- Details
- Category: สำนักนายกฯ
- Published: Thursday, 04 June 2015 22:47
- Hits: 2615
ไทยชูใช้นวัตกรรมนาชาติดันตั้งฮับรถไฟฟ้า
บ้านเมือง : นายกรัฐมนตรี ชูใช้นวัตกรรมไทยขับเคลื่อนประเทศ ตั้งเป้าสร้างความเข้มแข็ง SME ด้วยเทคโนโลยีไทย 13,000 ราย ดันไทยเป็นศูนย์กลางผลิตยานยนต์ไฟฟ้า เตรียมตั้งสถาบันพัฒนาเทคโนโลยีรองรับอุตสาหกรรมขนส่งทางราง และขานรับเขตนวัตกรรมพิเศษ
เมื่อเร็วๆ นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบนวัตกรรมของประเทศ โดยที่ประชุมได้พิจารณาและเห็นชอบนโยบายและมาตรการสำคัญในการนำพาประเทศสู่ความมั่งคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศโดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชนไทย และใช้ตลาดภาครัฐนำร่องเป็นฐานลูกค้าสำคัญให้เอกชนที่คิดค้นและผลิตสินค้านวัตกรรม
ที่ประชุมเห็นชอบให้ใช้ตลาดภาครัฐนำร่องเปิดตลาดให้กับสินค้าหรือบริการนวัตกรรมไทย เพื่อส่งเสริมให้คนไทยใช้สินค้าไทยที่มีคุณภาพเทียบเคียงต่างประเทศ ผ่านการขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย โดยให้ สวทช. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบการขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย (ดูรายละเอียดที่ www.innovation.go.th) โดยให้ภาครัฐจัดซื้อสินค้าหรือบริการที่อยู่ในบัญชีนวัตกรรมไทยได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 แต่ไม่เกินร้อยละ 30 ของงบประมาณที่ได้รับสำหรับจัดซื้อหรือจัดหาสินค้าหรือบริการนั้นๆ
โดยวิธีกรณีพิเศษและให้ขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทยได้ไม่เกิน 3 ปี เพื่อให้เอกชนไทยมีตลาดรองรับและเริ่มแข่งขันได้ ทั้งนี้ สินค้าหรือบริการนวัตกรรมใดที่ยังไม่ได้มาตรฐาน ให้เร่งขอรับรองมาตรฐานเพื่อขอขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย สำหรับกรณีนวัตกรรมไทยที่ผลิตโดยหน่วยงานรัฐ อาจผ่านหรือยังไม่ผ่านการทดสอบมาตรฐาน หรือยังไม่มีภาคเอกชนรับไปผลิต ให้ขึ้นเป็นบัญชีสิ่งประดิษฐ์ไทย เพื่อสนับสนุนให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ โดยหน่วยงานรัฐที่เป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีนั้นๆ สามารถยื่นเสนอของบประมาณภายใต้โครงการส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรมโดยการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ของสำนักงบประมาณได้
แนวทางสำคัญประการหนึ่งในการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ผลงานนวัตกรรมไทย คือการจัดมหกรรมนวัตกรรมไทยในส่วนภูมิภาค เพื่อส่งเสริมให้เกิดธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง และนำผลงานนวัตกรรมไทยที่หน่วยงานต่างๆ ยื่นเสนอขอขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย มาจัดแสดงในส่วนภูมิภาค ทำให้ผู้ประกอบการและประชาชนในท้องถิ่นมีโอกาสเข้าถึงหรือเลือกใช้นวัตกรรมที่คิดค้นโดยคนไทย เพื่อนำไปสู่โอกาสการลงทุนสร้างธุรกิจใหม่ อันเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถพึ่งพาตนเอง และพัฒนาอย่างยั่งยืน
โดยมอบหมายกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการจัดมหกรรมนวัตกรรมไทยภายในปี 2558 จำนวน 3 แห่ง คือ ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กรมประชาสัมพันธ์ รณรงค์แพร่ข่าวให้คนไทยได้รู้จักผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมไทย พร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นให้คนไทยมีความภูมิใจที่จะอุดหนุนสินค้าไทย เพื่อทำให้คนไทยมีงานทำ และทำให้เศรษฐกิจเติบโต ดังเช่นประเทศเพื่อนบ้านของเราและประเทศจีนที่นิยมสินค้าคุณภาพจากประเทศไทย
ในส่วนของการสร้างความเข้มแข็งของ SME ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อแก้ไขปัญหาการเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำให้ SME ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขัน รองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนได้นั้น คณะกรรมการฯ เห็นชอบให้ขยายผลโครงการที่ปรึกษาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (Industrial Technology Development Program : ITAP) ที่ช่วย ผู้ประกอบการในการแก้ไขปัญหาเชิงเทคนิคให้พร้อมใช้งานจริง โดยตั้งเป้าพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีรวม 13,000 ราย ซึ่งภาครัฐจะสนับสนุนงบประมาณ 1 ใน 3 หรือราว 5,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นการลงทุนโดยภาคเอกชน คาดว่าจะทำให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น เพิ่มกำไร ลดต้นทุน เพิ่มการลงทุน เพิ่มการจ้างงาน ประมาณ 90,000 ล้านบาท ภายใน 6 ปี
สำหรับ ภาคเอกชนที่ใช้เทคโนโลยีเป็นฐานใน การผลิต หรือธุรกิจฐานเทคโนโลยี เพื่อกระตุ้นให้ภาคเอกชนที่ลงทุนในธุรกิจฐานเทคโนโลยีแบบเงินร่วมลงทุน คณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบให้มีการยกเว้นภาษีเงินได้จากเงินปันผลและกำไรจากการขายหุ้นให้แก่ธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Private Equity) ที่ลงทุนในธุรกิจฐานเทคโนโลยี และลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลแก่บริษัทที่ประกอบธุรกิจเทคโนโลยีที่เสนอขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เหลือร้อยละ 15 เป็นเวลา 5 ปี
นอกจากนี้ รัฐบาลมีนโยบายลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ คือ การลงทุนสร้างรถไฟทางราง ซึ่งประเทศไทยมีความสามารถในการผลิตในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมการขนส่งทางรางอยู่จำนวนมาก และที่ผ่านมาแม้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะมีความพร้อม แต่ยังขาดโอกาสในการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนผ่านโครงการขนาดใหญ่ ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคโนโลยีระบบขนส่งทางรางแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) เป็นประธาน ซึ่งมีเป้าหมายให้สถาบันฯ เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยสามารถผลิตชิ้นส่วนที่ใช้ในระบบการขนส่งทางรางโดยใช้วัตถุดิบในประเทศ และเป็นห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมระบบรางของโลก ภายในปี 2574
และเนื่องจากไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลก ที่ประชุมได้เห็นชอบให้ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายให้มีต้นแบบยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นในประเทศภายในปี 2558 ผ่านการจัดแข่งขันผลิตรถโดยสารไฟฟ้าขึ้น 2-3 คัน เพื่อคัดเลือกเอกชนที่สามารถผลิตต้นแบบรถโดยสารที่ภาครัฐต้องการขึ้นภายในปี 2558 โดยผู้ชนะจะได้ตลาดภาครัฐประมาณ 500 คัน ใน 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ตลาดของภาครัฐที่เหมาะสม คือ รัฐวิสาหกิจ ที่มีการขนส่งมวลชนในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น ซึ่งควรลดมลพิษโดยเปลี่ยนเป็นรถบัสไฟฟ้าโดยเร็ว และมอบหมายให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาเงื่อนไขการจัดซื้อรถบัสใหม่ให้แก่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) โดยหากมีการจัดซื้อ ควรเป็นงบประมาณซื้อรถบัสไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ พร้อมจัดตั้งสถานีประจุไฟ หรือสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่สอดคล้องกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ที่จะกำหนดขึ้น รวมทั้งจัดงบประมาณพิเศษ เพื่อเร่งรัดการวิจัยและสร้างรถต้นแบบขึ้นทดลองใช้งานจำนวนหนึ่งด้วย
สุดท้ายคณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบในหลักการของการจัดตั้งเขตนวัตกรรมพิเศษเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปรับเปลี่ยนการผลิตสินค้า หรือบริการที่ใช้แรงงานเข้มข้น มีมูลค่าเพิ่มต่ำ ไปสู่การใช้เทคโนโลยีอย่างเข้มข้น โดยสร้างพื้นที่เศรษฐกิจใหม่บนฐานนวัตกรรมและการวิจัยพัฒนาสำหรับการผลิตสินค้าหรือบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ที่เป็นแหล่งรายได้ และการจ้างงานใหม่ให้กับประเทศและพื้นที่ในทุกภูมิภาค และสนับสนุนกลไกขับเคลื่อนต่างๆ
ทั้งบริษัทธุรกิจเทคโนโลยีที่จัดตั้งใหม่ บริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม บริษัทขนาดใหญ่ และบริษัทต่างประเทศ ที่ดำเนินกิจการในประเทศไทย ให้ขยายการลงทุนทำวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม โดยใช้เขตนวัตกรรมพิเศษเป็นศูนย์รวมและสร้างความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมระหว่างภาคเอกชน หน่วยงานสนับสนุนภาครัฐ หน่วยงานภาคการศึกษา และสถาบันวิจัยและพัฒนา ในการพัฒนาและต่อยอดผลงานวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์ เพื่อเป็นฐานความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนพร้อมสำหรับการขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนและตลาดโลก โดยได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการจัดทำข้อเสนอการพัฒนาระบบนวัตกรรมไทย จัดทำแผนการดำเนินงานและจัดระบบบริหารจัดการ เพื่อนำเสนอในการประชุมครั้งต่อไป