- Details
- Category: สำนักนายกฯ
- Published: Wednesday, 14 June 2017 21:45
- Hits: 7782
'สมคิด'ดึงกระทรวงเมติญี่ปุ่นช่วยพัฒนา EEC - ศก.5.0 ยัน ม.44 จะแก้ปัญหารถไฟไทย-จีนได้ทั้งหมด
'สมคิด'ดึงกระทรวงเมติญี่ปุ่นช่วยพัฒนา EEC ดันไทยเป็นศูนย์กลาง CLMVT หวังนลท.ญี่ปุ่นแห่ลงทุนไทย ช่วยเดินหน้าโมเดลศก. 5.0 - ดันจีดีพีโต หลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง สั่งคลัง - ธปท. เร่งศึกษาระเบียบการเงินรองรับ Fintech ปิดช่องทางหลอกลวงปชช. ยันยันการใช้ ม.44 จะแก้ปัญหาโครงการรถไฟไทย-จีนได้ทั้งหมด
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในการเปิดงาน ‘ก้าวคู่ประเทศไทย 4.0’ ว่า ในการเดินทางไปญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 4-8 มิถุนายนที่ผ่านมา ทางญี่ปุ่นยืนยันพร้อมสนับสนุนไทยเป็นศูนย์กลางกลุ่ม CLMV ซึ่งประกอบด้วย กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม ซึ่งขณะนี้ไทยอยู่ระหว่างดำเนินการทำแผนแม่บท เพื่อร่วมตกลงกับกลุ่มประเทศดังกล่าว โดยคาดว่าจะนำเสนอแผนดังกล่าวในการประชุมผู้นำระหว่าง 5 ประเทศ ที่จะจัดขึ้นในเร็วๆนี้
นอกจากนี้ ในการประชุมร่วมกับกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรรมของญี่ปุ่น หรือ กระทรวงเมติ พบว่า ญี่ปุ่นพร้อมสนับสนุนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งในการหารือดังกล่าวนั้น ญี่ปุ่นได้ร่วมลงนามกับกระทรวงอุตสาหกรรมของไทย เพื่อสนับสนุนเอสเอ็มอีของไทยในทุกระดับ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันผ่านโครงการต่างๆด้วย
“คู่แข่งของเราตอนนี้ มีเยอะ และท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง ผู้ประกอบการญี่ปุ่นเองบางครั้งเขาก็ยังช่างใจ ว่าจะมาไทย เวียดนาม หรืออินโดนีเซีย จะไปที่ไหนบางคนก็ยังตัดสินใจไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องทำอะไรให้ชัด เราต้องดึงญี่ปุ่นมาสนับสนุนให้ได้ และเดินไปตามแบบเขาที่มีโมเดล 5.0 ซึ่งหากทำได้ จะส่งผลให้จีดีพีเติบโตได้มากกว่านี้ และเป็นผลดีทำให้ไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางให้ได้”นายสมคิด กล่าว
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้ตอบตกลงที่จะเดินทางมาไทยเพื่อร่วมฉลอง 130 ปี สถาปนาความสัมพันธ์ไทยญี่ปุ่น ในวันที่ 11 กันยายนนี้ ซึ่งจะจัดที่กรุงเทพฯ โดยปัจจุบันญี่ปุ่นเข้ามาขยายการลงทุนในไทยกว่า 7,000 แห่ง มีนักธุรกิจเข้าไปทำงานกว่า 70,000 ราย
นายสมคิด กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากด้านการดึงนักลงทุนแล้ว ในเรื่องของการพัฒนาระบบการเงินด้วยเทคโนโลยี ถือเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งปัจจุบันยังมีข้อจำกัด ซึ่งถือเป็นหนึ่งอุปสรรคในการพัฒนาภาคการเงิน ดังนั้นกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. จะต้องร่วมมือกันในการพัฒนาฟินเทคภาคการเงินให้เติบโตมากขึ้น โดยกระทรวงการคลัง จะต้องเป็นศูนย์กลางในการหารือการพัฒนาในภาพรวม ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการเงิน และผู้ประกอบการฟินเทค ขณะที่ธปท.จะต้องผ่อนคลอยหลักเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาฟินเทค และร่วมกันศึกษากฎระเบียบการเงินที่มีความเหมาะสมของฟินเทคภาคการเงินไทย โดยศึกษาจากต่างประเทศว่าควรนำมาปรับใช้กับไทยหรือไม่ เช่น บิทคอยน์ และอื่นๆ ซึ่งเชื่อว่าส่วนนี้ธปท.รู้และสามารถปรับหลักเกณฑ์ต่างๆ ได้แน่นอน หรือการปิดช่องทางการหลอกลวงประชาชน
“ตอนนี้เราบอกว่าเราจะไป 4.0 มันไม่ใช้แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่มันจะต้องรวมไปถึงการเพิ่มมูลค่านวัตกรรม เราต้องเร่งทำ ไม่ใช่ไม่เข้าสมอง คิดไม่ออก คิดไม่เป็น ไม่ใช่ของง่ายที่จะทำ ถ้าคิดแบบนี้ไทยจะก้าวไม่พ้น”นายสมคิด กล่าว
ส่วนกรณีที่รัฐบาลเตรียมออกคำสั่งตามมาตรา 44 เพื่อแก้ปัญหาความล่าช้าของโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ไทย-จีน นายสมคิดเปิดเผยว่า จะเป็นการแก้ปัญหาที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อปลดล็อกโครงการดังกล่าว โดยยืนยันว่า โครงการนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพียงแต่มีข้อติดขัดบางเรื่องในการดำเนินการ
"เรื่องที่ล่าช้า รัฐบาลจะใช้ ม.44 เพื่อให้จบปัญหาทั้งหมด ซึ่งนายกฯก็บอกไปแล้วว่า ม.44 ที่จะออก ก็จะแก้ปัญหาทั้งหมด ทั้งเรื่องเซ็นสัญญา ทั้งเรื่องใบอนุญาตทำงาน ความจริงไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ฝ่ายโน้น(จีน)เขาคิดว่า เราจะเอาคนที่ทำรางรถไฟ 2 หมื่นกว่ากิโลเมตร มาสอบใบขับขี่อีกทำไม" นายสมคิด กล่าวกับผู้สื่อข่าว
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย