- Details
- Category: สำนักนายกฯ
- Published: Thursday, 30 July 2015 18:34
- Hits: 2787
หม่อมอุ๋ยเชื่อ GDP ปีนี้โตได้ 3% ยันสบายใจ-ทำงานเต็มที่แม้มีข่าวปรับครม.
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้น่าจะเติบโตได้ราว 3% เนื่องจากขณะนี้ภาครัฐได้ใช้จ่ายเงินไปมากแล้ว และมีการลงทุนของภาคเอกชนเข้ามาเสริม ขณะที่มีปัจจัยหลักคือการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้นเข้ามาช่วยลดผลกระทบจากการส่งออกที่หดตัวไปได้มากในช่วงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่เชื่อว่าในช่วงไตรมาส 4/58 การส่งออกน่าจะกลับมาดีขึ้นหลังจากเงินบาทอ่อนค่าลงไปมากแล้ว
ม.ร.ว.ปรีดืยาธร กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้แถลงชี้แจงภาวะเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ ร่วมกับรมว.อุตสาหกรรม และรมช.พาณิชย์ หลังจากที่ได้รายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในวันนี้ได้รับทราบข้อมูล
ทั้งนี้ เศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัว ประเทศขนาดใหญ่ต่างลดการนำเข้า ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของทุกประเทศ รวมถึงไทย อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีการท่องเที่ยวเข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจไว้ไม่ให้ติดลบ โดยขณะนี้การท่องเที่ยวเติบโตถึง 28% นอกจากนั้น ปัจจัยที่จะช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้เติบโตได้ถึง 3% คือการที่ภาครัฐได้ใช้จ่ายเงินไปในหลาย ๆ ส่วน และการลงทุนเอกชนที่เพิ่มขึ้นเข้ามาเป็นส่วนเสริม
นอกจากนั้น จากข้อมูลขององค์การส่งเสริมการค้าญี่ปุ่นประจำประเทศไทย (เจโทร) ทำให้คาดการณ์ว่าการส่งออกของไทยน่าจะกลับมาเป็นบวกได้ในช่วงไตรมาส 4/58 เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าไปมากมีผลให้ราคาสินค้าส่งออกปรับลดลง แต่อาจต้องใช้เวลา 3-4 เดือนในการสั่งซื้อสินค้าตามราคาใหม่
ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)ระบุว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้มีคำขออนุมัติโครงการส่งเสริมการลงทุนเข้ามาแล้วกว่า 1,200 โครงการ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งคาดว่าโครงการต่าง ๆ จะเริ่มทยอยลงทุนในช่วง 1 ปีนี้ เป็นตัวชี้ให้เห็นว่าผู้ประกอบการและนักลงทุนไม่ได้ขาดคตวามเชื่อมั่นในประเทศไทย
ส่วนกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจที่จะมีการดึงนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังเข้ามาคุมเศรษฐกิจแทนนั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ปฏิเสธที่จะให้ความเห็น แต่ยืนยันว่ายังสบายใจและทำงานอย่างเต็มที่
"ไม่รู้ ไม่มีทางรู้ เราคนทำงาน เราทำงานเต็มที่จริงๆ....ไม่รู้ อันนี้ผมไม่เดา ผมทำงาน รัฐมนตรีทั้งสองท่านก็ทำเต็มที่ คุณจักรมณฑ์ตอนเข้ามาผมยังดำอยู่ เจองานรัฐบาลเข้าไปผมขาวไปเยอะเลย...ชอบถามไม่เป็นเรื่องเป็นราว"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
ด้านนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า แม้ว่าการส่งออกของไทยในเดือน มิ.ย.จะปรับลดลงถึงกว่า 7% แต่จากข้อมูลการส่งออกในช่วง 6 เดือนแรกในหลายประเทศ โดยเฉพาะ 10 ประเทศที่มีการส่งออกสูงสุดก็ลดลงมามากเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์และมาเลเซีย ติดลบ 13% ญี่ปุ่น ติดลบ 7% ฝรั่งเศส ติดลบ 16% ออสเตรเลีย ติดลบ 21% และรัสเซีย ติดลบถึง 30%
จากการประเมินของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์)เห็นว่าเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะเปราะบาง ส่วนหนึ่งมาจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะข้าวและยางพารา ฉุดมูลค่าส่วงออกของไทยให้ปรับลดลง แม้ว่าปริมาณจะไม่ได้ลดลงก็ตาม นอกจากนั้นยังมีปัจจัยชั้วคราวที่การส่งออกรถยนต์ของค่ายโตโยต้าลดลงในช่วงการเปลี่ยนโมเดลรถรุ่นใหม่
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของมูลค่าการส่งออกยางพาราที่ตกต่ำมาตลอด 18 เดือนนั้น ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณการขยับขึ้นมาแล้ว และยังคงเป้าหมายการส่งออกข้าวปีนี้ไว้ที่ 10 ล้านตัน
"เมื่อดูการนำเข้าและส่วออกทั่วโลก ทุกประเทศลดการนำเข้าลงหมด ผู้ขายก็ย่อมจะลำบาก แต่กระทรวงพาณิชย์จะทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อผลักดันการส่งออก ล่าสุด รมว.พาณิชย์ไปโรดโชว์ที่แอฟริกาทั้งข้าวและรถยนต์ คาดว่าน่าจะขายข้าวได้ 2 แสนตัน กระทรวงพาณิชย์ยังจัดงานร่วมกับประเทศอินเดียที่ จ.สราษฎร์ธานี มียอดขายยางได้ถึง 5 แสนตัน มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท นอกจากนรั้นจะนำสินค้าไปแสดงและเจรจาขายให้กับประเทศอื่น ๆ ด้วย"
นายจักรมณฑ์ ผาสุกวณิช รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยยังมีการลงทุนใหม่ ๆ เข้ามา โดยเฉพาะการตั้งโรงงานผลิตยางล้อรถยนต์ที่มีราว 8-10 โรงงาน และเริ่มสร้างไปแล้ว 3 โรงงาน ขณะที่โครงการอีโคคาร์ 2 เริ่มลงตัวแล้ว ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าการผลิตชิ้นส่วนและมีการนำเข้าเครื่องจักรใหม่ ๆ ประกอบกับ รัฐบาลยังสนับสนุนการลงทุนใหม่ ๆ โดยเฉพาะในด้านวัตกรรม โรงไฟฟ้าชีวมวล และพลังงานทดแทน ซึ่งขณะนี้บีโอไอให้การส่งเสริมการลงทุนกับโครงการลงทุนไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท
อินโฟเควสท์
กระทรวงคลังหั่นจีดีพีเหลือ 3% ทั้งปีเฉือนส่งออกติดลบ 4%
แนวหน้า : นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยว่า สศค.ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี อยู่ที่ 3% ต่อปี หรือยู่ในช่วง 2.5-3.5% จากเดิมคาดว่าจะขยายตัว 3.7% ต่อปี เนื่องจากภาคการส่งออก 6 เดือนที่ผ่านมาตามกระทรวงพาณิชย์ประกาศติดลบสูงถึง 4.8% ทั้งนี้ สศค.คาดว่า ทั้งปีการส่งออกติดลบถึง 4% ต่อปี จากคาดการณ์เดิมขยายตัวเป็นบวก 0.2% ต่อปี
อย่างไรก็ตาม จีดีพีทั้งปีที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 3% ยังมีปัจจัยบวกที่ได้จากภาคการท่องเที่ยว โดยในปีนี้คาดว่า จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา 29.9 ล้านคน จากเดิมมองว่า จะมี 29.4 ล้านคน ซึ่งจะส่งผลให้มีรายได้เข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 24%
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยจากนโยบายเร่งรัดการเบิกจ่ายทั้งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่จะทำให้ครึ่งปีหลังดีขึ้น รวมถึงโครงการต่างๆของภาครัฐ ที่จะชัดเจนมากขึ้น เช่น โครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โครงการบริหารจัดการน้ำ และโครงการพัฒนาระบบขนส่งทางถนน และอาจกระตุ้นการใช้จ่ายภาคเอกชนให้เพิ่มขึ้น
ด้านการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวจากปีก่อนหน้าโดยได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำและภาวะการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มขึ้น ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวจากปีก่อนเช่นกัน จากแรงสนับสนุนของโครงการลงทุนภาครัฐ และมาตรการช่วยเหลือต่างๆ เช่น มาตรการลดภาษีเอสเอ็มอี ให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนทางภาษี เป็นต้น
สำหรับ เสถียรภาพเศรษฐกิจของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศคาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2558 มีทิศทางปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ -0.6 จากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก โดยเฉพาะจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับแรงกดดันด้านอุปสงค์ลดลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้า
ขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศ คาดว่าดุลการค้าจะเกินดุลเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เนื่องจากมูลค่าการนำเข้าที่หดตัวเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่ามูลค่าการส่งออก ซึ่งสอดคล้องกับการลดลงของราคาสินค้าส่งออกและสินค้านำเข้า และคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลประมาณ 20.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 5.1% ของจีดีพีเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ตามการเกินดุลบริการที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น
"ในการประมาณการเศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ ความรวดเร็วของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสามารถเรียกความเชื่อมั่นในการลงทุนภาคเอกชนให้กลับมาได้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงอ่อนแอ ความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศและอัตราแลกเปลี่ยน และทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลก โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตร"นายกฤษฎา กล่าว