- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 25 January 2018 16:33
- Hits: 13955
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“แกว่งไม่หลุด 1820… เลือกซื้อ/ถือต่อ”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ปัจจัยภายใน & ต่างประเทศ : ตลาดหุ้นไทยปิด +7.18 จุด ปิดที่ 1838.96 กลุ่มน้ำมันและปิโตรฯ ยังบวกนำตลาดเพราะแนวโน้มกำไรดีทั้งใน 4Q60 และปี 61 จากราคาน้ำมันดิบที่ขยับขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งมีการซื้อสะสมหุ้นปันผลดีช่วยเสริมด้วย ขณะที่แบงค์อ่อนลงเพราะกังวลตั้งสำรองฯสูงในปี 61 เพื่อรองรับ IFRS9 ที่จะเริ่มใช้ 1 ม.ค.62 และต้องลงทุนในระบบดิจิตอลแบงค์กิ้ง ทำให้กำไรปี 61 ของกลุ่มธนาคารจะยังเติบโตได้ค่อนข้างจำกัด ส่วนต่างประเทศ ค่าเงิน US$ อ่อนค่าลงแรง (Dollar index ร่วงมาที่ 89.2 ต่ำสุดในรอบ 3 ปี) หลังรมว.คลังสหรัฐกล่าวว่าการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งดอลลาร์ที่อ่อนค่าเป็นบวกกับราคาทองคำ (ราคาทอง COMEX +1.5%) และเป็นบวกต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ (รวมถึงไทย) ซึ่งค่าเงินมีแนวโน้มแข็งค่าทำให้จะมีเม็ดเงินนอกไหลเข้ามาลงทุนเพราะประเมินว่าจะได้กำไรทั้งในสินทรัพย์และค่าเงิน อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของเงินบาทก็เป็นลบกับผู้ประกอบการส่งออก
หุ้นแนะนำวันนี้เป็น SENA ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นปันผลสูงที่เราชอบ โดยคาดการณ์ว่ากำไร 4Q60 จะออกมาแข็งแกร่งมากที่ 407 ลบ. (+297%YoY, 168%QoQ) เพราะช่วงที่โอนคอนโดมาก ส่วนเงินปันผล ประเมินว่าจะจ่าย 2H60 สูงขึ้นเป็น 0.1818 บาท/หุ้น (ให้ Payout ratio 40%) หลังจ่ายสำหรับ 1H60 ไปแล้ว 0.05455 บาท/หุ้น ณ ราคาหุ้น 4.22 บาท คิดเป็น Remaining dividend yield 4% ส่วนปี 61 คาดการณ์กำไรโต 15% และให้ Dividend yield ประมาณ 6.5% (บางปีจะมีจ่ายปันผลเป็นหุ้น) แนะนำซื้อ ให้ TP 4.78 บาท (อิงกับ P/E ปี 61 ที่ 7 เท่า)
กลยุทธ์ทางพื้นฐาน : แนะเลือกซื้อเป็นรายบริษัท โดยธีมเด่นหุ้นดีจาก DBS รอบนี้เลือก 1. Investment recovery play (หุ้นเด่น AMATA ราคาพื้นฐาน 30 บาท), 2. Dividend play (หุ้นเด่น KKP ราคาพื้นฐาน 88 บาท) และ 3. Growth play (หุ้นเด่น IVL ราคาพื้นฐาน 65 บาท)
กลยุทธ์ทางเทคนิค : ระยะสั้นมากตลาดเป็นบวก แต่ยังควรระวังการแกว่ง เลือกซื้อ/ถือต่อเมื่อ SET เหนือเส้น SMA10 แต่ถ้าต่ำกว่าก็ควรลดพอร์ตตามแนวต้าน SET ให้ไว้ที่ 1855-1850, 1860 ถ้าหลุด 1820 ควร Stop loss สำหรับหุ้นที่มีโอกาสทำ New high ได้แก่ TCAP, TASCO, SENA, VNT, TVO, ROBINS, RCL, COM7 ส่วนหุ้นที่หาจังหวะ Take profit เป็น BCH, JMART, BBL, SCCC, BAY, HMPRO, TRUE หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ STPI, IVL, MBK, BLA, RS หุ้นหลุด List คือ MEGA
ปัจจัยต่างประเทศ
+/- สหรัฐ : รมว.คลังสหรัฐส่งสัญญาณหนุนการอ่อนค่าเงิน US$ เพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
# นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ กล่าวในการแถลงข่าวในการประชุมเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรั่ม (WEF) ที่เมืองดาวอสประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในวันนี้ว่า สหรัฐเป็นประเทศที่เปิดกว้างสำหรับภาคธุรกิจ และการที่ดอลลาร์อ่อนค่าลงในระยะนี้ก็เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจอเมริกา และนายมนูชินกล่าวเชิญชวนให้นักลงทุนเข้าลงทุนในสหรัฐ โดยระบุว่าสหรัฐให้การสนับสนุนการค้าที่เสรีและเป็นธรรม และเสริมว่าการขยายตัวที่แข็งแกร่งของสหรัฐจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลก และไม่ขัดแย้งกับนโยบาย"อเมริกาต้องมาก่อน"ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
# ค่าเงิน US$ ร่วงแรง โดยดัชนีเงิน US$ ไหลลงมาที่ 89.2 ซึ่งอ่อนค่าสุดในรอบ 3 ปี
+/- สหรัฐ : ประกาศตรวจสอบการละเมินทรัพย์สินทางปัญญาของจีน
# นายวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐได้ขึ้นกล่าวที่ประชุมเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรั่ม (WEF) ที่เมืองดาวอสเมื่อวานนี้ว่าหน่วยงานด้านการค้าของสหรัฐกำลังตรวจสอบพฤติกรรมกีดกันการค้าและการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของจีน ซึ่งรวมถึงสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยี และกำลังพิจารณาว่าควรใช้มาตรการตอบโต้หรือไม่...ตลาดกังวลว่าเรื่องนี้อาจทำให้ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจทวีความรุนแรงมากขึ้น จากก่อนหน้าที่ทรัมป์เพิ่งลงนามให้เรียกเก็บภาษีนำเข้าเครื่องซักผ้าและแผงพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งกระทบต่อผู้ผลิตจากจีน
- สหรัฐ : ดัชนี PMI ภาคผลิตและบริการเดือนม.ค.61 อ่อนลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน
# มาร์กิตเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ลดลงเป็น 53.8 ในเดือนม.ค.61 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน จากระดับ 54.1 ในเดือนธ.ค.60
# ยอดขายบ้านมือสอง -3.6%MoM ในเดือนธ.ค. สู่ระดับ 5.57 ล้านยูนิต ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะ -2.2% สู่ระดับ 5.70 ล้านยูนิต
• ปัจจัยจับตาในช่วงที่เหลือของเดือนม.ค.61
# สหรัฐ : FOMC ประชุม 30-31 ม.ค.61 คาดว่าจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.5% ในการประชุมครั้งนี้ เพราะเงินเฟ้อยังไม่ได้สูงมาก และคงส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปต่อ (ตลาดคาดว่าปี 61 เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง โดยปรับขึ้นครั้งแรกเดือนมี.ค.61 แต่ประธานเฟด ซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นสมาชิกที่มีสิทธิโหวต - Hawkish มองว่าสหรัฐอาจปรับขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ก็ได้ถ้าเศรษฐกิจขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้)
# สหรัฐ : วันที่ 26 ม.ค.จะมีรายงานจีดีพีงวด 4Q60 เบื้องต้น ซึ่งตลาดคาดว่าจะเติบโตอ่อนลงเป็น 2.9%YoY จาก 3.2% ใน 3Q60 อย่างไรก็ตาม มีโอกาสที่จีดีพีงวด 4Q60 จะดีกว่าคาดถ้าการใช้จ่ายผู้บริโภคเติบโตมากกว่าที่คาดไว้
•/- ภาวะตลาดหุ้น : ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งแคบ ส่วนตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลง
# ตลาดกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากนายวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐ กล่าวส่งสัญญาณว่าสหรัฐอาจใช้มาตรการเพื่อตอบโต้จีนในเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งรวมถึงสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยี และ EU สั่งปรับบริษัทควอลคอม อิงค์ (ผู้ผลิตชิพสมาร์ทโฟน) 1.23 พันล้านUS$ เพราะจ่ายเงินใต้โต๊ะให้ Apple ใช้ชิพของบริษัทเท่านั้น ทำให้มีแรงขายหุ้นเทคโนโลยีในตลาดหุ้นสหรัฐ อย่างไรก็ตามดัชนี DJIA ยังบวกได้เพราะแรงซื้อหุ้นกลุ่มการเงิน ปิดตลาดดัชนี DJIA +41.31 จุด หรือ +0.16% ดัชนี Nasdaq -45.23 จุด หรือ -0.61% และดัชนี S&P500 -1.59 จุด หรือ -0.06%
# ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ (-0.5% ถึง -1.1%) เพราะกังวลเงินปอนด์แข็งจะกระทบการส่งออกและผลกำไรของบริษัทข้ามชาติส่วนดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิด -1.14%
+ ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคาปรับขึ้นกว่า 1% เมื่อสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงต่อเป็นสัปดาห์ที่ 10
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. +1.14 ดอลลาร์ หรือ +1.8% ปิดที่ 65.61 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค.57 ส่วน BRENT ส่งมอบมี.ค. เพิ่มขึ้น 57 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 70.53 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค.57
# EIA ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 1.1 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 411.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 19 ม.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 10
+ ภาวะตลาดทองคำ : ราคาพุ่งขึ้น 1.5% หลังทางการสหรัฐส่งสัญญาณรักษาการอ่อนค่าเงิน US$
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. พุ่งขึ้น 19.6 ดอลลาร์ หรือ 1.47% ปิดที่ 1,356.30 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+ ไทย : ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการเดือนธ.ค. 60 สูงสุดรอบ 35 เดือน
# ส.อ.ท.เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทยประจำเดือนธ.ค.60 พบว่าเพิ่มเป็น 89.1 จาก 87.0 ในเดือนพ.ย.60 โดยคำสั่งซื้อสินค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์เพิ่มขึ้นจากงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2017 รวมทั้งสินค้าที่เกี่ยวข้องกับของขวัญของฝาก ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ขณะเดียวกันการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปผู้ประกอบการเห็นว่าจะส่งผลดีต่อการค้าและการลงทุนระหว่างกัน
# ดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 102.8 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 102.0 ในเดือนพ.ย. เนื่องจากผู้ประกอบการเห็นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2561 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีภาครัฐเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ รวมถึงการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ขณะเดียวกันการส่งออกของไทยยังได้รับผลดีจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดี อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในประเทศยังมีความกังวลต่อต้นทุนการผลิตที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
• SCC (ราคาปิด 502 บาท) : กำไร 4Q60 ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้...แต่มีปันผลช่วยพยุงราคาหุ้น
# SCC รายงานกำไรสุทธิ 4Q60 เท่ากับ 11.4 พันล้านบาท ลดลงถึง 16%YoY เป็นไปตามคาดของ DBSVT แต่แย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ (ตลาดประเมินไว้ที่ 12-13 พันล้านบาท) สำหรับทั้งปี 60 มีกำไรสุทธิ 55.0 พันล้านบาท ลดลง 2%YoY
# ปัจจัยที่กดดันกำไร 4Q60 คือ ปริมาณขายก็ลดลง ต้นทุนถ่านหินที่เพิ่ม ทำให้มาร์จิ้นซีเมนต์ลดลง (ราคาขายขยับขึ้นได้น้อยเพราะอยู่ในภาวะ Oversupply) และสปรดปิโตรเคมีอ่อนลง
# ประกาศจ่ายปันผลสำหรับ 2H60 เท่ากับ 10.50 บาท /หุ้น กำหนด XD 4 เม.ย.61 (Yield 2.1% เมื่อคิดจากราคาหุ้น 500 บาท)
# แนวโน้มปี 61 ยังท้าทาย ผู้บริหารคาดว่าปริมาณขายซีเมนต์ปี 61 จะอ่อนลง 2-3% (ต่อเนื่องจาก -5% ในปี 60) สเปรดปิโตรเคมีมีแนวโน้มทรงตัวที่ประมาณ 650 เหรียญ/ตัน โดยราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับขึ้นมาจากต้นทุนแนฟทาเพิ่มขึ้น (Cost push) ยังผลให้มาร์จิ้นจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก ส่วนผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า บริษัทให้ Guidance ว่าเงินบาทที่แข็งทุกๆ 1 บาทจะทำให้กำไรสุทธิลดลง 2000 ล้านบาท หรือประมาณ 3.6% ของกำไรปี 60
# โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม คาดว่าจะสรุปเรื่องพันธมิตรและเงินลงทุนได้ภายใน 2-3 เดือนข้างหน้านี้ (มี.ค.-เม.ย.61)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]
OO4868