WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ผลงาน 6 เดือน รัฐบาล 'บิ๊กตู่'ตั้งใจดี.. เอกชนให้ 'สอบผ่าน'แนะเร่งฟื้น ศก. ฝ่าปัจจัยลบรุม

   ไทยโพสต์ : ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในฐานะ งรัฐบาล’ จนครบ 6 เดือนเต็มแล้ว สำหรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุด "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรี ที่เริ่มเข้ามาดำรงตำแหน่งตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ส.ค.2557 แม้ว่าเวลาในการปฏิบัติหน้าที่จะไม่นานมากนัก แต่เป็นที่จับ ตามองอย่างมาก เนื่องจากการก้าวขึ้นมานั่งเก้าอี้บริหารประเทศในฐานะ ‘นายกรัฐมนตรี’ไม่ได้มาจากวิธีการแบบประชาธิปไตยอย่างการ 'เลือกตั้ง'

    ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะในแง่มุมทางเศรษฐกิจที่มีปัจจัยกดดันสืบเนื่องมาตั้งแต่ช่วงก่อนหน้า จึงไม่แปลกหากจะได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์การบริหารงานในส่วนนี้อยู่ไม่ใช่น้อย

  โดยก่อนหน้านี้ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้สำรวจความ คิดเห็นของประชาชนเรื่อง "ประเมินผลงาน 6 เดือน รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา" โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 1.15 พันคน จากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ พบว่าประชาชนให้คะแนนความพึงพอใจในการบริหารงานของรัฐบาล อยู่ที่ 6.20 คะแนน จากเต็ม 10 คะแนน ซึ่งลดลงจากการประเมินการทำงานรอบ 3 เดือน ที่รัฐบาลได้คะแนนอยู่ที่ 6.52 คะแนน และลดลงจากการทำงานครบ 3 เดือนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ได้ 6.90 คะแนน

    โดยการประเมินครั้งนี้ รัฐบาลได้คะแนนมากที่สุดในด้านความมั่นคงของประเทศที่ 7.11 คะแนน และได้คะแนนน้อยที่สุดในด้าน "เศรษฐกิจ" คือ 5.58 คะแนน

'นโยบายการคลัง' ไม่แข็งแกร่ง

    'พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย'ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์ ภัทร จำกัด ระบุว่า การทำงานของรัฐบาลในแง่ของการบริหารด้านเศรษฐกิจ ถือว่ายังมีปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไขอยู่ โดยเฉพาะการจัดเก็บรายได้ที่ทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จนเป็นผลต้องให้มีการตั้งงบขาดดุลอย่างต่อเนื่อง และสุดท้ายก็สะท้อนไปที่ตัวเลขจีดีพีในช่วง 1-2 ปีนี้ ให้ขยายตัวได้ไม่มากนัก

    สำหรับ นโยบายการคลัง ในส่วนของการเบิกจ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอีกมาก แต่ที่ผ่านมาก็มีผลลัพธ์ให้เห็นแล้วว่า การใช้จ่ายของกระทรวงการคลังยังไม่เพียงพอที่จะกระ ตุ้นหรือดึงให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เพิ่มขึ้นมากนัก

    "ตามหลักการแล้ว นโยบายการคลังควรมีบทบาทที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งโจทย์ที่สำคัญหลังจากนี้คือ การเร่งลงทุน ซึ่งที่ผ่านมาก็เกิดได้ช้ามาก ทั้งที่เรื่องนี้เป็นประเด็นที่สามารถตอบโจทย์เศรษฐกิจได้เร็ว แต่ก็ติดกระบวนการหลายอย่างทำให้กลายเป็นอุปสรรคมากกว่า ส่วนเรื่องแนวคิดในการจัดเก็บภาษี ทั้งภาษีมรดก ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ไปจนถึงช่วงก่อนหน้านี้ที่ออกมาระบุว่ามีแนวคิดในการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) จนกลายเป็นเรื่องวิตกของประชาชนนั้น ก็ยังเป็นปัจจัยที่ไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นอีกเช่นกัน"

    หากจะพูดว่า แนวคิดในการหารายได้เพิ่มของรัฐบาลผ่านการจัดเก็บภาษีใหม่ๆ เพื่อนำเงินมาใช้ในการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไม่ใช่เรื่องผิด แต่ที่ผิดคือ "เวลา" เพราะภาพรวมเศรษฐกิจในขณะนี้ไม่ได้อยู่ในช่วงที่รัฐบาลจะทำอะไรตามที่คิดได้ โดยเฉพาะเรื่องภาษี!

     ดังนั้น บทบาทของการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา อาจยังทำได้ไม่ดีนัก นโยบายการคลังไม่ได้มีบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เพียงพอ ดังนั้น หลังจากนี้เห็นว่าการวางนโยบายที่เหมาะสม การเพิ่มเติมงบประมาณในส่วนที่จำเป็น โดยเฉพาะโครงการลงทุนต่างๆ และเร่งกระตุ้นให้มีการเบิกจ่ายให้เร็วขึ้น จะกลายเป็นโจทย์สำคัญที่รัฐบาลต้องหันกลับมาพิจารณาให้มากขึ้น โดยเน้นลงทุนในโครงการที่ดี มีคุณภาพ และมีศักยภาพเพียงพอกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการรถไฟรางคู่ เป็นต้น

     และนอกจากนโยบายการคลังแล้ว นโยบายการเงินเองก็ยังมีส่วนสำคัญที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เช่นเดียวกัน โดยทั้งหมดควรเดินหน้าไปด้วยกัน และสอดประสานกันให้ลงตัวที่สุด

     'เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ'ประธานกรรมการบริหาร สถาบันอนาคตไทยศึกษา ระบุว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ผ่านๆ มา ซึ่งส่วนใหญ่เน้นแต่นโยบายประชานิยม  อาทิ เช็คช่วยชาติ คืนภาษีรถยนต์คันแรก และโครงการรถคันแรก เป็นต้น อาจจะถือว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่ถูกจุดนัก และสุดท้ายจึงกลายมาเป็นปัญหาของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน จนยากที่จะแก้ไขได้ในเวลารวดเร็ว ซึ่งนี่เองถือเป็นบทเรียน

ให้คะแนน 'ตั้งใจดี' แต่ไม่เกิดผล

     นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล ที่ปรึกษาคณะกรรมการหอการ ค้าไทย กล่าวว่า หากจะให้คะแนนผลงานรัฐบาลชุดนี้ ให้ 8.5 คะแนน จากเต็ม 10 คะแนน เพราะเชื่อว่ารัฐบาลตั้งใจทำเต็มที่ แต่มีปัจจัยลบที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่ผลงานที่รัฐบาลนี้ทำไว้ตอนนี้ จะไม่เกิดผลทันที แต่อีก 2-3 ปีข้างหน้าจะดีขึ้นแน่

     อย่างไรก็ตาม ในภาคการส่งออกต้องมาดูว่ารัฐบาลทำอะไรไปแล้วบ้าง ซึ่งมองว่าสิ่งที่รัฐบาลทำไปไม่ได้วางแผนระยะยาว เป็นการดิ้นรนแค่ช่วงสั้นๆ เหมือนกับรัฐบาลอื่นๆ ทำดีที่สุดคือ "เสมอตัว""เศรษฐกิจในประเทศ ด้านการลงทุน มันต้องทำ แต่ไม่ได้บอกว่าต้องรีบ คาดว่าปลายปีน่าจะมีอะไรออกมาได้ ในมุมมองผมนะ รัฐบาลทำเต็มที่แล้ว ความพยายามดีอยู่ การบริโภคในประเทศ มีปัญหาต่อเนื่องมาก แต่อันที่รัฐพยายามอยู่คือ การใช้จ่ายของภาครัฐยังน้อยอยู่ คงต้องเร่งทำ เพราะตอนนี้ยังน้อยกว่า 50% อยู่ แต่ในสภาพปัจจุบัน การท่องเที่ยวยังดีอยู่ แต่ต้องดูว่าจะดีมากแค่ไหน รัฐบาลมีความพยายามสูงทุกตัว แต่ผลที่ได้ไม่เป็นไปตามคาด เพราะฉะนั้นจีดีพีปีนี้คงโตไม่ถึง 4% แน่ อย่างเก่งได้แค่ 2% นิดๆ แต่ต้องขึ้นอยู่กับท่องเที่ยวและลงทุนภาครัฐ" นายพรศิลป์กล่าวนายพรศิลป์บอกอีกว่า สิ่งที่รัฐบาลจะต้องเร่งทำโดยด่วนคือ กระตุ้นการบริโภคในประเทศ ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลก็คงเร่งอยู่ แต่การบริโภคในประเทศส่วนใหญ่จะมาจากรายได้จากภาคเกษตร แต่ขณะนี้ราคาไม่ดี จึงอยากเสนอว่าให้รัฐบาลตั้งงบประมาณไว้ประมาณ 3-5 หมื่นล้านบาท ถ้าหากสินค้าตัวใดมีปัญหา ราคาตกต่ำ เอาเงินส่วนนี้เข้าไปช่วยเหลือ ในลักษณะการประกันรายได้ ไม่ใช่การรับจำนำ

ทำเต็มที่..ภายใต้ข้อจำกัด

    นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ผลักดันโครงการที่เป็นรูปธรรมจำนวนมาก และขั้นตอนการทำงานต่างๆ มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และวางแผนแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งหากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว จะทำให้ประเทศไทยเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และทีมเศรษฐกิจก็มีความตั้งใจดี และมองว่าไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาว

    นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า  ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้พยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากปัจจัยภายนอกประเทศ จึงทำให้ภาพรวมการส่งออกหดตัว และราคาสินค้าเกษตรหลักอย่าง ข้าว ยางพารา และปาล์มน้ำมันมีราคาที่ตกต่ำ รวมทั้งไทยยังถูกสหภาพยุโรปตัดจีเอสพีตามกรอบเวลาที่ได้กำหนดไว้ ประกอบกับการที่เป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร จึงทำให้การเจรจาเปิดเขตการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปต้องหยุดชะงัก ดังนั้น จึงต้องใช้เวลาในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

    อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้เร่งดำเนินงานอย่างดีที่สุด โดยได้นำมาตร การทางกฎหมาย มาตรา 44 เข้ามาแก้ไขปัญหาต่างๆ  ให้รวดเร็วขึ้น จากอดีตที่ต้องใช้เวลานานหากใช้กฎหมายเดิม  ซึ่งมาตรการดังกล่าวเพิ่ง นำออกมาใช้ ต้องดูต่อไปว่าจะเกิดผลดีมากน้อยเพียงไร

    ทั้งนี้ รัฐบาลควรจะเร่งเบิกจ่ายงบประมาณให้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อ กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ

   นายสุชาติ จันทรานาคราช รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ในขณะนี้มีข้อจำกัดในการทำงานของรัฐบาลหลายประการ แต่รัฐบาลได้พยายามทำงานอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในเรื่องของการแก้ไขปัญหาแรงงานการค้ามนุษย์ และปัญหาแรงงานต่างด้าว แต่ทั้งนี้ควรจะเร่งทำการประชาสัมพันธ์ให้ประเทศคู่ค้าได้เข้าใจในการทำงานของรัฐบาลไทยในการแก้ปัญหาดังกล่าว เพื่อให้ปลดไทยจากเทียร์ 3 ลดความเสี่ยงของไทยในการถูกประเทศคู่ค้ากีดกันสินค้าประมง ซึ่งจะต้องจับตาภายในเดือน มิ.ย.2558 ว่าสหรัฐจะตัดสินเช่นไร แต่โดยส่วนตัวมองว่าน่าจะปรับไทยขึ้นมาในระดับเทียร์ 2

หนุน กม.ภาษีที่ดินฯ ลดเหลื่อมล้ำ

    น.ส.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บมจ.เสนาดีเวล ลอปเม้นท์ ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า  ผลงานที่เห็นได้เด่นชัดในช่วงเวลาที่ผ่านมา ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คงไม่พ้นเรื่องของกฎหมายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่เห็นได้ว่ามีการนำเรื่องเข้า ครม.เพื่อปรับโครงสร้างการเสียภาษี

     "มองว่า เป็นเรื่องที่ดีที่มีการหยิบยกกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างออกมาปัดฝุ่น มาปรับเปลี่ยน ทำให้ความเหลื่อมล้ำในสังคมลดลง แต่ถ้าถามว่ากระทบกับธุรกิจไหม บอกได้เลยว่าตรงนี้ค่อนข้างกระทบ แต่ไม่ถึงกับมาก" น.ส.เกษรา กล่าวส่วนภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศในช่วงเวลาที่ผ่านมา อย่างที่เห็นๆ กันอยู่ว่ายังคงไม่ฟื้นตัวดีในแบบอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งถ้ามองในแง่ของทฤษฎี ถ้าไม่มีอะไรดีขึ้น การที่ภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วม หรือเข้ามาลงทุนก็เป็นเรื่องดี ซึ่งเป็นเครื่องการันตีได้อย่างหนึ่งว่าประเทศจะมีการ กระตุ้นเศรษฐกิจ ประชาชนมีรายได้จากการจ้างงานของภาครัฐ

     ขณะที่ภาคการส่งออกดูมีแนวโน้มที่จะยังชะลอต่อไป ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจไม่ดีตามไปด้วย ซึ่งไม่ใช่เพราะประเทศไทยที่การส่งออกหรือภาพรวมเศรษฐกิจไม่ดี ในต่างประเทศก็ไม่ดีด้วยเช่นกัน เนื่องจากปัจจัยของเศรษฐกิจโลกในหลายด้านยังคงผันผวนอยู่

   "คาดหวังว่า หลังจากนี้ หรือในช่วงครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจของไทยจะดีขึ้นตามลำดับ จากการที่ภาครัฐเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนการยกเลิกกฎอัยการศึก มองว่าเป็นเรื่องที่ดีอีกหนึ่งเรื่อง ซึ่งการประกาศนี้อาจจะไม่มีผลอะไรกับคนไทยมากนัก เพราะว่าขณะนี้คงคุ้นชินกับกฎอัยการศึก แต่ในส่วนของต่างประเทศนั้น มองตรงกันข้าม เนื่องจากมองว่าการที่มีการประกาศกฎอัยการศึก แสดงถึงความไม่สงบในประเทศ ซึ่งการยกเลิกทำให้ต่างประเทศกล้าที่จะเข้ามาท่องเที่ยว เข้ามาลงทุนมากขึ้น  จึงมองว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ดี" น.ส.เกษรากล่าว

สอบผ่าน..แนะทำ "ระบบบำนาญแห่งชาติ"

   นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า แม้การทำงานของรัฐบาลชุดนี้จะมีระยะเวลาแค่ 11 เดือน แต่เมื่อเทียบกับสิ่งแวดล้อมของโลกและไทย ในภาพรวมถือว่าสอบผ่านได้ดีมาก เนื่องจากสภาวะของไทยอยู่ในช่วงปรับเปลี่ยนทางการเมืองครั้งใหญ่ จึงทำให้มีเรื่องรอบด้านเข้ามากดดัน โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจที่ในมุมมองของคนทั่วไปมองว่าไม่ฟื้นตัว ซึ่งส่วนตัวไม่โทษการทำงานของรัฐบาล เพราะทั้งหมดอยู่บนพื้นฐานของความจริง

   "ผลงานรัฐบาลชุดนี้ถือว่าผ่าน และทำได้ดีมาก ถึงแม้จะเป็นรัฐบาลทหาร แต่ทำได้ดีเมื่อเทียบกับภาวะโลกในปัจจุบัน ถ้าวัดเป็นคะแนนให้ 7.5 คะแนน จากเต็ม 10 คะแนน ส่วนนายกรัฐมนตรีให้ 8 คะแนน เพราะนายกฯ เป็นคนจริงใจ และการคุยกับต่างประเทศก็ดีมากด้วย"  นางวรวรรณกล่าวทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยถูกกดดันจากปัจจัย 3 ด้านคือ 1.สภาวะ เศรษฐกิจโลกย่ำแย่จริง ไม่ใช่เฉพาะแค่ไทยเท่านั้น  เพราะหลายประ เทศอยู่ระหว่างการปฏิรูป จึงยังมองเห็นภาพการลงทุนทางเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจน 2.เศรษฐกิจไทยมีปัญหาต่อเนื่องมาจากรัฐบาลชุดก่อน ที่ใช้นโยบายประชานิยมจนทำให้เป็นหนี้ โดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าวที่เดินหน้าแบบไม่ฟังคำทักท้วง จึงเป็นผลพวงมาถึงปัจจุบัน และ 3.ระบบราชการที่มีความล่าช้า เป็นปัญหาเรื้อรังที่เริ่มส่งผลกระทบแรง ขึ้น จึงควรที่จะปฏิรูปทั้งระบบให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการเบิกจ่ายงบต่างๆ ในการลงทุนด้วย

     ในส่วนของตลาดทุนนั้น มองว่าทุกรัฐบาลจะต้องมีหน่วยงานต่างๆ เข้ามาร้องขอในสิ่งที่ตนเองต้องการ แต่ตลาดทุนไม่ได้ขออะไรจากรัฐบาล กลับมีหน้าที่ช่วยรัฐบาลมากกว่า หรืออาจจะขอให้มีความชัดเจนในด้านเป้าหมายต่างๆ เพื่อนำมากำหนดแผนงานให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกองทุนรวมระยะยาว (แอลทีเอฟ) เชื่อว่าจะยังไปต่อได้ แต่วงเงินอาจจะลดลง

   นอกจากนี้ ขอฝากให้รัฐบาลพิจารณา "ระบบบำนาญแห่งชาติ" เพราะหากรัฐบาลยังอยู่ได้อีก 1-2 ปี แล้วทำสำเร็จได้ จะเป็นเรื่องที่ดีมาก ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ที่ปัจจุบันมุ่งเน้นแต่บำนาญข้าราชการ และอยู่ในอัตราค่อนข้างสูง หากช่วยให้ระบบนี้เข้าถึงประชาชนทั่วไปได้ มองว่าจะเป็นการช่วยลดภาระสังคมในอีก 10 ปีข้างหน้าที่จะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ อีกทั้งยังเป็นการบังคับนายจ้างและตัวลูกจ้างเองให้รู้จักการออม โดยสภาตลาดทุนได้เสนอเรื่องนี้ต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ไปแล้ว

    นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว นายกสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย กล่าวว่า การทำงานของรัฐบาลในช่วง 6  เดือนที่ผ่านมา ขอให้คะแนนที่ 8.5 คะแนน หรือ "B+" เนื่องจากสามารถทำให้ประเทศไทยมีความสงบเรียบร้อย และสามารถจัดการพวกมีอิทธิพลและคอร์รัปชันได้ นอกจากนี้ ยังมีความตั้งใจจริงในการทำงาน

   อย่างไรก็ดี ที่ยังไม่สามารถจัดการปัญหาด้านเศรษฐกิจได้ดีมากนัก เป็นเพราะรัฐบาลดวงไม่ดี เนื่องจากเศรษฐกิจโลกไม่ดี จึงทำให้เศรษฐกิจในประเทศไทยย่ำแย่ไปด้วย.

    "ผลงานรัฐบาลชุดนี้ถือว่าผ่าน และทำได้ดีมาก ถึงแม้จะเป็นรัฐบาลทหาร แต่ทำได้ดีเมื่อเทียบกับภาวะโลกในปัจจุบัน ถ้าวัดเป็นคะแนนให้ 7.5 คะแนน จากเต็ม 10 คะแนน ส่วนนายกรัฐมนตรีให้ 8 คะแนน เพราะนายกฯ เป็นคนจริงใจและการคุยกับต่างประเทศก็ดีมากด้วย" 

 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!