- Details
- Category: สำนักนายกฯ
- Published: Friday, 17 April 2015 22:16
- Hits: 2297
คำต่อคำ'ประยุทธ์ จันทร์โอชา' รายการ'คืนความสุขให้คนในชาติ' 17 เมษายน 2558
แนวหน้า : สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน
วันสงกรานต์วันปีใหม่ไทยเพิ่งผ่านไป หลายคนคงได้มีโอกาสไปเที่ยวพักผ่อนเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อพบปะญาติมิตร กราบผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือกันนะครับสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเรื่องที่น่ายินดีหลายประการด้วยกันไม่ว่าจะเป็นข่าวแรงงานประมงไทย 68คน ที่รัฐได้ช่วยเหลือให้เดินทางกลับประเทศนะครับ ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2558 ก็ทันวันครอบครัวช่วงสงกรานต์พอดีนะครับ คงมีความสุขมาก เพราะว่าหลายปีมาแล้วนะครับที่ต้องไปตกระกำลำบากอยู่ต่างประเทศ ทุกคนนั้นรัฐบาลก็จะนำเข้าสู่การเยียวยาของรัฐฯธ๕ณํฐ มีการตรวจสุขภาพเบื้องต้นการจัดหาเครื่องมือเครื่องใช้มอบเงินช่วยเหลือกลับภูมิลำเนาและการจัดหาสถานที่พักชั่วคราวหากจำเป็นนะครับโดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์จะบูรณาการ ร่วมกับอีกหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามและช่วยเหลือ ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์อย่างต่อเนื่องโดยจะมุ่งเน้นการป้องกันการถูกล่อลวงและเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์อย่างต่อเนื่องนะครับ เพราะมีหลายคนยังตกระกำลำบากอยู่ก็คงต้องทยอยช่วยเหลือต่อไปนะครับ จนกว่าจะครบถ้วน แล้วก็จะมุ่งเน้นการป้องกันการถูกล่อลวง ทำลายกระบวนการทั้งหมดนะครับ ทั้งเจ้าหน้าที่ ทั้งผู้ที่ทำผิดกฎหมายด้วยนะครับ ไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ในอนาคตต่อไปให้ได้นะครับ
ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน พนักงานส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) อาสาสมัคร ตำรวจ ทหาร ที่ช่วยกันดูแลความปลอดภัย ส่งพี่น้องประชาชน และลูกหลานคนไทย เดินทางไป-กลับโดยสวัสดิภาพนะครับ ในห้วงสงกรานต์ ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมมือ ร่วมใจกัน อนุรักษ์และสืบสานประเพณีสงกรานต์อันงดงามของไทยเรา มีการปฏิบัติตามข้อแนะนำของภาครัฐ ในการร่วมกันแต่งกายตามประเพณีรดน้ำคลายร้อนไม่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น รวมถึงการโซนนิ่งพื้นที่เล่นน้ำไร้แอลกอฮอล์อันเป็นสาเหตุของการทะเลาะเบาะแว้งและอุบัติเหตุนานแล้วที่เรารณรงค์เพียงการออกนโยบาย แต่ไม่เน้นการปฏิบัติ เราก็เริ่มเน้นการปฏิบัติให้มากขึ้นนะครับ การบังคับใช้กติกาสังคมอย่างจริงจัง ในบางครั้งเยาวชนรุ่นใหม่หลงลืมวัฒนธรรมอันดีงาม แล้วกลับคุ้นชินกับสิ่งใหม่ๆ นะครับ ซึ่งอาจจะไม่ใช่อารยธรรมไทย การสนุกสนานนั้นต้องมีของเขตนะครับ มีขีดจำกัด อย่างที่รัฐบาลได้กำหนดข้อแนะนำไป 8 ประการ เห็นมีคนต่อว่าเหมือนกันว่าทำไมต้องไปกำหนดด้วย ผมก็ไม่เห็นว่า 8 ข้อนั้นมีผลเสียกับใครเลย เพียงแต่ว่าไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ไม่ให้เกิดการเสื่อมเสียต่อประเพณีของเรา หรือใครคิดว่ามันถูกต้อง ก็บอกรัฐบาลแล้วกัน เช่นห้ามแต่งกายโป๊ ล่อแหลม แบบนี้ ผมไม่เห็นสร้างสรรค์อะไรเลย ทนทีมาติๆ อยู่ทุกวันนี้ บอกว่าการท่องเที่ยวปีนี้ สงกรานต์ปีนี้หงอย เพราะว่า มี 8 มาตรการของรัฐมาเลยทำให้ไม่สนุก ก็ไปคิดกันเอาเองนะครับ เพราะงั้นถ้าเราทำต่อไปเอกลักษณ์ ความเป็นไทย ก็จะไม่หลงเหลืออีกเลยนะครับ ให้ภาคภูมิใจ
วันนี้ ก็มีทั้ง ชาวต่างชาติมาประเทศของเรา คนไทยก็เที่ยวกันเอง ต่างชาติเขาต้องการสัมผัสธรรมชาติอันบริสุทธิ์งดงามชองชาติ การต้อนรับขับสู้ ด้วย'ยิ้มสยาม' และความมีน้ำใจของคนไทยแล้ว ให้รับทราบถึงขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปวัฒนธรรมอันงดงาม ที่เป็นหนึ่งเดียวในโลก ก็เป็นสิ่งดึงดูดให้ชาวโลกเดินทางมาพักผ่อน และศึกษาความเป็นไทย มาดูวัฒนธรรมแบบไทยๆ ที่หาดูที่ไหนไม่ได้อีกแล้วนะครับแต่คนไทยอยากจะเป็นอย่างเขา ผมก็ไม่เข้าใจอีกเหมือนกัน สำหรับตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรม พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ด้วยยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เพิ่มขึ้น 20 กว่า % ในไตรมาสแรกของปีนี้ งั้นอย่าไปเชื่อตัวเลขอื่นๆ และเพิ่มขึ้น 30 กว่า % ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ก็ไปดูแล้วกันว่าเขาเอาข้อมูลจากไหน ถ้าหากว่าเราเลิกขัดแย้งกันเอง เป็นเจ้าบ้านที่ดีมีเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาล ผู้ที่มาเยือนก็จะรู้สึกปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ระหว่างใช้ชีวิตในเมืองไทย ก็ช่วยกันชักชวนกันกลับมาเที่ยวใหม่อีกครั้งครับ ปีหน้าเราก็อาจจะมีอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เป็นไปตามวัฒนธรรมประเพณีของไทยนะครับ เราจัดการท่องเที่ยวทั้งปีนะครับ ปีนี้เป็นปีแห่งท่องเที่ยววิถีไทย ช่วยกันเชิญมา ช่วยกันไปเที่ยวด้วยนะครับ เวลาวันว่างหยุดราชการอะไรก็แล้วแต่ นะครับ
ในส่วนของการสร้างจิตสำนึกนั้น คำว่า 'ค่านิยมหลักของคนไทย12 ประการ' เป็นสิ่งที่ทำได้เลย ทำทันที ส่วนสิ่งที่ต้องใช้ระยะเวลา และอาศัยความร่วมมือกันทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคเอกชนก็คือในเรื่องของการปฏิรูปประเทศในทุกๆ ด้าน ซึ่งวันนี้เรามีความพร้อมที่จะเริ่มการปฎิรูปนะครับ บ้านเมืองสงบร่มเย็น รัฐบาลมีเอกภาพในการบริหารงานแผ่นดิน สามารถบูรณาการงานทุกกระทรวงให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพนะครับ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ทุกคนจะต้องมองผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลักนะครับก็ขอให้พี่น้องทุกคน ทุกภาคส่วน ช่วยกันหยิบยื่นความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ เพื่อใช้โอกาสนี้ เดินหน้าปฏิรูปประเทศ ซี่งเราเริ่มต้นมาได้แต่เพียงเล็กน้อย ถ้าพูดถึงการบริหารราชการทำไปได้เยอะ แต่เกี่ยวกับการปฏิรูปที่ต้องทำใหม่ อะไรเหล่านี้ เพียงเริ่มต้นเท่านั้นเอง ต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควรนะครับ เราต้องเดินหน้าปฏิรูปประเทศไปสู่สิ่งที่ดีกว่า หลุดพ้นจากกับดักทางการเมืองอย่างยั่งยืนนะครับ
วันนี้ ผมมีบุคคลตัวอย่าง ที่หลายคนอาจรู้จักกันดีมานานแล้ว ในนาม “มนุษย์เพนกวิน” เป็นตัวอย่างของการไม่ยอมแพ้ สู้ชีวิต คิดบวก และที่สำคัญคือ การไม่ทำตนให้เป็นภาระสังคม แต่กลับสร้างสรรค์สังคม ประเทศชาติให้งดงาม ในขีดความสามารถและข้อจำกัดด้านร่างกายของเขาเอง
คนดีที่ผมพูดถึง คือ คุณเอกชัย วรรณแก้ว แม้ไร้แขนทั้งสองข้าง แต่เขากลับสามารถสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา เขาจบปริญญาตรีคณะจิตรกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตเพาะช่าง จากนั้นก็อาศัยวิชาชีพ ออกไปวาดรูปตามงานต่างๆ ได้รายได้มาช่วยปลดหนี้ ธ.ก.ส.ให้แม่ ปลูกบ้านหลังใหม่ให้ครอบครัว และส่งเสียเงินให้แม่ทุกเดือน
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดที่คุณเอกชัยฯ ยึดถือเป็นแนวทางการดำรงชีวิต ก็คือ “โอกาสคนเราไม่เท่ากัน ต้องใช้โอกาสให้เกิดประโยชน์มากที่สุด” ส่วนการทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้แก่ “ทำกันคนละนิด พอรวมกัน มันก็เยอะเอง” และทวงถามสำนึกความเป็นคนไทยว่า “มือของพวกคุณ ทำอะไรให้ประเทศดีขึ้นบ้าง” เปรียบเทียบกับตัวเขานะครับ
ผมก็หวังว่า จะเป็นคติ สร้างความตระหนัก และเรียกร้องให้พี่น้องทุกท่าน กลับมาสำรวจความพร้อมของตนเอง สำรวจว่า “วันนี้ เราได้ทำอะไร ที่เป็นประโยชน์ เพื่อประเทศชาติ หรือส่วนรวมหรือยัง'โดยเฉพาะกับผู้ที่ยังหลงผิด ไม่หวังดีกับประเทศชาติ คอยบ่อนทำลาย สร้างสถานการณ์ ประสงค์ร้าย ต้องการให้กลับไปสู่ความขัดแย้ง เหมือนที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลใดก็ตามขอให้หันกลับมาใช้ศักยภาพของท่านในทางสร้างสรรค์ พัฒนา ปฏิรูปประเทศ ให้ความร่วมมือกับ ไม่ใช่ศัตรูกันอยู่แล้ว กฎหมายก็คือกฎหมาย แต่เราเป็นคนไทยด้วยกัน ขอให้ความร่วมมือกับทางการ ยุติความขัดแย้ง ร่วมมือในการปฏิรูปนะครับ เดินหน้าประเทศไทยมันต้องมีกติกา ถ้าจะปฏิรูปให้ได้นี่ ถ้าท่านไม่ยอมรับกติกาเลย มันก็ไปไม่ได้อยู่ดี รัฐธรรมนูญจะเขียนอย่างไร ถ้าไม่ทำไม่ร่วมมือมันก็ไปไม่ได้อยู่ดีนะ ผมบอกไว้ก่อน เพราะประเทศเพื่อนบ้านเขาไม่รอคอยเรานะครับ ประชาคมโลกเขาก็มีการพัฒนาก้าวหน้าไปทุกประเทศยกระดับตัวเองมากขึ้นๆ เรื่อยๆ แล้วเราจะรอเขาอยู่ยังไง แล้ววันหน้าถ้าเขาแซงเราไปแล้ว เขาก็ไม่รอเราแล้วนะครับ เราก็จะเสียโอกาส เสียตำแหน่ง ในบทบาทสำคัญของเวทีการเมือง – เศรษฐกิจโลกได้ อย่างน่าเสียดายครับ
อีกประการหนึ่ง ขอขอบคุณ กลุ่ม 'มะโน ละเมอ' (Manoramer Group) ที่สร้างสรรค์คลิปและนำมาเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ เมื่อ วันที่ 30 มี.ค. 58 เป็นการสร้างขึ้นมา โดยไม่ได้ต้องการแสวงผลกำไร แต่เพื่อเตือนคนไทยทุกคนว่า “เราสามารถทำให้ประเทศนี้ ดีขึ้นได้ขอเพียงทำกันคนละนิด ในแบบที่ตนเองถนัด”
สำหรับ ในเรื่องความคืบหน้าการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล
เมื่อเช้านี้นะครับ 17 เมษายน นี้ มีการสรุปผลงานของรัฐบาลในห้วง 6 เดือน ก็ต่อจาก 3 เดือนแรกนะครับ ตามแนวนโยบายการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ของรัฐบาล 11 ด้าน ได้แถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันศุกร์ที่ 12 กันยา57 โจทย์สำคัญของประเทศและรัฐบาล ก็คือการสร้างความสามัคคี ปรองดองกันของคนในชาติให้ได้ แล้วก็แก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจของประเทศ ที่ไม่ได้มีการสร้างความเข้มแข็ง ไว้เพียงพอ ยังไม่มีความพร้อม มาเป็นเวลา 10 กว่าปี ทำให้ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกมีผลกระทบกับเศรษฐกิจในประเทศอย่างมากนะคับ หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เราไม่เตรียมการไว้นะครับ ก็คงยังทำแบบเดิมมาตลอด วันนี้ต้องแก้ไขทั้งหมดนะครับ
คสช. และรัฐบาล เข้ามาบริหาราชการแผ่นดิน ก็ทำให้เศรษฐกิจ เมื่อปีที่แล้วติดลบอยู่นะครับอย่าลืมตัวเลขติดลบไม่ใช่เอาตัวเลขปีที่ไม่มีเหตุการณ์มาเทียบไม่ได้ เรารับมาติดลบอยู่ จาก 22 พฤษภานะ แล้ววันนี้เศรษฐกิจโลกก็แย่ลง แต่วันนี้ก็ตัวเลขก็ดีขึ้น โดยในไตรมาสที่ 4 ของปี 57 (ต.ค. – ธ.ค. 57) เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.3 เดิมเราตั้งไว้แค่ 2 ก็เพิ่มขึ้นนะครับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 (ก.ค. – ก.ย. 57) ที่ขยายตัวร้อยละ 0.6 เองนะครับ เพราะงั้นก็แสดงว่า ความความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ
ในด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจนะครับใน 2 เดือนแรกของปีนี้ มกรา ถึง กุมภา 58 ทั้งดุลการค้าและดุลบริการของประเทศยังคงเกินดุล และเมื่อรวมกับดุลเงินทุนแล้ว ประเทศเรายังมีดุลการชำระเงินที่เกินดุล ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทบ้าง แต่ทางแบ็งชาติเขาก็ดูแลอยู่อย่างใกล้ชิดครับ ก็มีมาตรการที่รองรับไว้ตลอดเวลานะครับ ในด้านเสถียรภาพภาคการคลังนะครับ รัฐบาลยังคงมีการจัดเก็บรายได้ที่สูงกว่าปีที่แล้ว โดยในช่วง 6เดือนแรกของปีงบประมาณ (ต.ค. 57- มี.ค. 58) จัดเก็บรายได้สุทธิจำนวน 973,952 ล้านบาท สูงขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 3.5 ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจในภาพรวมจะเริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัญหาที่มีผลกระทบโดยตรงต่อพี่น้องเกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย ธุรกิจ SME เหล่านี้ รัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจนะครับหาทางทุกอย่างไม่มี ไม่ได้หยุดคิดเลยนะครับว่าทำยังไงราคาสินค้าทางการเกษตรที่มันตกต่ำจะทำยังไง การค้าขายภายนอก คือปริมาณมากกว่าเก่า แต่ราคามันน้อยกว่าเก่า นี่มันเป็นประเด็นนะ ก็พยายามจะหาทาง ทำยังไง ใช้ในประเทศได้ไหม อยู่ในตลาดชุมชนบ้างได้ไหม แล้วไปสู่การแปรรูปได้ไหม ทำอยู่ ต้องใช้เวลา ตั้งโรงงานอะไรต่างๆ อย่างน้อยก็ ปี ถึงสองปี สามปี นะครับ ก็จะทยอยมาตามลำดับนะครับ เราก็ได้เร่งรัดจัดเตรียมมาตรการต่างๆ บางอย่างก็ทำไปแล้วนะครับ เพื่อผลักดันเม็ดเงินผ่านโครงการต่างๆ ให้เกิดการหมุนเวียนของเงินลงสู่เศรษฐกิจท้องถิ่น เช่น เร่งรัดให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทย ช่วยกันดำเนินการก่อสร้างถนนหนทางในพื้นที่ชนบทกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการจัดหาแหล่งกักเก็บน้ำ เพื่อให้มีน้ำเพียงพอต่อการเกษตร กระทรวงการคลัง ดูแลเรื่องการให้กู้ยืมแก่ธุรกิจขนาดเล็กนะครับซึ่งตอนนี้ขาดสภาพคล่องให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ในภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว นะครับ ต้องดูแลธุรกิจขนาดเล็กด้วย การค้าปลีกอะไรต่างๆ ก็มีความเดือดร้อน กำลังจะให้เชิญธนาคารพาณิชย์นะ แล้วก็ธนาคารรัฐมาดูซิว่าจะช่วยเหลือกันยังไงนะครับ
อย่างไรก็ตาม การเตรียมความพร้อม ในการที่จะพัฒนาอย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องมีกฎ กติกาใหม่นะครับเพือจะ จัดทำกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เหมาะสมกับประเทศด้วยนะครับและได้รับการยอมรับนะครับเราจะต้องปฏิรูปหรือไม่อย่างไร ถ้าประชาชนคิดว่าวันนี้เราดีอยู่แล้ว ผมก็ลำบากใจนะผมคิดว่าปัญหามีเยอะ ทั้งหมดเลย ถ้าอยู่อย่างที่ผมอยู่มี่นะ จะรู้ว่ามันเยอะขนาดไหนนะ ไม่ใช่ข้อแก้ตัวพยายามทำเต็มที่แล้ว เต็มไม่ได้หยุดเลยก็ยังทำได้เท่านี้นะ ถ้าหากเราจะแก้ปัญหาที่ผ่านมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วประชาชนก็จะได้รับผลประโยชน์ที่เท่าเทียมเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำด้วยเหล่านี้ กำลังเดินมาถูกทางนะครับ ที่ให้เราได้มีโอกาสทำงานตรงนี้ ต้องดูว่าจะร่วมมือกันอย่างไรต่อไป แก้ไข อย่างไร Road mapที่ว่าเป็นยังไง จะปฏิรูปได้หรือไม่ สำหรับการวางรากฐานที่มั่นคงนะครับในทุกมิติ 6 เดือนที่ผ่านมานั้น รัฐบาลดำเนินการไปแล้วเบื้องต้นนะครับ แล้วก็พร้อมจะส่งต่อให้รัฐบาลต่อๆ ไป ถ้าสามารถได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล แล้วก็ยองรับในกติกา เรื่องการปฏิรูปนะครับ เราก็สามารถบรรลุวิสัยทัศน์ของประเทศ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ในทุกระดับนะครับ
สัปดาห์นี้ ผมขอชี้แจงความคืบหน้าบางประการ ให้พี่น้องได้รับทราบ ดังนี้ครับ
ด้านเกษตรกรรม อันนี้สำคัญอันดับต้นๆ ของเรานะครับ ประเทศของเราเป็นประเทศเกษตรกรรม ปัญหาคือ เกษตรกร มีรายได้น้อย ราคาผลผลิตตกต่ำ ขาดความรู้เรื่องการตลาด น้ำแล้ง ขาดที่ดินทำกินเป็นของตนเอง รัฐบาลจึงได้กำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาอย่างครบวงจร และบูรณาการทุกหน่วยงาน ทำงานในทิศทางเดียวกัน อาทิเช่น
(1) การ Zoning ด้านพืช – ปศุสัตว์ ก็ต้องมีการนำร่องนะครับ ประมง ก็ต้องมีระบบส่งเสริมการเกษตรมิติใหม่ด้วยนะครับ ทั้ง พืช ปศุสัตว์ ประมง หรือจะหาอาชีพเสริมอะไรก็แล้วแต่ ก็ได้แก่การนำMRCF System มาใช้ ได้แก่ M-Mapping “ระบบแผนที่และฐานข้อมูล” ในการบริหารจัดการพื้นที่ทั่วประเทศรวมทั้ง R-Remote Sensing'นะครับคือการเข้าถึงข้อมูลระยะไกล'ผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ ระหว่างบุคลากรภาครัฐ – เกษตรกร C-Community Participation'การมีส่วนร่วมของชุมชน'ด้วยการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ จำนวน 882 ศูนย์ ของชุมชนเอง มีนักส่งเสริมการเกษตรเข้าไปจัดกระบวนการเรียนรู้มีเกษตรกรต้นแบบ มีสินค้าจริง มีแปลงสาธิต และ F-Specific Field Service “มีจุดเน้นเฉพาะ” ไม่ไร้ทิศทาง สร้าง OTOP ให้เข้มแข็ง ก็ต้องเลือกกันมานะครับว่าจะทำอะไร ทำแล้วขายได้ ทำแล้วมีลูกค้า ถ้าทำแล้วไม่มีลูกค้ามันก็เปล่าประโยชน์ นะครับ เสียเวลา
เรื่องต่อไป ก็คือการจัดกิจกรรม Business Matching เพื่อสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ และพัฒนาสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวสินค้าท้องถิ่นและสินค้า OTOP จัดให้มีตลาดชุมชนกว่า 8,000แห่งทั่วประเทศในปัจจุบันนะครับ เพื่อลดกลไกพ่อค้าคนกลาง สร้างทักษะ ความรู้ด้านการตลาดให้แก่เกษตรกร รวมทั้งส่งเสริมการรวมกลุ่ม ตั้งสหกรณ์การเกษตร เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง และกำหนดราคาสินค้าในตลาดเองได้
อันนี้เรา ก็ต้องทำควบคู่ไปกับในเรื่องชองการบริหารจัดการน้ำนะครับ ตามยุทธศาสตร์ 10 ปี ก็คือทำทุกปีนะ ทำไปเรื่อยๆ จะไปจบในปี พ.ศ. 2569 ก็เป็นไปตามงบประมาณที่มีอยู่นะครับ เราก็จะมองปัญหาน้ำทั้งระบบ และเข้าไปดำเนินการแบบบูรณาการ ทุกกะรทรวงนะคับ เพื่อยุติปัญหาอย่างยั่งยืน ที่ผ่านมามันไม่ต่อเนื่อง มันไม่เป็นพื้นที่ ไม่เชื่อมโยงมันก็ไม่จบกันซะที นะ วันนี้เราจะทำให้มันจบนะ ก็ขนาดนี้ยัง 69 เลย งบประมาณเราก็จำกัดนะครับ ทั้งปัญหาขาดแคลนน้ำภาคการผลิต น้ำอุปโภคบริโภคป้องกันและบรรเทาอุทกภัย มันต้องทั้ง 3 งานนี่ให้ได้พร้อมกันนะครับ ปัญหาคุณภาพน้ำ จากแหล่งกำเนิด 22 ลุ่มน้ำ และน้ำที่ต้องเตรียมการสำหรับผลักดันน้ำทะเลหนุน ด้วย 5 เขื่อนหลัก กับ 4 ลุ่มน้ำภาคกลาง การฟื้นฟูพื้นที่ป่าต้นน้ำและป้องกันการพังทลายของดิน รวมทั้ง ระบบโทรมาตร และศูนย์ระบบป้องกันน้ำท่วม โดยคาดว่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรมในสิ้นปี 2558 นี้ อาทิเช่น
(1) น้ำเพื่อการผลิตน้ำเพื่อการผลิตนะครับ ได้แก่ ปรับปรุงระบบชลประทานเดิม 35,000 ล้านไร่ พัฒนาแหล่งน้ำใหม่1.6 ล้านไร่ ฟื้นฟูแหล่งน้ำและทางน้ำธรรมชาติ 2,000 กว่าแห่ง สระน้ำในไร่นา50,000 บ่อ รวมทั้งสระน้ำชุมชนและระบบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร กว่า 1,500 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ ประมาณ 2 แสนไร่ เป็นต้น
(2) น้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค ได้แก่ ประปาหมูบ้าน 2,310หมู่บ้าน เพิ่มประสิทธิภาพระบบประปาชนบท 683 แห่งจัดหาน้ำดื่ม / น้ำบาดาลให้โรงเรียนและชุมชน 700 แห่ง
โดยแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ทั้งระบบนี้ ได้รับความชื่นชมจากองค์การสหประชาชาติ (UN) ครั้งที่แล้วมีการจัดวันน้ำโลก ก็จัดที่ประเทศไทยส่วนหนึ่งนะครับ เขาเห็นว่าเราเสนอแผนนี้ออกไป เขาพอใจนะครับเพราะเขาเห็นว่าเป็นการแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำ การเข้าถึงแหล่งน้ำของประชาชนโดยทั่วไปหลายประเทศในโลกนี้ยังเข้าไม่ถึงเลยนะครับ 70% กว่าเหมือนกัน เขาเห็นว่าของเรานี่เป็นรูปธรรมมากที่สุดนะ ก็อยากให้เราเป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่างในการเตรียมความพร้อม และป้องกันสภาวะการขาดแคลนแหล่งน้ำของโลกในอนาคตได้นะครับ ถ้าเราไม่มีน้ำมาจากหิมะ มาจากน้ำแข็งเราก็ลำบากนะครับเราต้องเตรียมการตั้งแต่วันนี้นะ เพราะงั้นถ้าเราสามารถทำได้ ประชาชนคนไทยก็จะไม่เดือดร้อน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงเป็นห่วงอยู่แล้ว พูดมาหลายปี รับสั่งมาหลายปีกับเราแล้วนะครับว่า เราจะมีปัญหาเรื่องน้ำในอนาคต คนมากขึ้นการเพาะปลูกถ้ายังทำแบบนี้อยู่ ใช้น้ำมาก ต้องแก้ทั้งหมด ทั้งใช้ที่ให้น้อย ใช้น้ำให้น้อย ได้ผลผลิตมาก สูงอะไรทำนองนี้ต้องทำให้ครบนะครับ ในเรื่องนี้เรื่องการเกษตรสำคัญที่สุด คือเรื่องของการลดต้นทุน ตอนนี้ผมสั่งงานไปแล้วชัดเจนว่าต้องทำให้ได้ภายในปีการผลิตนี้ โดยเริ่มจากสหกรณ์ที่เข้มแข็งก่อน สหกรณ์ต้องเข้าไปดูแลเพราะจะจัดเครื่องไม่เครื่องมือให้สหกรณ์ที่เข้มแข็งอยู่แล้วในเวลานี้ ไปรวมกลุ่มมา แล้วก็ทั้งเมล็ดพันธ์ ทั้งปุ๋ยอินทรีย์ เครื่องจักรเครื่องมืออะไรต่างๆ รวมความถึงเรื่องโรงสีขนาดกลาง ขนาดเล็ก รวมความไปถึงโรงอบข้าวอะไรทำนองนี้ ไม่ย่าองนั้นมันไปอยู่กับโรงสีใหญ่ๆหมดแหละเนอะ เพราะอย่างนั้นเราต้องช่วยตัวเองสร้างความเข้มแข็งให้สหกรณ์ให้ได้ เพราะงั้น ทุกคนกรุณาไปขึ้นบัญชีสหกรณ์ ให้ได้นะครับ เราจะได้ดูแลตามลำดับความเร่งด่วนต่อไป ถ้าเอาพร้อมกันทั้งหมด ผมไม่มีสตางค์ให้อยู่แล้วนะ ตังก็ไม่พออยู่แล้วที่จะให้แบบเดิมมันไม่ได้ เพราะงั้น เราจะต้องทำให้เกิดความเข้มแข็งให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน และการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรน้ำอย่างเท่าเทียมอีกด้วย
ในด้านระบบโครงสร้างคมนาคมพื้นฐาน สำหรับการสัญจรของคน ทั้งในเมืองและระหว่างเมือง ขนส่งสินค้าผลผลิตทางการเกษตรและโรงงาน – นิคมอุตสาหกรรม จากแหล่งผลิตสู่เมืองหลวง เมืองสำคัญ เมืองท่า เมืองการค้าชายแดน รวมทั้งสนับสนุนการท่องเที่ยวและการเชื่อมโยงเมืองสำคัญของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยรัฐบาลได้จัดทำแผนพัฒนานาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย 7 ปี นะครับ พ.ศ. 2558–2565 ก็ทำเป็นรายปีไป อันไหนผูกพันได้ก็ผูกพัน อันไหนมีเงินพอ ก็ทำให้จบ ทำนองนี้แหละนะ มีการร่วมทุนกัน ทั้ง จี ทู จี กับต่างประเทศ และอาจจะลงทุนร่วมกันกับภาคเอกชนขอเราอีกด้วยนะครับก็ขอเรียนว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ภายในปี 2558 นี้ มีอะไรบ้างนะครับ
(1) การพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมืองจะมีการส่งมอบรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) 489 คัน(จาก3,183 คัน) ในเดือนกรกฎาคม 2558
(2) Motorway 3 เส้นทาง ได้แก่ บางปะอิน – นครราชสีมา (196 กม.) บางใหญ่ – กาญจนบุรี (96 กม.) และ พัทยา – มาบตาพุด (32 กม.)อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม สำรวจ ออกแบบเส้นทาง ฯลฯ เพื่อลงมือก่อสร้างทันทีให้พร้อมใช้งานในปี2562
(3) รถไฟฟ้าใน กทม. และปริมณฑล10 เส้นทาง 464 กม. โดยสายสีน้ำเงินตะวันออกเปิดให้บริการแล้วสายสีม่วงเหนือจะเปิดบริการในปีหน้าสายสีน้ำเงินตะวันตกและสายสีเขียวใต้ อยู่ระหว่างก่อสร้าง จะแล้วเสร็จตามกำหนด พร้อมใช้งานในปี 63 ส่วนสายที่เหลือ 6 สาย อยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอน จนแล้วเสร็จในปี 63 ทั้งหมด
(4) โครงข่ายรถไฟทางคู่ระหว่างเมือง ระยะเร่งด่วน 6 เส้นทาง903 กม. ได้แก่ เส้นทางฉะเชิงเทรา–คลอง19–แก่งคอย (106กม.) เส้นทางมาบกะเบา–ถนนจิระ(132 กม.) เส้นทางถนนจิระ–ขอนแก่น(185 กม.)เส้นทางลพบุรี–ปากน้ำโพ(148 กม.) เส้นทางประจวบคีรีขันธ์–ชุมพร(167 กม.) และเส้นทางนครปฐม–หัวหิน(165 กม.) ทั้งหมดจะเริ่มก่อสร้างในปี 58 โดยประมาณ และจะแล้วเสร็จในปี 61
(5) ระบบขนส่งโดยสารทางน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ให้สามารถรองรับผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวได้ 200,000 คน/วัน และเชื่อมโยงการเดินทางกับระบบขนส่งสาธารณะทุกประเภทได้ โดยยกระดับท่าเทียบเรือ ทั้ง 19 แห่งเป็น “สถานีเรือ”
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายโครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการท่าเรือน้ำลึกปากบารา จังหวัดสตูลนะครับ อันนี้ก็ขอความกรุณาว่าอย่าขัดแย้งกันมากเลย ก็เราพยายามที่จะดูแลผู้ได้รับผลกระทบเยียวยาให้สบายใจนะครับ ถ้าเราไม่สร้างตรงนี้มันก็เป็นปัญหาอีกนะ ประตูการค้าฝั่งอันดามันเราก็จะไม่มีนะครับ แล้วก็เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าสู่ทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกาไม่ได้ ต่อไปก็คือโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) ท่าเรือแหลมฉบัง โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองระยะที่ 2 ทั้งนี้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารได้ 30 ล้านคน/ปี โครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ตเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร 12.5 ล้านคน/ปี และโครงการพัฒนาท่าอากาศยานทหารอู่ตะเภานะครับให้เป็นท่าอากาศยานนานาชาติแห่งที่ 3เป็นต้น รวมทั้ง ความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟระหว่างไทย – จีน และ ไทย – ญี่ปุ่น ซึ่งผมได้เรียนให้พี่น้องทราบเป็นระยะๆ แล้ว
โครงการทั้งปวงที่กล่าวมานั้น นับเป็น 'เส้นเลือด'หล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจของเรา ทั้งภายใน และระหว่างประเทศ ที่รัฐบาลนี้ได้ริเริ่ม เร่งรัด ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ในอนาคตอันใกล้ คือต้องบอกประชาชนให้ทราบไว้ก่อนนะ ไม่ใช่มาบอกที่หลัง จะทำอะไรต้องบอกก่อน แล้วก็มั่นใจว่าถ้าทำสำเร็จ ก็จะเป็นสิ่งที่ดีนะครับ ถ้ามาบอกทีหลัง ก็เหมือกับเราไปงุบงิบ ๆ ทำ ไม่ใช่ ผมก็บอกมาตลอดขอให้เข้าใจด้วย เราจะต้องยกฐานะขีดความสามารถในการแข่งขันของเราให้เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจ ในภูมิภาค และในเวทีโลกให้ได้นะครับ
การจัดตั้งศูนย์บริการด้านธุรกิจ (One Stop Service) นับเป็นการ'พลิกโฉม'การให้บริการภาครัฐ ที่เคยเป็นอุปสรรควงจรธุรกิจ และขจัดช่องทางการทุจริต การจ่ายเงินใต้โต๊ะของเจ้าหน้าที่บางส่วน อันนี้จะต้องไม่ให้เกิดขึ้นโดยเด็ดขาดนะครับ เราจะเปิดให้บริการข้อมูลและอำนวยความสะดวก มีกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน แก่ผู้ประกอบการและนักลงทุนในหลากหลายช่องทาง ขอเรียนอีกทีนะครับว่าตรงนี้ หลายท่านก็ยังบอกว่าไม่รู้ อะไรที่ไหนอย่างไร ได้ยินแต่พูด ไม่รู้จะไปที่ไหน นี่ผมพูดให้ฟังแล้วนะครับ ได้แก่
(1) ศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุน (One Start One Stop Investment Center) โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับด้านธุรกิจและการลงทุนมากกว่า 20 หน่วยงานร่วมบริการให้คำปรึกษา และข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจ การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการขออนุมัติ / อนุญาตต่างๆ เช่น การส่งเสริมการลงทุน การจดทะเบียนนิติบุคคล การขออนุญาตประกอบธุรกิจคนต่างด้าว อันนี้ก็จะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่งตอนนี้อยู่ในระหว่างการติดตั้งอยู่
(2) ศูนย์บริการต่อวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน (One-stop Service Center for Visas and Work Permits )ให้บริการต่ออายุวีซ่า การขอใบอนุญาตทำงานและขยายระยะเวลาใบอนุญาตทำงาน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สกท. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และกระทรวงแรงงานร่วมให้บริการ
และ (3) ศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนในภูมิภาค 6 แห่ง ที่จังหวัดเชียงใหม่ นครราชสีมา ขอนแก่น ชลบุรี สงขลา และสุราษฎร์ธานี โดยให้บริการข้อมูลตลอดจนรับคำร้องและพิจารณาอนุมัติตามที่ได้รับมอบอำนาจ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น เป็นตัวอย่างผลงานของรัฐบาลและ คสช. ที่เป็นการเริ่มต้นในการวางรากฐานของประเทศที่ดี ที่มั่นคง ในทุกมิติ ผมขอขอบคุณในการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และหวังว่าจะได้รับการสานต่อ จากรัฐบาลต่อๆ ไป โดยพี่น้องคนไทยทุกคน ข้าราชการทุกท่าน ต้องช่วยกันรักษาผลประโยชน์ของชาติ เพื่อให้แผนยุทธศาสตร์ต่างๆ สำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ด้วยครับ
อีกเรื่องหนึ่ง อยากจะคุยกับพวกเราเท่านั้นเองนะครับไม่ได้ไปตำหนิติเตียนใคร มีคนเขียนมาในสื่อหนังสือพิมพ์นี่ ผมอ่านมาก็เข้าท่าดี แต่ไม่รู้จะเห็นเป็นยังไงนะครับเขาบอกว่า นิสัยที่ไม่ดีของคนไทยส่วนหนึ่งนะคับ ส่วนใหญ่ดีอยู่แล้ว ดีมากกว่าไม่ดี ไม่งั้นเราคงเป็นประเทศไทยมาถึงวันนี้ไม่ได้ ส่วนที่ไม่ดี แต่จะสำคัญหรือเปล่าเดี๋ยวท่านลองฟังดูนะ
1.ไม่ชอบศึกษาอะไรที่เป็นรายละเอียด ที่มีปลีกย่อยมากๆ คือไม่คิดนะแล้วก็เร่งรีบวิจารณ์ไปก่อน เช่นพูดเรื่องภาษี ก็โวยมาก่อนว่าเก็บเงินอีกแล้วอะไรทำนองนี้ไม่ดูว่าดีหรือไม่ดี จำเป็นต่อประเทศหรือเปล่า ประเทศจะพัฒนาได้อย่างไร พอเห็นพาดหัวข่าวจากสื่อทีค่อนข้างจะเลือกข้างบ้างอะไรบ้าง หรือหัวเวปไซด์ต่างๆ ก็ด่ารัฐบาลบ้างด่าคนคิดบ้างอะไรบ้าง คือยังไม่รู้เลยว่าเขาจะทำเพื่ออะไรนะ บางทีก็มีวาทะกรรมนะ
เรื่องที่ 2.นักการเมืองที่เป็นนักเลือกตั้งนะ คนดีๆ เยอะนะ แต่บางคนก็ยังใช้วิธีการเดิมๆ อยู่ วันๆ ก็ตั้งหน้าตั้งตารอว่าใครจะพลาดตรงไหนจะเก็บคะแนนได้ตรงไหน ฉวยโอกาสโจมตีทุกคนน่ะที่พลาด ไม่ว่าจะนักการเมืองด้วยกัน ไม่ว่ารัฐบาล หรือใครก็แล้วแต่ ตั้งใจจะมาทำความดีก็ด่าไปหมดนะ ใช้วาทกรรมเจ็บๆ นะ วันนี้รัฐบาลพยายามจะทำเพื่อคนจน ก็มาหาว่ารัฐบาลนี่แกล้งคนจน ไม่มีจะกินอยู่แล้ว เอาแต่ขูดรีด เก็บภาษีซึ่ง แหม ผมก็ยังไม่ได้เก็บตรงไหนเลยนะ
ถ้าเราต้องการให้ประเทศก้าวหน้า ต้องปฎิรูปคน 2 พวกนี้ก่อน นิสัยที่ไม่ดี คือ นิสัยไม่ศึกษาให้ละเอียดแล้วก็ตำหนิติเตียน อันที่สองคือไม่นึกถึงสังคมส่วนรวมนะ
สังคมไทยกำลังตกอยู่ในสังคมวาทะกรรม เชือดเฉือนด้วยถ้อยคำมากกว่าให้โอกาสพิสูจน์การทำงาน ประเทศต้องการเงินงบประมาณไปทำให้ประชาชนเติมในสิ่งที่ขาดนะ สร้างความเข้มแข็ง ทำยังไงคนยากจนไม่เหลื่อมล้ำเป็นธรรม อะไรเหล่านี้ ไม่ให้เดือดร้อน ก็กลับไปพูดเป็นวาทะกรรมว่าก็อุตส่าห์หาเงินซื้อบ้านแทบตายยังจะมาเก็บภาษีบ้านเราอีก ไอ้อย่างนี้มันใช่หรือเปล่าผมไม่รู้นะ คือรู้หรือยังที่เขาพูดๆออกมาเป็นการเสนอให้คิด แล้วตัวเองรู้หรือยังว่าเก็บจากใคร เก็บเท่าไร เก็บเมื่อไรยังไม่รู้เลยก็ว่าไปซะก่อนนะ ไม่ได้ดูตัวเองยังไง อะไรที่เสียน่ะไม่ยอมทั้งสิ้น แล้วไปสร้างวาทะกรรมผิดๆออกมา แล้วก็ติไว้ แล้วประเทศชาติจะไปตรงไหนสร้างแนวร่วมว่าไปก่อน
ถึงแม้ว่า รัฐบาลนี้ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่ก็ยังต้องการความร่วมมือในการแก้ปัญหา ท่านก็พยายามสร้างความเข้าใจผิดไม่คำนึงถึงผลเสียต่อประเทศชาติและประชาชน
เรื่องภาษี ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องส่วนรวม คนไทยหลายคนไม่ชอบอยู่แล้วล่ะภาษีนี่ แต่เมือถามดูว่าเทียบกับรถคันแรก จำนำข้าว เพราะแต่ละคนได้ประโยชน์ ส่วนรวมเสียประโยชน์ วันนี้ ไม่เห็นมีใครพูดถึง ชื่นชมด้วยซ้ำ ว่าทำดีเพื่อประชาชนเสียหายเท่าไรดูซิ อันตรายมาก หากนักการเมืองเหล่านี้ ก็พยายามจะทำไปสร้างความนิยมส่วนตัว แล้วก็ของพรรคการเมืองอะไรก็แล้วแต่ โดยการใช้วาทะกรรม ผมว่าเลิกซะทีนะที่ใช้วาทะกรรมแล้วฟังดูแปลกๆน่ะ ไม่รู้จะทำอะไร มีหลายคนพูดแล้ว่าทำยังไงให้คนจนมาอยู่กับเราให้ได้ อันที่สองคือทำยังไงจะให้สื่อมาอยู่กับเราให้ได้ มีคนพูดเรื่องนี้อยู่นะ แล้วเราจะชนะทุกอย่างซึ่งผมไม่ได้ใช้แบบนั้น เพราะงั้นอย่าไปสร้างวาทะกรรมว่าคนจนจะได้ลืมตาอ้าปากสักที ให้ราคาข้าว ราคาผลิตผลการเกษตรสูงๆ เข้าไว้ หรือให้ไปผ่อนรถคันแรก คืนภาษีให้ เหล่านี้ แล้วบางคนก็บอกว่าจะไม่ให้คนจนมีโอกาสหรือยังไง ไม่มีโอกาสที่จะขับรถเลยหรือไง แล้วมันขับได้ไหมล่ะ ผ่อนเขาไหวไหม แล้วในเมื่อตัวเองยังไม่สร้างรายได้ให้เขาเลยแล้วไปให้เขาซื้อก่อน เป็นไง ดีมานกับ ซัพพลาย ก็เป็นดีมานเทียมทั้งหมด ขยายโรงงานไปเยอะแยะแล้ว วันนี้ขายได้น้อยลง บอกว่าเป็นความผิดของรัฐบาลเข้าไปอีก ทั้งๆ ที่ขนายสมัยใครก็ไม่รู้ ไม่รู้หละ ไปหามา นะ ขยายเพราะไอ้นี่ไง รถคันแรก คนก็ซื้อกันเยอะ ซื้อกันเยอะก็ต้องขยายโรงงาน วันนี้พอไม่มีสตางค์ซื้อ ต้องมาคืนกันหมด ยึดคืนกันหมดนี่ แล้วทำยังไง เสียเงินไปแล้รายละแสน น่ะ เท่าไรล่ะ นะ ก็โอเคล่ะ เขาบอกว่ากลับไปให้ประชาชน ผมถามว่ามันกลับไปประชาชนจริงๆทั้งหมดเท่าไร ไปเช็คเอานะ
เพราะงั้นไม่มีระบบใดนะครับที่จะสร้างความปรองดองในประเทศได้ได้ ไม่มีระบบการปกครองใด ทำให้ประเทศเจริญได้ หากคนในชาติยังไม่ได้รับการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติตน แนวคิด ในทุกกลุ่มทุกภาคส่วนนะครับ ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ก็คือต้องศึกษารายละเอียดให้มากขึ้น ฟัง ฟังก่อนพูดคิดก่อนทำ แล้วก็ต้องคำนึงถึงส่วนรวมมาก่อนส่วนตนนะครับ แล้วก็สิ่งใดที่เป็นการขัดขวางการเจริญของประเทศ ก็ไม่สมควรทำ รัฐบาลจะจับตาดูนะครับ คนเหล่านี้ว่าเขาทำให้ประเทศชาติมันเสียหายหรือเปล่า นะ อันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องดูกันนะครับ เพราะงั้นประชาชนช่วยกันดูด้วยนะ ช่วยกันพิสูจน์ข้อเท็จจริงซิว่าที่เขาพูดมานั่นมันจริงหรือไม่ แล้วผมพูดมามันจริงหรือไม่ แล้วไปดูซิว่ามันเกิดอะไรขึ้นตรงไหนบ้าง อันไหนเกิดก่อน อันไหนเกิดหลัง อันไหนเกิดระยะยาว มันเกิดพร้อมกันไม่ได้หรอกครับ เพราะว่ามันหมักหมมมายาวนาน เพราะงั้นเราจะทำเรื่องเหล่านี้ให้จริงจัง สำเร็จ เพื่อประชาชน ประเทศชาติ การความปรองดองถึงจะเกิดขึ้น
ต้องช่วยกันนะครับ รัฐบาล ข้าราชการ ประชาชน แล้วก็คำว่าสิทธิ/ เสรีภาพ / หน้าที่/ เคารพกฎหมาย/ ศีลธรรม/ คุณธรรม / จริยธรรม เป็นสิ่งสำคัญ ประกอบกันทั้งหมดนะครับ
ลำดับต่อไปผมได้เชิญ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลด้านเศรษฐกิจ มาพูดคุยทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจของประเทศครับ
ขอบคุณครับ สวัสดีครับ….