยบริษัทได้เข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้นแบบมีเงื่อนไข ในวันนี้ (09.02.2018) เราคาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิหลังภาษีเพิ่มขึ้นประมาณ 1.39 พันล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.69 บาท
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด                                                                 
 ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (08 ก.พ.) – ตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,786.66 จุด เพิ่มขึ้น 1.22 จุด หรือ +0.07% มูลค่าการซื้อขาย 55,935.52 ล้านบาท ตลาดหุ้นเคลื่อนไหวในกรอบแคบ หลังนักลงทุนบางส่วนมีการชะลอการลงทุนเนื่องจากภาวะต่างประเทศที่ยังไม่แน่นอน
ปัจจัยต่างประเทศ
  (-) ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลง 1,032.89 จุด – ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,860.46 จุด ร่วงลง 1,032.89 จุด หรือ -4.15% จากความกังวลเรื่องการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวขึ้นใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี ที่ระดับ 2.87%
  (+) ตัวเลขการว่างงานต่ำสุดในรอบ 45 ปี - จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 9,000 ราย สู่ระดับ 221,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 45 ปี สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 232,000 ราย
  (-) ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวลง - สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลง 64 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 61.15 ดอลลาร์/บาร์เรล ยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่อง หลัง EIA เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบและการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 2 ก.พ.
  (+/-) วุฒิฯสหรัฐฯโหวตร่างงบประมาณในวันนี้ - วุฒิสภาสหรัฐเตรียมลงมติต่อร่างกฎหมายงบประมาณในวันนี้ ก่อนที่งบประมาณชั่วคราวฉบับปัจจุบันจะสิ้นสุดลงในวันนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานรัฐบาล (ชัตดาวน์) ที่อาจเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
ปัจจัยในประเทศ
  (+) ททท. คาดยอดท่องเที่ยวช่วงตรุษจีนคึกคัก – ททท. คาดว่า จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยระหว่างวันที่ 15-21 ก.พ. 18 ประมาณ 870,000 คน เพิ่มขึ้น 5.45% สร้างรายได้ประมาณ 20,630 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงตรุษจีนในปีที่ผ่านมา ( 27 ม.ค.- 2 ก.พ. 17)
  (0) ดึงเอกชนลงทุน PPP –  รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาแก้ไขร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ หรือ พ.ร.บ.ร่วมทุน (พ.ร.บ.PPP) ในเร็วๆ นี้ เพื่อเปิดทางให้เอกชนทั้งในและต่างชาติเข้ามายื่นเสนอก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่อีกหลายโครงการ (โพสต์ทูเดย์, 09/02/2018
 
Analyst
Mongkol Puangpetra
License No: 001937  
+662 648 1123
[email protected]
Nontapat Rushtasomboon
License No: 081447  
+662 648 1127
[email protected]
OO5415

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!