- Details
- Category: สำนักนายกฯ
- Published: Tuesday, 05 January 2016 11:07
- Hits: 3515
'บิ๊กตู่'สั่งใช้ยาว ยึดรถเมาขับ ตร.รับลูก ชี้ช่วยลด อุบัติเหตุ 4,052 คัน คืนวันนี้!
'บิ๊กตู่'ยันมาตรการยึดรถถือเป็นกฎ หมาย ใช้ต่อยาวได้ไม่ใช่เฉพาะเทศ กาล แต่อาจปรับเปลี่ยนยึดใบขับขี่ คสช.แจงยอดยึดรถตลอด 10 วัน 4,052 คัน 5 ม.ค.ไปรับรถคืนได้ ผบ.ตร. สรุปผลปฏิบัติงาน แจงมาตรการยึดรถช่วยลดอุบัติเหตุได้จริง ยธ.เสนอขยายมาตรการต่อยาวไปถึงสงกรานต์ เน้นทำงานเชิงกลยุทธ์ แจงเหตุยอดตายเพิ่ม ต้องดูสถิติผู้ใช้ถนน ศปถ.สรุปยอด 6 วัน พุ่ง 340 ศพ โรงตึ๊งรัฐให้ของขวัญฟรีดอกเบี้ย โรงตึ๊งโคราช, บุรีรัมย์, อุบลฯ คึกคัก มีทั้งไถ่ถอน-จำนำเพิ่ม การจราจรทั้งมิตรภาพและสาย 304 เริ่มสู่ภาวะปกติ
วันที่ 05 มกราคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 25 ฉบับที่ 9169 ข่าวสดรายวัน
'บิ๊กตู่'ใช้ยาวม.44 ยึดรถเมาขับ
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐ ครั้งที่ 1/2559 ว่า สวัสดีปีใหม่ และขอขอบคุณ เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ร่วมมือที่ในช่วงปีใหม่ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น แต่ตนก็ยังกังวลเกี่ยวกับเรื่องความสูญเสีย และต้องแจ้งเตือนให้ทราบก่อนว่าคำสั่งมาตรา 44 ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ยึดรถประชาชนที่มีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดที่ตนออกไปนั้น ตนเขียนและดำริขึ้นมาเอง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้มีอำนาจสั่งการ ซึ่งกฎหมายเดิมก็มีอยู่แล้วก็แสดงให้เห็นว่าทั้งกฎหมายเก่าและกฎหมายใหม่รวมกันมันก็อยู่ ดังนั้นมาตรา 44 ฉบับนี้อยู่ไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง จะใช้ทุกวันให้เข้าใจว่ามันคือกฎหมายแล้วจนกว่าจะมีการยกเลิก และตนก็คงจะไม่ยกเลิก วันนี้ก็เร่งให้ไปทบทวนเรื่องการยึดรถ ถ้าเอาไว้นานจะมีปัญหาอีก อาจจะต้องคืนไปแล้วใช้วิธีการยึดใบขับขี่แทน จะได้ไม่ไปขับเมาเหล้ากันอีก ก็แล้วแต่เพราะได้สั่งการไปแล้ว
คสช.แจงยอดยึดรถ
เมื่อวันที่ 4 ม.ค. ที่กองบัญชาการกองทัพบก พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยว่า พล.อ.ธีรชัย นาควานิช เลขาธิการคสช. เป็นประธานการประชุมสำนักเลขาธิการคสช โดยได้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ที่ร่วมกันดูแลประชาชนเป็นอย่างดีตลอดเดือนธ.ค. กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ตำรวจ และ ฝ่ายปกครอง ยังคงอำนวยความสะดวกส่งประชาชนเดินทางกลับจากเทศกาลปีใหม่ พร้อมเข้มงวดในมาตรการดื่มไม่ขับ โดยล่าสุด สถิติการตรวจพบผู้กระทำผิดในลักษณะที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุโดยประมาทด้วยการดื่มแล้วขับขี่ ในวันที่ 3 ม.ค. ดังนี้
รถจักรยานยนต์ พบการกระทำผิด 3,098 ครั้ง เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องยึดไว้ 555 คัน และส่งผู้กระทำผิดดำเนินคดี 2,013 คน สำหรับรถโดยสารสาธารณะ และรถยนต์ส่วนบุคคล พบการกระทำผิด 1,633 ครั้ง เจ้าหน้าที่ได้ยึดใบขับขี่ไว้ 172 คน ยึดรถยนต์ 451 คัน ส่งผู้กระทำความผิดดำเนินคดี 979 คน ทั้งนี้โดยตลอด 10 วันที่ผ่านมา (25 ธ.ค.58-3 ม.ค.59) เจ้าหน้าที่ยึดรถที่ฝ่าฝืนมาตรการ ดื่มไม่ขับไว้แล้ว 4,052 คัน แยกเป็นรถจักรยานยนต์ 3,032 คัน และรถยนต์ 1,020 คัน ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด รถจักรยานยนต์ 23,703 คน รถโดยสารสาธารณะ และรถยนต์ส่วนบุคล 9,432 คน
5 ม.ค.ไปรับรถคืนได้
พ.อ.หญิงศิริจันทร์กล่าวต่อว่า ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค. เวลา 08.30 น. เป็นต้นไป ผู้ที่ถูกยึดรถเอาไว้สามารถมารับรถคืนได้ แต่บางกรณีอาจต้องผ่านกระบวนการทางคดีแล้วแต่ฐานความผิด ต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย สำหรับผู้ที่จะไปรับรถของตนเอง ให้เตรียมเอกสารที่ทางเจ้าหน้าที่ออกไว้ให้ในช่วงที่ถูกยึดรถ ซึ่งในใบดังกล่าวจะมีรายละเอียด เกี่ยวกับรถของตนเองทั้งหมด ว่ามีอุปกรณ์ประจำรถอย่างไร มีส่วนควบส่วนประกอบประจำรถอย่างไร สภาพรถแต่ละคันที่ตรวจยึดเป็นอย่างไร โดยมีการถ่ายภาพเก็บไว้เป็นหลักฐาน จะต้องนำมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตามพื้นที่ที่ระบุบไว้ในใบแบบฟอร์มรับรถที่ออกไว้ให้ หากตรวจสอบแล้วไม่ต้องมีการดำเนินคดีใดๆ ก็สามารถนำเอกสารพร้อมสำเนาบัตรประชาชนไปรับรถของตนเองได้ที่สถานีตำรวจหรือค่ายทหาร ตามที่ในเอกสารระบุไว้ หากตรวจพบว่าท่านใดต้องมีการดำเนินคดี ก็ต้องให้เป็นไปตามกระบวนทางกฎหมาย อาทิ เป่าวัดระดับแอลกอฮอล์เกินค่าที่กฎหมายกำหนด เป็นต้น
รองโฆษก คสช.กล่าวอีกว่า สำหรับการตรวจยึดรถตามโครงการ 'ดื่มแล้วขับ'ทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการถึงในวันที่ 4 ม.ค.นี้ ก่อนที่จะสรุปผลการปฏิบัติให้กับทางคณะรักษาความสงบ ดำเนินการพิจารณาต่อ ว่ามีข้อดี ข้อเสีย หรือต้องเพิ่มเติมในการทำงานในจุดใด เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงในการดำเนินการตามนโยบายโครงการ'ดื่มไม่ขับ'ต่อไป เพื่อเป็นการดูแลชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน
ผบ.ตร.สรุปผลปฏิบัติงาน
ต่อมาเวลา 11.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา โฆษก ตร. พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง รอง โฆษก ตร. แถลงผลสรุปการดำเนินมาตรการดูแลความปลอดภัยและการจราจรให้กับประชาชนในช่วงการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ขอบคุณเจ้าหน้าที่ ตำรวจทุกนาย และหน่วยร่วมปฏิบัติ เช่น ทหาร กรมการปกครอง และหน่วยอื่นๆ ที่ช่วยกันดูแลความปลอดภัยและการจราจรของพี่น้องประชาชนทุกคนในช่วงเทศกาลปีใหม่ทั้งเดินทางไปและกลับด้วยความเรียบร้อย จนได้รับคำชมเชยจากนายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เมื่อถูกถามว่าจะมีการขยายมาตรการในการยึดรถผู้ที่เมาแล้วขับต่อไปหรือไม่ พล.ต.อ. จักรทิพย์กล่าวว่า มาตรการนี้เชื่อว่าควรจะนำมาใช้ในทุกๆ เทศกาล เพราะเป็นการช่วยได้เยอะมาก ถ้าพี่น้องประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจรหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวกับความปลอดภัย เชื่อว่าจะช่วยได้เยอะ แต่ที่เกิดอุบัติเหตุเพราะว่าการฝ่าฝืนกฎจราจร เรื่องการขอความร่วมมือในเรื่องของการยึดรถ เชื่อว่าในอนาคตต่อไปจะช่วยลดยอดผู้เสียชีวิตในแต่ละปีแต่ละครั้งได้เยอะ อย่างไรก็ตามการบังคับใช้กฎหมายก็ดี การปฏิบัติตามกฎจราจรตามที่กฎหมายกำหนดก็ยังต้องปฏิบัติอยู่ ส่วนมาตรการเสริมของทาง คสช. ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ไม่ได้เป็นการลิดรอน แต่เป็นการรักษาชีวิตของพี่น้องประชาชน ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็จะดูแลรถให้อย่างดี ทั้งนี้รถที่ถูกยึดไว้จะเริ่มทยอยส่งคืน หลังยึดไว้ 7-15 วัน นับตั้งแต่วันที่ถูกยึด
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่เราจะต้องดำเนินการต่อไปหลังจากปี้นี้คือการสวดมนต์ข้ามปี ซึ่งเชื่อว่าต่อไปจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปีนี้ 17-18 ล้านคน เฉพาะใน กทม. ก็ 70 กว่าแห่ง ต่อไปสิ่งเหล่านี้จะอยู่ในมาตรการของเราในการดูแลความปลอดภัย ในอนาคตคาดว่าทุกศาสนาจะมีการสวดเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวถึงโครงการฝากบ้านไว้กับตำรวจว่า ปีนี้ก็ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนเพิ่มขึ้นจากเดิมกว่า 1,000 หลัง ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าทุกปี ก็ปลอดภัยทุกหลังยังไม่ได้รับรายงานว่าเกิดความไม่เรียบร้อย ทั้งนี้จำนวนประชาชนที่ฝากบ้านไว้กับตำรวจที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี ไม่มีผลกระทบต่อกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดูแลความปลอดภัยให้กับบ้านที่ฝากไว้ กลับกันยิ่งฝากเยอะยิ่งดี แสดงว่าพี่น้องประชาชนไว้ใจในการดูแลความปลอดภัยทรัพย์สินของท่านกับตำรวจ ฝากประชาสัมพันธ์ ด้วยว่า กำลังเราพร้อมที่จะดูแลอยู่แล้ว หากไม่พร้อมก็เรียกหน่วยข้างเคียงที่ไม่ได้อยู่ในหน้าที่หลัก เช่น ตชด. มาช่วยเสริมได้
แจงยอดผู้ใช้รถกว่า 3 ล้านคน
ส่วนพล.ต.อ.เดชณรงค์ กล่าวว่า ในการดูแลงานเฉลิมฉลองช่วงเทศกาลปีใหม่เราแบ่งออกเป็น 2-3 เรื่องด้วยกัน เรื่องแรกคือการดูแลพื้นที่ให้ปลอดภัย ตำรวจได้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมอย่างต่อเนื่อง จนทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยดี ในส่วนของ กทม. มีพื้นที่จัดงานเคานต์ดาวน์จำนวนมาก โดยภาพรวมกิจกรรมเคานต์ดาวน์และการสวดมนต์ข้ามปีสงบเรียบร้อยดี ทุกคนปีติสุขร่วมเฉลิมฉลองปีใหม่ไปด้วยกัน นี่คือมิติของการดูแลในส่วนของ กทม. ในส่วนของการนำผู้คนออกจาก กทม. เดินทางไปต่างจังหวัดไปเยี่ยมพ่อแม่พี่น้องประชาชนและท่องเที่ยวในปีนี้ ประชาชนที่ใช้เส้นทางเพิ่มเติมจากปีที่แล้วจำนวนมาก จำนวนตัวเลขที่ได้รับการยืนยันจากตำรวจทางหลวงประมาณ 3 ล้านกว่าคน ซึ่งปีที่แล้วมี 2 ล้านกว่าคน
พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ กล่าวว่า สำหรับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลต่างๆ นั้น ซึ่งผลการวิจัยระบุว่าส่วนใหญ่มาจากความเมา ฉะนั้นมาตรการหลักในการดำเนินการก็จะเน้นการตรวจสอบความเมา ปีนี้เราบังคับใช้กฎหมาย 10 ข้อหาหลัก 7 แสนกว่าราย ซึ่งปีที่แล้วจับกุมได้ 5 แสนกว่าราย เพิ่มขึ้นมาอีกแสนกว่าราย ปรากฏว่าตัวเลขที่พบยอดจับกุมความเมาในปีนี้น้อยลงมาก เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นข้อหาที่จับน้อยที่สุด ข้อหาที่โดนจับส่วนใหญ่จะอยู่ที่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ไม่สวมหมวก นิรภัย ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย และขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด แสดงว่าการประชาสัมพันธ์ และมาตรการป้องกันเราได้ผล ส่วนยอดคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในปีนี้อยู่ที่ 343 ราย เทียบกับปีที่แล้ว 341 ราย เพิ่มขึ้นมา 2 ราย ซึ่งเราต้องมีการปรับแผนทุกปี
ยธ.เสนอคุมประพฤติใหม่
ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงมาตรการลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ ว่า ทางกระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุมประพฤติจะเสนอเงื่อนไขการคุมประพฤติแบบใหม่ขึ้นมาเพิ่มเติม โดยให้มีลักษณะกึ่งลงโทษ และกึ่งการให้มีความสำนึกต่อสาธารณะ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเราพอมีอยู่บ้าง เช่น การบริจาคเลือด หรือให้ไปดูแลผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุ แต่อยากจะเพิ่มความรับผิดชอบการบริการสังคมที่เกี่ยวกับความรับผิดชอบในการใช้รถใช้ถนนให้มากขึ้น ซึ่งตรงนี้เป็นแนวคิดที่จะใช้ในช่วงระหว่างเทศกาลปีใหม่จนถึงเทศกาลสงกรานต์ และอีก 7 เดือนหลังเทศกาลสงกรานต์ก็อยากจะนำไปใช้อย่างต่อเนื่อง
นายชาญเชาวน์ กล่าวต่อว่า เท่าที่ตนได้ดูสถิติการเกิดอุบัติเหตุในช่วง 7 วันอันตรายของปี 2558 ทางศปภ. เห็นแล้วว่ามีตัวเลขที่ชัดเจนขึ้น มีการวิเคราะห์ประเด็นเพิ่มขึ้น จึงมั่นใจว่าในปีต่อไปจะนำตัวสถิติเหล่านี้มาวิเคราะห์และแก้ไขให้ตรงจุด โดยจะเน้นปัญหาเฉพาะเรื่อง เช่นการเมาแล้วขับมาเป็นอันดับ 1 และ 2 ขับรถเร็ว อีกทั้ง เรายังรู้ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุอีกด้วย อย่างไรก็ตามในปีนี้เราทราบถึงการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ทั้งมูลนิธิหรือเครือข่ายต่างๆ ซึ่งภาคประชาชนจะทราบปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ของพวกเขา ฉะนั้นภาครัฐจะต้องทำงานในเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์ส่วนกลาง โดยในส่วนปฏิบัติจะเน้นในพื้นที่ที่เป็นภาคประชาชนให้มีส่วนช่วยมากกว่าเดิม
เน้นทำงานเชิงกลยุทธ์
ผู้สื่อข่าวถามว่า จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติมหรือไม่ นายชาญเชาวน์กล่าวว่า ไม่ต้องแก้กฎหมาย เพราะกฎหมายมีครบแล้ว เพียงแต่เน้นการบริหารจัดการและทำงานเชิงกลยุทธ์ให้มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องปูพรม ไปทั้งหมด แต่เน้นเฉพาะจุด เน้นเฉพาะเรื่อง และทิศทางการทำงานของปี 2559 ที่เน้นการทำงานแบบยึดพื้นที่ ซึ่งยังจะเน้นในเรื่องของช่วงเวลาการเดินทางทั้งไปและกลับ และช่วงระหว่าง ซึ่งตรงนี้เรามีสถิติเก็บไว้หมดแล้ว
ถามอีกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นช่วงเวลาจะแก้ปัญหาอย่างไร ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า จากสถิติเรารู้ว่าประมาณช่วงวันที่ 27-30 ธ.ค. 2558 เป็นช่วงเวลากลางวันถึงค่ำ ดังนั้นจะนำมาตรการต่างๆมาใช้ในช่วงเวลานี้ ถ้าเดินทางถึงที่หมายแล้วในวันที่ 29 ธ.ค. 2558 - 2 ม.ค. 2559 ซึ่งช่วงนี้สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไป ฉะนั้นก็ต้องเช็กการดื่มแอลกอฮอล์บริเวณที่ใกล้เคียงได้ อีกเรื่องที่ต้องมองภาพเป็นระบบคือเราต้องเข้มงวดการบังคับใช้กฎหมายกับร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ว่าปิดเป็นเวลาหรือ ไม่ขายให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีหรือไม่ ทั้งนี้ มาตรการยึดรถยนต์ที่นำมาใช้ในช่วงที่ผ่านมานั้น พบว่าใช้ได้ผล จึงเห็นว่าอาจจะนำมาใช้อีกแน่นอน
"เราไม่สามารถห้ามไม่ให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงของการเฉลิมฉลอง เพียงแต่เราก็เข้มกฎหมายที่มีอยู่ให้ได้ก็แล้วกัน ขายเหล้าช่วงเวลาระหว่าง 11.00-14.00 น. และ 17.00-24.00 น. ทำตรงนี้ให้ได้ และอย่าขายให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีโดยเด็ดขาด และปิดสถานบันเทิงให้ตรงเวลา" นายชาญเชาวน์กล่าว
แจงเหตุยอดตายเพิ่ม
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า กรณีมีการยึดรถยนต์ของผู้ขับขี่ที่มีแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาล ที่ผ่านมา แต่พบว่ายังมีจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น นายชาญเชาวน์กล่าวว่า เรื่องนี้เราต้องนำสถิติมาดูกันอีกครั้ง เพราะสถิติเมื่อวันที่ 3 ม.ค. ที่ผ่านมาของกระทรวงคมนาคมระบุว่า ตลอดปี 2558 มีผู้จดทะเบียนรถยนต์มากขึ้นร้อยละ 36 ซึ่งยังขาดสถิติของช่วงเทศกาล ปีใหม่ว่า มีคนใช้รถใช้ถนนมากขึ้นร้อยละเท่าไหร่ ซึ่งขณะนี้ทราบแล้วว่า รถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด คือ รถปิกอัพและรถจักรยานยนต์ จึงต้องเก็บสถิติของคนที่ออกมาใช้รถใช้ถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ของแต่ละปีอีก ทั้งนี้ อายุเฉลี่ยของผู้เสียชีวิตคือ 25-49 ปี ส่วนผู้บาดเจ็บเป็นเยาวชน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จากเดิมมีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 30 ธ.ค. ที่ผ่านมา มาตรการยึดรถจะยังคงไว้หรือไม่ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า เราต้องดูเงื่อนไขก่อนว่าห้วงระยะเวลาในการใช้หรือไม่ หากไม่มีก็ต้องกลับมาดูกันใหม่ แต่หากจะนำมาใช้ใหม่เราต้องวางแนวปฏิบัติให้ชัดเจน อีกเรื่องคือการป้องกันการทุจริต ซึ่งแนวทางคือ หลักการใช้ดุลพินิจที่จะต้องวางแนวทางให้ชัดเจนว่าปัจจัยอะไรที่จะสามารถยึดรถได้
ศปถ.สรุปยอด 6 วันพุ่ง 340 ศพ
ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกฯ เป็นประธานแถลงข่าวสรุปผลการดำเนินงานลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2559 วันที่ 3 ม.ค. ของศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2559 โดยเกิดอุบัติเหตุ 339 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 48 ราย ผู้บาดเจ็บ 361 คน สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เมาสุรา ร้อยละ 19.79 ขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ 16.17 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 79.26 ส่วนใหญ่เกิดในเส้นทางตรง ร้อยละ 68.73 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 40.71 บนถนนใน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 34.51 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 16.01-20.00 น. ร้อยละ 33.92 ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยแรงงาน ร้อยละ 51.26 ทั้งนี้ ได้จัดตั้งจุดตรวจหลัก 2,101 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 65,403 คน เรียกตรวจยานพาหนะ 620,485 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดี รวม 97,679 ราย มีความผิดฐานไม่สวมหมวกนิรภัย 28,705 ราย ไม่มีใบขับขี่ 27,214 ราย โดยจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดได้แก่ เชียงใหม่ 17 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุดได้แก่ ตาก พระนครศรีอยุธยา และนครราชสีมา จังหวัดละ 3 ราย จังหวัดที่มี ผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ นครศรีธรรมราช 21 คน
สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสม 6 วัน (29 ธ.ค. 58-3 ม.ค. 59) เกิดอุบัติเหตุรวม 3,092 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 340 ราย ผู้บาดเจ็บรวม 3,216 คน จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 5 จังหวัด ได้แก่ ตรัง แพร่ ระนอง สิงห์บุรี และสุโขทัย จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ 125 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ นครราชสีมา 15 ราย จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ 125 คน
ม.ล.ปนัดดา กล่าวอีกว่า วันนี้ประชาชนส่วนใหญ่เดินทางถึงที่หมายแล้ว ขณะที่บางส่วนยังอยู่ระหว่างการเดินทาง ซึ่งเมื่อเทียบสถิติอุบัติเหตุทางถนนในช่วง 6 วันที่ผ่านมา เพิ่มสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมาเล็กน้อย โดยมีปัจจัยจากการที่ประชาชนใช้รถยนต์ส่วนตัว ในการเดินทางมากขึ้น นายกฯ จึงได้สั่งการให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ประสานจังหวัดดำเนินมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างต่อเนื่อง และครอบคลุมในทุกมิติ โดยเฉพาะการดูแลความปลอดภัย การอำนวยความสะดวกในการเดินทาง และการบริหารจัดการจราจรในเส้นทางสายหลัก เส้นทางเชื่อมต่อถนนสายหลักที่มุ่งสู่กรุงเทพฯ เน้นการจัดเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจ การแก้ไขปัญหาและปิดจุดเสี่ยงอุบัติเหตุ โดยตั้งกรวยริมไหล่ทาง ปิดจุดกลับรถ เปิดสัญญาณไฟ วับวาบบนเส้นทางเป็นระยะ อีกทั้งคุมเข้มการใช้ความเร็วในการขับรถ และเรียกตรวจประเมินความพร้อมของผู้ขับขี่ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการง่วงหลับ ที่สำคัญขอให้จังหวัดรวบรวมสถิติอุบัติ เหตุทางถนน และนำมาวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงและสภาพปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนการสร้างความปลอดภัยทางถนนในระดับพื้นที่ เพื่อจัดทำแผนงาน กำหนดกรอบการทำงาน และวางแนวทางแก้ไขปัญหา ที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว พร้อมทั้งร่วม ขับเคลื่อนการสร้างความปลอดภัยทางถนน ภายใต้วาระ "ประเทศไทยปลอดภัย" (Safety Thailand) ให้เป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน
โรงตึ๋งรัฐให้ของขวัญฟรีดอกเบี้ย
ขณะที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์คัดเลือกโครงการสำคัญให้เป็นของขวัญปีใหม่ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพและความมั่นคงในชีวิตของประชาชนทั่วไป ในโครงการถวายแด่พ่อหลวง ของปวงประชา 88 พรรษา ธนานุเคราะห์เพื่อประชาชน โดยเปิดให้บริการจำนำในวงเงินต้นไม่เกิน 20,000 บาท ฟรีดอกเบี้ยจนถึงวันที่ 15 ม.ค.2559 สำหรับเดือน ธ.ค. มียอดผู้ใช้บริการ จำนวน 101,063 ราย ยอดเงิน 1,440 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะนำทรัพย์สินมาจำนำเป็นทอง เพชร และนาฬิกา
โคราชคนแห่จำนำทอง
บรรยากาศที่สถานธนานุบาลทั้ง 3 แห่ง ในความรับผิดชอบของเทศบาลนคร (ทน.) นครราชสีมา ได้เปิดบริการหลังวันหยุดช่วงเทศกาล พบประชาชนทยอยนำสิ่งของมีค่ามาจำนำเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นทองรูปพรรณ
ด้านนายสุรวุฒิ เชิดชัย นายกเทศมนตรีเทศบาลนครนครราชสีมา เปิดเผยว่า การให้บริการของโรงรับจำนำทั้ง 3 แห่ง ในห้วงเวลาปกติของแต่ละวัน จะมีผู้มาใช้บริการทำธุรกรรม ส่วนใหญ่นำทรัพย์สินมาจำนำเฉลี่ยวันละ 1 พันคน ซึ่งต้องใช้เงินหมุนเวียนกว่า 1 ล้านบาท หากเป็นห้วงเวลากิจกรรมสำคัญ หรือเทศกาล สภาวะโดยรวมต้องใช้เงินมากกว่าปกติ จะมี ผู้มาใช้บริการเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่าตัว
สำหรับ อัตราดอกเบี้ยได้กำหนดให้สอด คล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 1 วงเงินไม่เกิน 5 พันบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ตั้งแต่ 5 พันบาทขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 อย่างไรก็ตาม เพื่อรองรับความต้องการ และช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย จึงสำรองเงินสด 150 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องอย่างเต็มที่
โรงตึ๊งบุรีรัมย์ก็คึกคัก
บรรยากาศที่สถานธนานุบาลเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ได้มีประชาชนและนักท่องเที่ยวแห่นำสิ่งของมีค่า เช่น ทองคำรูปพรรณ เครื่องใช้ไฟฟ้า ผ้าไหม และสิ่งของเบ็ดเตล็ดอื่นๆ มาใช้บริการจำนำ และขอขยายวงเงินจำนำกันอย่างคึกคักตั้งแต่ช่วงเช้า หลังหยุดทำการติดต่อกัน 4 วัน หลายรายถึงกับมานั่งรอหน้าสถานธนานุบาลตั้งแต่ยังไม่เปิดทำการ คาดตลอดทั้งวันจะมีประชาชนมาใช้บริการไม่น้อยกว่า 700 ราย และใช้เงินในการจำนำไถ่ถอนหลายล้านบาท จากปกติมีผู้เข้ามาใช้บริการเพียงวันละ 200-300 รายเท่านั้น ทั้งนี้ก็มีประชาชนบางส่วนที่นำเงินมาส่งดอกเบี้ยในช่วงที่ปิดทำการติดต่อกันหลาย วันด้วย ขณะที่ทางสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ได้สำรองเงินไว้กว่า 150 ล้านบาท รองรับให้ประชาชนที่จะมาใช้บริการ ทั้งนี้คาดว่าจะมีประชาชนมาใช้บริการคึกคักตลอดทั้งสัปดาห์นี้
นางประทุมวดี อ๊อกมณโฑ ผู้ช่วยผู้จัดการสถานธนานุบาลฯ กล่าวว่า ส่วนมากประชาชน ที่มาใช้บริการในช่วงนี้ ก็เพื่อต้องการนำเงินไปใช้จ่ายในครอบครัวและเป็นค่ารถเดินทางกลับไปทำงานยังกรุงเทพมหานคร และตามจังหวัดต่างๆ หลังเที่ยวเฉลิมฉลองเทศกาล ปีใหม่กับครอบครัว สำหรับทรัพย์สินที่นำมาจำนำส่วนมากกว่าร้อยละ 90 จะเป็นทองคำรูปพรรณ รองลงมาก็เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า และผ้าไหม ทั้งนี้เชื่อว่าเงินที่เตรียมไว้กว่า 150 ล้านบาท จะเพียงพอให้บริการลูกค้า
อุบลฯมีทั้งไถ่ถอน-จำนำเพิ่ม
ส่วนที่สถานธนานุบาลเทศบาลนครอุบล ราชธานี มีประชาชนบางส่วนนำเงินมาไถ่ ถอนสิ่งของและเครื่องทองรูปพรรณ จากการสอบถามทราบว่า ลูกหลานที่ไปทำงานกลับมาเยี่ยมบ้านเทศกาลปีใหม่ ได้ให้เงินไว้ใช้ จึงนำเงินมาไถ่ทองรูปพรรณที่เอามาจำนำไว้ก่อน ปีใหม่กลับคืนไป ขณะเดียวกันก็มีประชาชนที่ใช้จ่ายช่วงเทศกาลปีใหม่มากกว่าปกติ ได้นำสิ่งของและเครื่องทองรูปพรรณมาจำนำ
นางศิริพร แจ่มใส ผู้จัดการสถานธนานุบาล กล่าวว่า มีการเตรียมเงินไว้รับจำนำสิ่งของจากประชาชนในเทศกาลปีใหม่จำนวน 70 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาก็มีประชาชนเข้ามาใช้บริการทั้งไถ่ถอน หรือนำเงินมาจ่ายลดเงินต้น เฉลี่ยวันละประมาณ 100 ราย คิดเป็นยอดรับจำนำเกือบ 1 ล้านบาท
การจราจรเริ่มสู่ปกติ
ส่วนสภาพการจราจร ที่จ.นครราชสีมา บนถนนมิตรภาพบายพาสเลี่ยงตัวเมือง เพื่อมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ และจังหวัดต่างๆ ในพื้นที่ภาคตะวันออก ล่าสุดการจราจรเกือบกลับคืนเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว เหลือเพียงบางจุดเท่านั้นที่รถยนต์ชะลอตัวบ้างเล็กน้อย เช่นที่บริเวณทางขึ้นเขาเขต ต.คลองไผ่ อ.สีคิ้ว และทางขึ้นเขาเขต ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ขณะที่สภาพการจราจรบนถนนมิตรภาพโดยรวมคล่องตัวดี
ส่วนที่สถานีขนส่งผู้โดยสารทั้ง 2 แห่งของ จ.นครราชสีมา พบว่ามีประชาชนที่ตัดสินใจหยุดงานต่อ เพื่อหลีกเลี่ยงความแออัดในการเดินทางเมื่อวานที่ผ่านมา (3 ม.ค.59) เข้ามาซื้อตั๋วรถบัสโดยสารเพื่อเดินทางกลับไปทำงานกันเป็นจำนวนมาก แต่ในสภาพ โดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ ทั้งนี้ทางขนส่ง จ.นครราชสีมา สามารถระบายผู้โดยสารที่เดินทางมาใช้บริการในช่วงเมื่อวานที่ผ่านมาได้หมด เมื่อเวลาประมาณ 03.00 น.ที่ผ่านมา
เปิดช่องพิเศษถนน 304
จ.ปราจีนบุรี บรรยากาศบนถนนสาย 304 (นาดี-กบินทร์บุรี) ต.บุพราหมณ์ อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี จุดที่ผ่านบนภูเขา ระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ กับ อุทยานแห่งชาติทับลานมรดกโลก สภาพการจราจรตั้งแต่กลางดึกปริมาณรถหนาแน่น ชะลอตัวช่วงหลังลงจากภูเขาจุดแรก (ระหว่างก.ม.48-ก.ม.41) แล้วช่วงจะกลับมาเข้าเขตอุทยานฯ อีกรอบ บริเวณ ก.ม.29 ที่ถนนเป็นคอขวดจาก 4 เลนกลายเป็น 2 เลน เจ้าหน้าที่แขวงการทาง ร่วมกับตำรวจทางหลวง และสภ.วังขอนแดง เปิดช่องทางพิเศษให้รถที่มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ และจังหวัดทางภาคตะวันออกวิ่งลงเขาได้ 2 เลน ส่วนรถที่สวนขึ้นมาให้เหลือเพียง 1 เลน พบว่ารถสามารถวิ่งตามกันใช้ความเร็วได้ปกติไม่ติดขัด แต่ยังมีปริมาณหนาแน่นยาวเหยียดต่อๆ กัน ตลอดทั้งคืนคาดว่าจะกลับคืนภาวะปกติอีกครั้งช่วงสายวันที่ 4 ม.ค.นี้
ต่างชาติแห่เที่ยวเกาะกูด-หมาก
น.ส.วรรณประภา สุขสมบูรณ์ ผอ.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานตราด เปิดเผยว่า จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทาง ท่องเที่ยวที่จ.ตราด ในช่วงปีใหม่ 2559 เกิน 25,000 คน หรือใกล้ 30,000 คน โดยที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศมีมากถึง 15,300 คน ซึ่งเมื่อเทียบกับปี 2558 มีจำนวนลดลงเล็กน้อย เนื่องเกรงว่าจะเกิดความไม่ปลอดภัยทั้งในประเทศไทยและในเมืองใหญ่ เพราะเหตุมีการก่อการร้ายเกิดขึ้น รวมทั้งปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ยังน่าเป็นห่วง ทำให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศลดลง ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ แต่แนวโน้มจะดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเดือนมีนาคม 2559 อย่างไรก็ตามนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย อย่างจีน เดินทางมาเพิ่มขึ้น ทั้งนี้สถานการณ์เช่นนี้ เป็นเหมือนกันทั้งพัทยา ระยอง และตราด แต่พัทยากระทบมากที่สุด
"เป็นที่น่าสังเกตว่านักท่องเที่ยวที่เดินทางมาที่ จ.ตราด ไม่ได้มุ่งมาที่เกาะช้างอย่างเดียวแต่ได้กระจายไปยังเกาะกูด เกาะหมาก และหมู่เกาะอื่นๆ เพิ่มขึ้น รวมทั้ง อ.คลองใหญ่ที่มี นักท่องเที่ยวไปมากขึ้น เนื่องจากมีชายหาดที่สวยงามทั้งหาดบานชื่นและหาดราชการุณย์และหาดอื่นๆ ทำให้ยอดห้องพักเต็มเกือบทั้งหมดเช่นกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านักท่องเที่ยวต้องการความสะดวก และความเป็นธรรม ชาติ เพราะเกาะช้างหากมามากจะเกิดปัญหา รถติด จึงปรับไปท่องเที่ยวยังที่อื่นใน จ.ตราด จึงเป็นเรื่องดีที่ทำให้นักท่องเที่ยวกระจายไปในหลายแห่ง ทั้งเกาะกูด เกาะหมาก และเกาะอื่นๆ ซึ่งหากจะประเมินรายได้เข้า จ.ตราดในช่วง ปีใหม่น่าจะอยู่ราว 300-400 ล้านบาท"