- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 08 February 2018 17:11
- Hits: 1808
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ซื้อใหม่เน้นค่าบวก...ค่าลบ Wait & See”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ปัจจัยต่างประเทศ & ภายใน : บรรยากาศการลงทุนในวันนี้ยังถูกกดดันจากความกังวลเรื่องเฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็ว ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งและ Bond yield สหรัฐแกว่ง แต่เช้านี้ดีขึ้นบ้างจากค่าเงินดอลลาร์และ Bond yield ที่อ่อนลงเล็กๆ ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียบางแห่งเป็นบวกได้ อย่างไรก็ดีราคาน้ำมันดิบที่ลดลงก็กระทบหุ้นกลุ่มพลังงาน & ปิโตรเคมีของไทย ซึ่งมี Market cap คิดเป็น 1 ใน 3 ของตลาดหุ้นไทย
ปัจจัยจับตา คือ การลงมติร่างก.ม.งบประมาณชั่วคราวของวุฒิสภาสหรัฐ (ประมาณเที่ยงวันศุกร์ เวลาไทย) ซึ่งถ้าผ่าน รัฐบาลสหรัฐจะมีงบประมาณใช้ได้ถึง 23 มี.ค.61
สำหรับในประเทศ ทางกนง.จะประชุม 14 ก.พ.นี้ คาดว่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% ก่อน เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนในประเทศให้เติบโตดีขึ้น รวมทั้งมีปัจจัยเรื่องรายงานผลประกอบการ 4Q60 & ปี 60 และประกาศจ่ายปันผล ซึ่งหุ้นปันผลสูงที่เราชอบ ได้แก่ KKP, TISCO, HANA, SCC, PTTGC, BCP, LALIN, SENA, SC, TMT, LHHOTEL, IMPACT, DIF,TREIT เป็นต้น การอ่อนตัวของราคาหุ้นเป็นจังหวะทยอยซื้อสะสม
หุ้น Update วันนี้เป็น AEONTS – คาดกำไรปี 60/61-61/62 (งบปีสิ้นสุดก.พ.) จะมีการเติบโตดีที่ 16% และ 15% ตามลำดับ จากสินเชื่อที่ขยายตัวดีขึ้น การขยายวงเงินเครดิตให้กับลูกค้าชั้นดีเป็น 1.5 เท่าของเงินเดือน (เดิม 1.0 เท่า) และบริษัทได้เข้าไปทำธุรกิจสินเชื่อรถยนต์มือสองเพิ่มเติมด้วย ด้าน Valulation ยังต่ำกว่ากลุ่มอย่างมีนัยสำคัญ โดยมี P/E ปี 60/61 เพียง 14 เท่า และ P/BV 2.6 เท่า แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 202 บาท
กลยุทธ์ทางพื้นฐาน : แนะเลือกซื้อเป็นรายบริษัท โดยธีมเด่นหุ้นดีจาก DBS ในขณะนี้เราเลือกเป็น 1. Investment recovery play (หุ้นเด่น AMATA ราคาพื้นฐาน 30 บาท), 2. Dividend play (หุ้นเด่น KKP ราคาพื้นฐาน 88 บาท), 3. Growth play (หุ้นเด่น IVL ราคาพื้นฐาน 65 บาท) และ 4. Tourism play (หุ้นเด่น ERW ราคาพื้นฐาน 10.50 บาท)
กลยุทธ์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบ ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้าน 1790-1800, 1810 จุด ต่ำกว่า 1780 ลดพอร์ตตาม/ Wait & See แนวรับ 1760-1750-1740 จุด สำหรับหุ้นที่มีโอกาสทำ New high ได้แก่ PRINC, STAR, VNT, AU ส่วนหุ้นที่หาจังหวะ Take profit เป็น ASK, HTC, AMATA, MACO หุ้นที่ยังอยู่ใน List –ไม่มี- หุ้นหลุด List คือ BLA, ERW, KTB, PTT, AOT, TWPC
ปัจจัยต่างประเทศ
- สหรัฐ : Bond yield เพิ่มขึ้น & ค่าเงิน US$ แข็งขึ้น…กังวลเฟดเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็ว
# อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 2.796% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.068% เมื่อคืนนี้
# ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (Dollar index) ปรับขึ้นต่อ ล่าสุดอยู่ที่ 90.34 จาก 88.65 เมื่อ 4 วันทำการก่อน เพราะมีการคาดการณ์กันว่าเฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วและถี่กว่าปี 60
# นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานเฟดชิคาโกชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อที่ยังต่ำช่วยชะลอการขึ้นดอกเบี้ยจนถึงกลางปี 61 อย่างไรก็ดีการปรับขึ้นดอกเบี้ย 3-4 ครั้งในปีนี้เป็นสิ่งที่เขาสนับสนุน
# นายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานเฟดดัลลัส กล่าวว่าเฟดควรถอนตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เนื่องจากตลาดแรงงานที่ตึงตัวได้เพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ สำหรับการทรุดตัวของตลาดหุ้นสหรัฐ ถือเป็นการปรับฐานที่ดี หลังจากที่พุ่งขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา และมองว่าไม่กระทบเศรษฐกิจสหรัฐ
• สหรัฐ : จับตาการโหวตร่างงบประมาณชั่วคราวของวุฒิสภาสหรัฐ (ช่วงเที่ยงวันศุกร์ เวลาไทย)
# นักลงทุนรอดูการพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวในสภาคองเกรสสหรัฐ เพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐบาล (ชัตดาวน์) หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรได้ให้ความเห็นชอบไปเมื่อ 6 ก.พ.61 และส่งต่อไปยังวุฒิสภาเพื่อพิจารณาและลงมติในวันนี้ (ตรงกับเที่ยงวันศุกร์ เวลาไทย) ซึ่งร่างฯนี้จะช่วยให้รัฐบาลมีงบประมาณใช้จ่ายไปได้ถึง 23 มี.ค.61
• ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนี DJIA ปิดลบเล็กๆ หลัง Bond yield สหรัฐปรับขึ้นอีกระลอก
# อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ดีดตัวขึ้น หลังจากมีรายงานว่าแกนนำวุฒิสภาชิกในสภาคองเกรสสหรัฐสามารถบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับงบประมาณระยะเวลา 2 ปี เพื่อเพิ่มงบประมาณรายจ่ายให้กับรัฐบาลอีก 3 แสนล้านดอลลาร์ โดยในจำนวนนี้จะนำไปใช้จ่ายด้านการทหารเป็นจำนวนมาก และตลาดกังวลว่าอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอาจทำให้เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ แต่ก็ต้องรออนุมัติจากวุฒิสภาในคืนวันนี้ก่อน
# ดัชนี DJIA ปิด 24,893.35 จุด -19.42 จุด หรือ -0.08% ดัชนี S&P500 ปิด -13.48 จุด หรือ -0.50% และดัชนี Nasdaq ปิด -63.90 จุด หรือ -0.90%
- ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคาร่วงราว 2% ถึง 2.5%
# EIA เปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว เทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าพุ่งขึ้น 3 ล้านบาร์เรล ขณะที่ API ระบุก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 1.1 ล้านบาร์เรล แต่สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 3.4 ล้านบาร์เรลจากที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 459,000 บาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 3.9 ล้านบาร์เรล สวนกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล
# EIA คาดการณ์ว่าการผลิตน้ำมันของสหรัฐจะแตะระดับเฉลี่ย 10.59 ล้านบาร์เรล/วันในปี 61 และพุ่งแตะระดับ 11.18 ล้านบาร์เรล/วันในปี 62 ซึ่งจะทำให้สหรัฐแซงหน้ารัสเซีย กลายเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันมากที่สุดในโลก
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. -1.60 ดอลลาร์ หรือ -2.5% ปิดที่ 61.79 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนเม.ย. -1.35 ดอลลาร์ หรือ -2% ปิดที่ 65.51 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ภาวะตลาดทองคำ : เงินดอลลาร์แข็งฉุดราคาทองร่วง 14.90 ดอลลาร์
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 14.90 ดอลลาร์ หรือ 1.1% ปิดที่ 1,314.60 ดอลลาร์/ออนซ์ ปัจจัยกดดัน คือ การแข็งค่าของเงิน US$ และการพุ่งขึ้นของ Bond yield สหรัฐ
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
• กนง.ประชุม 14 ก.พ.นี้ คาดคงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.5% ก่อน
# คณะกรรมการนโยบายการเงินจะประชุมรอบแรกวันที่ 14 ก.พ.นี้ ทาง DBS คาดว่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อ โดยเฉพาะด้านการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ ซึ่งการเติบโตยังไม่กระจายตัวดี (การเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 60 โดยหลักมาจากภายนอก คือ ส่งออกขยายตัวแกร่งเพราะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวดีขึ้น และท่องเที่ยวที่ดีตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตแข็งแกร่ง)
# ปัจจัยติดตาม คือ 1. การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ซึ่งมีผลกระทบต่อเงินทุนเคลื่อนย้าย (Fund flow) และส่งผลต่อค่าเงินบาท รวมถึงตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้, 2. ราคาน้ำมันดิบ, 3. เหตุการณ์/การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทั้งภายนอกและภายในประเทศ
• PTT (ราคาปิด 484 บาท) : พิจารณาแตกพาร์
# PTT พร้อมพิจารณาเรื่องแตกพาร์ (ปัจจุบันราคาพาร์ 10 บาท) แต่ต้องรอมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น 12 เม.ย.นี้ก่อนคาดปี 60 มีกำไรสุทธิมากกว่า 99,000 ล้านบาท หลัง 9 เดือนปี 60 ทำได้แล้ว 99,816 ล้านบาท (ข่าวหุ้น)
# ณ ราคาปัจจุบัน 484 บาท ซื้อขายที่ Trailing P/E 11.6 เท่า และ P/BV 1.8 เท่า และให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 3.5% ต่อปี โดย P/BV ปัจจุบันสูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีของบริษัทที่ 1.6 เท่า (สูงสุด 2.2 เท่า, ต่ำสุด 1 เท่า)
# ราคาหุ้นระยะสั้นมีสิทธิผันผวนตามราคาน้ำมันดิบ ซึ่งเมื่อคืนนี้ร่วงราว 2-2.5%
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]
OO5374