- Details
- Category: สำนักนายกฯ
- Published: Tuesday, 22 December 2015 12:52
- Hits: 5685
`สมคิด`สั่งทุกกระทรวง จัดทำรายละเอียดงบฯปี 60 เสนอสำนักงบประมาณ 18 ธ.ค.นี้ ชี้แม้ปี 59 จัดเก็บได้น้อยแต่ไม่กระทบรายจ่ายปี 60
'สมคิด'สั่งทุกกระทรวง จัดทำรายละเอียดงบประมาณประจำปี 60 เสนอสำนักงบประมาณ18 ธ.ค.นี้ ชี้แม้ปี 59 จัดเก็บได้น้อยแต่ไม่กระทบรายจ่ายปี 60 ฟากสำนักงบฯ เผยช่วง 2 เดือนของปีงบ 59 เบิกจ่ายงบไปแล้ว 21.6% เร่งทุกหน่วยงานแจงแผนลงทุนปีงบ 60 ภายใน 11 ธ.ค.นี้ ย้ำต้องเป็นโครงการที่ต้องสอดคล้องกับ 6 ยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ก่อนสรุปตัวเลขการใช้เงินงบประมาณในวันที่ 18 ธันวาคม
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ว่า ได้สั่งการให้แต่ละกระทรวงรายงานรายละเอียดงบประมาณที่จะต้องใช้ รวมถึงแผนที่จะดำเนินการทั้งหมดมาให้รับทราบ ซึ่งจากการรายงานได้ให้แต่ละกระทรวงกลับไปจัดทำรายละเอียดการใช้งบประมาณ วงเงินงบประมาณที่จะใช้ และเป้าหมายของแต่ละโครงการ โดยให้ระบุให้ชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร แล้วกลับมาเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาอีกครั้งในวันที่ 18 ธันวาคมนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของนายกรัฐมนตรีและยุทธศาสตร์ของประเทศ ซึ่งที่มีเป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำของประชาชน พัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้มีความแข็งแกร่ง พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และการดูแลผู้สูงอายุ
ส่วนกรณีที่มีความกังวลว่าการจัดเก็บรายได้ปีงบประมาณ 2559 (ต.ค.58-ก.ย.59) จะต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ และจะมีผลกระทบต่อการจัดทำงบประมาณในปี 2560 (ต.ค.59-ก.ย.60) นั้น ยืนยันว่าจะไม่ได้รับผลกระทบเพราะเชื่อว่าจะสามารถบริหารจัดการรายได้และรายจ่ายให้มีความเหมาะสมและสมดุลภายใต้การจัดทำยุทธศาสตร์ที่ตั้งเป้าหมายไว้
ทั้งนี้ ได้สั่งให้กระทรวงคมนาคมกลับไปวางแผนโครงการลงทุนทั้งหมดว่าโครงการใดอยู่รูปแบบการลงทุนPPP บ้าง และกำชับให้เร่งรัดการทำถนนเพื่อเชื่อมโยงเส้นทางที่อยู่ในแนวระเบียงเศรษฐกิจเพื่อเชื่อมโยงการค้าการลงทุน
ขณะเดียวกันยังให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยเป็นแกนหลักสำคัญขับเคลื่อนนโยบายประชารัฐเพื่อสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ได้เน้นย้ำให้กระทรวงพาณิชย์เป็นกลไกในการขับเคลื่อนการค้าภายในประเทศให้มีความเข้มแข็งนอกเหนือจากการขับเคลื่อนการส่งออก เช่น ผลักดันการค้าในรูปแบบ อีคอมเมิร์ซ และ สร้างผู้ประกอบการรายใหม่ รวมถึงลดอุปสรรคในการประกอบธุรกิจ
ด้านนายสมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ ผู้อำนวยสำนักงบประมาณ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สั่งให้แต่ละหน่วยงานที่ต้องการลงทุนเพิ่มเติม เร่งจัดทำแผนโครงการลงทุนต่าง ๆ นำมาเสนอกระทรวงที่เกี่ยวข้องภายในวันที่ 11 ธันวาคมนี้ ซึ่งจะต้องเป็นโครงการที่ต้องสอดคล้องกับ 6 ยุทธศาสตร์การใช้งบประมาณปี 2560 และงบประมาณของแต่ละกระทรวง จากนั้นในวันที่ 18 ธันวาคม จะสรุปตัวเลขการใช้เงินงบประมาณ ปี2560แต่ละโครงการลงทุนและแผนการใช้เงินเพื่อให้ 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ฯ จะต้องพิจารณาว่างบประมาณในปี 2560 ต้องขาดดุลต่อเนื่องสัดส่วนเท่าใดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายในวันที่ 25 มกราคม 2559
สำหรับ ภาพรวมการเบิกจ่ายงบประมาณ ปี 2559 ช่วง 2 เดือน หรือตั้งแต่เดือนตุลาคม - พฤศจิกายน สามารถเบิกจ่ายร้อยละ 21.6 โดยแบ่งเป็นงบลงทุน เบิกจ่ายได้ร้อยละ 6-7 ของงบลงทุนทั้งหมด ซึ่วสามารถลงนามสัญญาในโครงการต่างๆ ร้อยละ 21 สูงกว่าช่วยเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 10 ถือว่าน่าพอใจ
สำหรับ งบประมาณเชิงยุทธศาสตร์ 6 ด้าน ประกอบด้วย 1. ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง เช่น ความมั่นคงทางด้านต่างประเทศ เรื่องปรองดองของคนภายในประเทศและการแก้ไขปัญหา 4 จังหวัดชายแดนใต้ 2. ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน 3. ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน 4. ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาส ความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคม เช่น การแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำของคนในสังคม เป็นต้น 5. ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบน คุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจะครอบคลุมไปถึงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการดูแลเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ 6. ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐซึ่งจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการป้องกันและการปราบปรามคอร์รัปชันและการเพิ่มประสิทธิ-ภาพการบริหารจัดการภาครัฐ เป็นต้น
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
คลังสั่งกรมภาษีทำแผนบี้รายได้วัดประสิทธิภาพการทำงาน ขอไฟเขียว'อภิศักดิ์'สัปดาห์นี้
แนวหน้า : นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การจัดเก็บรายได้ของประเทศปีงบประมาณ 2559 ที่มีเป้าหมาย 2.35 ล้านล้านบาท มีความเสี่ยงที่จะ ไม่ได้ตามเป้าหมาย จึงได้สั่งการให้กรมภาษี คือ กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีและให้เสนอแผนงานมาให้กระทรวงการคลังพิจารณา โดยในแผนงานต้องระบุด้วยว่าจะทำให้การเก็บภาษีเพิ่มขึ้นเท่าไร เพื่อวัดประสิทธิภาพการเพิ่มการเก็บภาษีทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ โดยจะเสนอแผนทั้งหมดให้ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เห็นชอบในสัปดาห์นี้
ส่วนของกรมสรรพากรจะดูแลผู้เสียภาษีรายใหญ่ที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ฯให้ละเอียดมากขึ้น โดยจะดูใบรายการแสดงรายรับรายจ่ายและธุรกรรมที่สุ่มเสี่ยงว่ามีการเสียภาษีไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งไม่ สามารถเปิดเผยรายละเอียดที่จะดำเนินการทั้งหมดได้
นอกจากนี้ ยังให้กรมสรรพากรดูเรื่องการคืนภาษีของผู้ประกอบการ ให้มีการตรวจสอบเอกสารการขอคืนว่าเป็นเอกสารจริง มีธุรกรรมเกิดตามที่แจ้งไว้จริงหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาพบว่ามีการขอคืนภาษีเป็นเท็จจำนวนมากและเป็นรายใหญ่ที่กระทำผิดด้วย
สำหรับ กรมศุลกากรได้สั่งการให้ดูการสำแดงนำเข้าของสินค้าให้ถูกต้อง ทั้ง ประเภทสินค้า ราคาสินค้า อัตราพิกัด แหล่งกำเนิดสินค้าที่ถูกต้อง และให้ใช้มาตรฐานการเก็บภาษีกับผู้ประกอบการทุกรายให้ เหมือนกัน รวมทั้งให้ดูแลการเก็บภาษีสินค้าอ่อนไหว ทั้ง รถหรู ชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ และสินค้าเกษตร เป็นต้น
ด้านกรมสรรพสามิต ได้ให้เพิ่มประสิทธิภาพการติดตามปราบปรามสินค้าบาปที่หลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี ซึ่งเกี่ยวโยงกับกรมศุลกากรที่มีหน้าที่เก็บภาษีแทนกรมสรรพสามิต ก็ต้องร่วมมือดูแลในเรื่องนี้พร้อมกัน ไปด้วย รวมถึงให้กรมสรรพสามิตไปตรวจสอบการเสียภาษี ทางมิเตอร์ที่ว่าตรงไม่สามารถเลี่ยงภาษีได้ ว่ายัง มีความคลาดเคลื่อนหรือช่องทางทำให้การเสียภาษีไม่ตรงตามจริงหรือไม่
นายสมชัย ย้ำว่า การเพิ่มประสิทธิภาพเก็บภาษีทั้ง 3 กรม จะทำให้เก็บภาษีเพิ่มขึ้นได้ระดับหนึ่ง เพื่อมาชดเชยกับรายได้ที่เคยคาดว่าจะเก็บได้ แต่ไม่ สามารถดำเนินการได้ตามแผน เช่น การเก็บภาษีสรรพสามิต น้ำมันดีเซล ที่เดิมคาดว่าจะต้องเพิ่มอีก 1 บาท แต่ตอนนี้ไม่มีนโยบายปรับขึ้น อย่างไรก็ตาม การเพิ่ม ประสิทธิภาพการเก็บภาษี จะมีการดำเนินการตามมาอีก ที่กำลังดำเนินการอยู่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพื่อให้ แน่ใจว่าการเก็บรายได้รวมของประเทศจะได้ตามเป้าหมาย ที่ตั้งไว้ 2.35 ล้านล้านบาท