- Details
- Category: สำนักนายกฯ
- Published: Monday, 23 March 2015 22:19
- Hits: 2222
นายกฯ ย้ำรัฐบาลเร่งขับเคลื่อนศก.เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่ความยั่งยืน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันการค้าของประเทศไทย" ภายในงานประชุมสามัญประจำปี สมาชิกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)ทั่วประเทศ โดยงานดังกล่าวเป็นการรวมตัวของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมาพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน และสนับสนุนภาคพพัฒนาภาคอุตสาหกรรมทั้งในส่วนกลาง และภูมิภาคอย่างบูรณาการ เพื่อยกระดับผลิตภาพของอตสาหกรรมให้แข่งขันได้ในระดบสากล
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาในตอนหนึ่งว่า หลังเข้ามาทำหน้าที่ บางครั้งถูกตำหนิการทำงานในทุกเรื่องแม้ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำงานรัฐบาลชุดนี้ แต่ถือเป็นสีสันให้กับการทำงาน ขณะเดียวกันต้องเตรียมการรับมือกับความขัดแย้งในอนาคตทั้งการเลือกตั้ง และร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งหากยังคงไม่ได้ข้อยุติก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น
ขณะที่ข้อเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายพิเศษนั้น ยืนยันว่า ถ้าไม่ใช้กฎอัยการศึกประเทศจะเดือดร้อนกว่าที่เป็นอยู่ และขอความเป็นธรรมกับกลุ่มที่ชอบตำหนิรัฐบาลว่าทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ เพราะบางเรื่องรัฐบาลไม่ได้ก่อขึ้น และเป็นผลจากการทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมา เช่น โครงการรถคันแรกที่สนับสนุนให้ซื้อรถและได้ภาษีคืน ซึ่งส่งผลให้ตอนนี้ที่ปริมาณความต้องการรถยนต์ลดลง และรัฐต้องใช้ภาษีกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งทำให้รถล้นตลาดความต้องการ ซึ่งหากรัฐบาลไม่เข้ามาควบคุมเศรษฐกิจก็อาจจะหนักกว่านี้
ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลกำลังจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปข้างหน้าถืออยู่ในช่วงที่เปลี่ยนผ่าน และนำไปสู่ความยั่งยืน โดยยอมรับว่า การจัดระเบียบธุรกิจสีเทา ทำให้เงินในระบบที่มีถึง 1 ใน 3 ลดลง แต่รัฐบาลมีความจำเป็นที่ต้องทำเพื่อให้ธุรกิจเข้าสู่ระบบ แต่การจัดระเบีบครั้งนี้ ก็จะมีมาตรการให้ประชาชนที่เดือดร้อนมีที่ทำกินต่อไป และมีอาชีพสุจริต เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
สำหรับ ภาพรวมอุตสาหกรรมไทยนั้น จะต้องทำงานประสานสอดคล้องกับรัฐบาล มีความเชื่อมโยง และมีห่วงโซ่ถึงประเทศอื่น ขณะที่การพัฒนาในประเทศ รัฐบาลเร่งการก่อสร้างระบบรถไฟ ซึ่งจะเริ่มทำในปีนี้และเสร็จในปี 2563 ให้ได้ รวมถึงการบริหารจัดการน้ำก็จะต้องดำเนินการ โดยทั้ง 2 โครงการ ใช้งบประมาณปกติ โดยจะไม่ใช่การกู้ทั้งหมดเหมือนรัฐบาลที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน เตรียมพัฒนาถนนเชื่อมต่ออำเภอและจังหวัด โดยจะดำเนินการในเส้นทางที่ใช้ได้จริง ไม่ให้มีการเอื้อประโยชน์เหมือนนักการเมืองที่ผ่านมา พร้อมกันนี้จะเร่งพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเปิดตลาดชุมชนเพื่อให้ประชาชนมีรายได้ โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ซึ่งขอให้ส.อ.ท.ช่วยดูแลในเรื่องนี้ โดยเฉพาะผลผลิตข้าวและยางพาราที่จะออกสู่ตลาดในอีกไม่กี่เดือน ขณะที่รัฐเตรียมระบายยางพาราที่อยู่ในสต็อกถึง 2 แสนตันให้กับจีน
นอกจากนี้ ขอความร่วมมือภาคอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค จัดทำสินค้าในราคาถูก แต่มีคุณภาพ ในลักษณะสินค้าช่วยชาติ เพื่อนำมาจำหน่ายให้แก่ผู้มีรายได้น้อย ซึ่งหากผู้ประกอบการใดดำเนินการให้ตามแนวความคิดนี้ก็พร้อมมีมาตราการลดภาษีให้ทันที
ทั้งนี้ รัฐบาลยังมีแนวคิดช่วยเหลือธุรกิจ SMEs ทั้งธุรกิจใหม่และที่ประสบปัญหา เพราะ SMEs เป็นหัวใจกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ จึงต้องทำให้เข้มแข็ง ซึ่งที่ผ่านมามี SMEs ขึ้นทะเบียนเพียง 6 แสนรายจากกว่า 2 ล้านราย จึงขอให้ SMEs ที่เหลืออยู่มาขึ้นทะเบียน โดยรัฐบาลจะช่วยดูแลเรื่องของการจัดเก็บภาษี แต่หากไม่มาลงทะเบียนจะมีมาตราการรจัดเก็บภาษีเพิ่ม 2 เท่า
นายกรัฐมนตรี ยังย้ำการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างว่า ฐานภาษีเป็นโครงสร้างเดียวกัน แต่จะแตกต่างจากมูลค่าสินทรัพย์ที่แต่ละคนมี จึงอยากให้เข้าใจว่ารัฐบาลให้ความเป็นธรรมกับคนชั้นกลางและผู้มีรายได้น้อย
ส่วนการสร้างเสถียรภาพเพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้านั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เสถียรภาพความมั่นคงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อนำไปสู่เสถียรภาพต่างๆทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม พร้อมตัดพ้อว่ารัฐมนตรีทุกคนมีความตั้งใจทำงาน แต่ยังมีคนเรียกร้องให้มีการปรับย้าย ซึ่งตนเห็นว่าคงยังทำหน้าที่ต่อได้ แต่หากพบว่ามีรัฐมนตรีคนใดทำการทุจริตให้มาบอกตนโดยตรง ซึ่งจะดำเนินการให้
นายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยมีปัญหาเพราะคำว่าประชาธิปไตย โดยตีความประชาธิปไตยเข้าข้างตัวเอง และแม้จะมาจากการควบคุมอำนาจ แต่ยืนยันว่าไม่ได้มาล้มล้างประชาธิปไตย โดยประเทศไทยยังมีประชาธิปไตย 99.99 % และการที่ตนเองเข้ามาก็ต้องการคืนความสุขให้กับประชาชน แต่ยอมรับว่าการเปลี่ยนผ่านต้องมีผลกระทบ ซึ่งหากเปรียบกับประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ ในขณะนี้ก็ไม่มีประเทศไหนเสรีเท่ากับประเทศไทย ดังนั้นจึงต้องเข้ามาวางยุทธศาสตร์เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศและประชาชน
พร้อมระบุว่า ไม่เคยตำหนิว่าใครจะรักใครชอบใคร แต่ไม่ควรออกมาต่อต้านรัฐบาลในช่วงนี้ เพราะหากรัฐบาลจะบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังก็ทำได้ แต่ที่ผ่านมาได้ผ่อนคลายการบังคับใช้ และยอมรับว่าการทำงานมีทั้งคนรักและเกลียด แต่ยืนยันไม่เคยทำงานเพื่อผลประโยชน์ตนเอง
อินโฟเควสท์