- Details
- Category: สำนักนายกฯ
- Published: Wednesday, 27 January 2016 10:29
- Hits: 3232
'สมคิด'บี้หน่วยงานรัฐเร่งเซ็นสัญญาก่อสร้างอัด 9 แสนล้านเข้าระบบศก.
แนวหน้า : 'สมคิด'สั่งหน่วยงานราชการเร่งเซ็นสัญญาก่อสร้าง โครงการขนาดใหญ่มูลค่า 9 แสนล้าน ภายใน ครึ่งปีนี้ อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ พร้อมกำชับมหาดไทยแก้ระเบียบอปท. ปลดล็อกเงิน 3 แสนล้าน เพื่อไปใช้พัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ในท้องถิ่น สร้างรายได้ให้กับชุมชนและเศรษฐกิจ ประเทศ
ที่กระทรวงการคลัง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 1/2559 โดยมีนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ส่วนราชการระดับสูงที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมด้วย เพื่อรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศครั้งล่าสุด รวมถึงติดตามความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน ปัญหาอุปสรรค และแนวทางแก้ไข
นายสมคิด กล่าวว่าได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนขนาดใหญ่ให้เร่งทำการเซ็นสัญญาก่อสร้างโครงการทั้งหมดภายในครึ่งปีแรก เพื่อผลักดันให้มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ทั้งโครงการของกรมทางหลวง โครงการรถไฟรางคู่ โครงการสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นต้น ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจำนวนมาก
โดยในวันที่ 28 มกราคม 2559 นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม จะเดินทางไปประเทศจีนเพื่อสรุปรายละเอียดการร่วมลงทุนโครงการรถไฟกรุงเทพฯ-หนองคาย ซึ่งไทยจะลงทุนกับประเทศจีนไม่มีการเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ ยังได้สั่งให้กระทรวงมหาดไทยเร่งโครงการตำบลละ 5 ล้านบาท ให้เม็ดเงินเข้าสู่ ระบบเศรษฐกิจภายในไตรมาสสองปีนี้ เพื่อสร้างความสมดุลของเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) และธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) คาดว่าการเร่งลงทุนจะทำให้อัตราการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจไทยปีนี้ ขยายตัวได้ 3.5%
"จะพยายามเร่งผลักดันให้ได้ภายในไตรมาส 2 เป็นอย่างช้า ในทุกโครงการทั้งในเรื่องของรถไฟรางคู่ รถไฟไทย-จีน เส้นทางหนองคายกรุงเทพฯ ที่จะเดินหน้าอย่างเต็มที่ตามแผนไม่มีเปลี่ยนแปลง เราไม่อยากให้ตื่นตกใจกับเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้น และผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับจีดีพี ว่าจะต้องโตเท่าไหร่ แต่เราต้องทำให้ทุกตัวฝ่าอุปสรรคไปได้ โดยโครงการทั้งหลายให้เดินหน้าไปได้ทุกโครงการ ผมเรียนท่านแล้วว่าต้องการ ไม่ให้เศรษฐกิจทรุดตัวต่ำ" นายสมคิดกล่าว
นายสมคิด กล่าวว่ายังได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยไปแก้ไขระเบียบการใช้เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรืออปท. ที่มีเงินค้างอยู่ไม่ได้ ทำประโยชน์ถึง 3 แสนล้านบาท เพื่อนำไปพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในท้องถิ่น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ให้เดินทางมาเที่ยวมากขึ้นเป็นประโยชน์ทั้งเศรษฐกิจ ท้องถิ่นและภาพรวมของประเทศ
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ในฐานะ ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศกล่าวว่ากระทรวงคมนาคมจะมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ที่จะเซ็นสัญญาภายในปีนี้มูลค่า 9 แสนล้านบาท เช่น โครงการถนนของกรมทางหลวง โครงการรถไฟรางคู่ โครงการสนามบินสุวรรณภูมิ และท่าเรือแหลมฉบัง โดยจะเริ่มเบิกจ่ายมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจภายใน ปีนี้ 6.68 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่นับรวมเม็ดเงินจากโครงการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) อีก 1.5 หมื่นล้านบาท ที่เพิ่ง ได้รับการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.)
นอกจากนี้ยังมีเม็ดเงินการลงทุนจาก ภาคเอกชนผ่านการส่งเสริมของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) และมาตรการของกระทรวงการคลังการกระตุ้นการลงทุนเร่งด่วน ให้หักภาษีได้ 2 เท่า จะทำให้ปีนี้เอกชนลงทุน เพิ่ม 2 แสนล้านบาท จากปกติที่เอกชนลงทุนปีละ 5 แสนล้านบาท ก็จะเพิ่มเป็น 7 แสนล้านบาท ทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตได้มากขึ้น
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่ายังมีการเร่งเบิกจ่าย งบลงทุนปกติ เช่น ในส่วนของการลงทุนโครงการ ไม่เกิน 1 ล้านบาท มีการเบิกจ่ายไปแล้ว 90% ตอนนี้ทางสำนักงบประมาณก็จะเร่งการเบิกจ่ายการลงทุนในโครงการที่เกิน 2 ล้านบาท ต่อไป
"มาตรการเร่งการลงทุนสามารถขับเคลื่อนได้ตามแผนในส่วนที่ช้ากว่ารองนายกฯสมคิดได้เร่ง กำชับให้ข้าราชการและหน่วยงานต้องเร่งทำงาน เพราะ สถานการณ์เศรษฐกิจต่างประเทศไม่แน่นอน เราต้อง ดูแลเศรษฐกิจตัวเองให้ดีก่อน" นายอภิศักดิ์ กล่าว
เร่งอัดเงินลงระบบศก. แก้ระเบียบ อปท.กระจายเงินหมุนเวียนในท้องถิ่น
บ้านเมือง : รัฐบาลเร่งขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้น ลงทุนอัดเงินใส่ระบบ ปรับปรุงระเบียบ อปท. กระจายเงินกว่า 3 แสนล้าน ลงพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน เพิ่มเงินในกระเป๋าคนท้องถิ่นสร้างกำลังซื้อ บริโภค คลังเร่งเบิกจ่ายงบ คาดปี 59 จะเบิกจ่ายและมีเงินเข้าสู่ระบบ กว่า 6.6 หมื่นล้าน
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน ครั้งที่ 1/2559 สำหรับการประชุมครั้งนี้จะติดตามผลการดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการเดิมที่รัฐบาลออกไปแล้วก่อนหน้านี้ ประกอบด้วย 4 มาตรการหลัก คือ 1.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน แบ่งเป็น 2 ด้าน คือ การขับเคลื่อนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการขับเคลื่อนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2.มาตรการส่งเสริมการลงทุนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และมาตรการเร่งรัดการลงทุนของบีโอไอ
3.มาตรการทางการเงินการคลัง เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะเร่งด่วน ประกอบด้วย 6 มาตรการ อาทิ มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย มาตรการการจ้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยและมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ มาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ฯลฯ
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังสั่งให้มีการยกระดับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองจากระดับบีให้เป็นระดับเอเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนกองทุนโครงสร้างพื้นฐานนอกจากจะมีการรับทราบแผนปฏิบัติการส่วนคมนาคมขนส่งระยะเร่งด่วนปี 2559-2560 จำนวน 17 โครงการ วงเงินกว่า 927,000 ล้านบาท ยังได้สั่งการให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ไปปรับปรุงรายละเอียดของความพร้อมแต่ละโครงการด้วย
นายสมคิด กล่าวต่อว่า รัฐบาลพยายามเร่งรัดการลงทุนภายในไตรมาสแรก หรืออย่างช้าครึ่งแรกปีนี้ เพื่อให้เกิดเม็ดเงินลงสู่ระบบภายในครึ่งปีหลัง ซึ่งแนวโน้มการลงทุนภาครัฐและเอกชนมีสัญญาณดีขึ้น โดยรัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจมากกว่าการขยายตัวที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประเมินไว้ว่าปีนี้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะขยายตัวร้อยละ 3.5 ส่วนโครงการลงทุนรถไฟ ไทย-จีน ยืนยันว่าจะมีการลงทุนอย่างแน่นอน
นอกจากโครงการลงทุนภาครัฐแล้ว กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยอยู่ระหว่างหารือ เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) นำเงินที่ได้จากการกระจาย อำนาจทางการคลังที่มีเงินสะสมถึง 300,000 ล้านบาท สามารถนำออกมาพัฒนาท้องถิ่น พัฒนาสินค้าชุมชน เพื่อพัฒนาความเจริญจากระดับล่างขึ้นมา ส่วนเงินที่ส่งให้ตำบลต่างๆ ตำบลละ 5 ล้านบาท กระทรวงมหาดไทยจะเร่งรัดดำเนินการให้เสร็จภายในไตรมาสแรกปีนี้ วงเงินจะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจชุมชนอีก 10,000 ล้านบาท
นับจากนี้ ไปมีนโยบายกำชับให้ข้าราชการและหน่วยงานเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ เพราะขณะนี้เศรษฐกิจต่างประเทศมีความไม่แน่นอนสูง ประเทศไทยจะต้องทำให้เศรษฐกิจเข้มแข็งและดูแลตัวเองได้ และนับเป็นการดีที่ประเทศไทยเตรียมมาตรการเอาไว้ก่อนในยามที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ส่วนการลงทุนภาคเอกชนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) การตอบสนองต่อมาตรการดี แต่ต้องการให้บีโอไอเน้นอุตสาหกรรมเป้าหมายด้วยไม่ใช่เฉพาะปริมาณ
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ผลการเร่งรัดเบิกจ่ายงบภาครัฐผลออกมาค่อนข้างดีขับเคลื่อนได้ตามแผน ส่วน โครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐทั้งหมดที่มีมูลค่ารวม 927,000 ล้านบาท คาดว่าภายในปีงบ 2559 จะเบิกจ่ายและมีเงินเข้าสู่ระบบรวม 66,800 ล้านบาท ทั้งนี้ ไม่รวมงบลงทุนของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) อีก 15,000 ล้านบาท ที่ใช้ลงทุนโครงการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงครอบคลุมทั่วประเทศและ งบลงทุนของกระทรวงอื่นๆ อีก สำหรับการเบิกจ่ายโครงการภาครัฐที่มีวงเงิน 1 ล้านบาท ผลการเบิกจ่ายค่อนข้างดี มีการเบิกจ่ายคิดเป็นร้อยละ 90 ของภาพรวม ซึ่งจะเร่งรัดการเบิกจ่ายต่อไป และขณะนี้สำนักงบประมาณมีนโยบายให้เร่งรัดการเบิกจ่ายโครงการที่มีวงเงิน 2 ล้านบาท เพื่อให้การเบิกจ่ายรวดเร็วยิ่งขึ้น ส่วนการการลงทุนภาคเอกชนปีนี้ผลจากมาตรการเร่งรัดการลงทุนของบีโอไอ คาดว่าจะทำให้การลงทุนเพิ่มขึ้นปีนี้อีก 200,000 ล้านบาท จากปกติมียอดลงทุนปีละ 500,000 ล้านบาท ส่งผลให้ปี 2559 คาดว่า จะมีเม็ดเงินลงทุนภาคเอกชนผ่านบีโอไอรวม 700,000 ล้านบาท