- Details
- Category: สำนักนายกฯ
- Published: Friday, 06 February 2015 22:02
- Hits: 2538
หม่อมอุ๋ย หวัง VAT เดือน ก.พ.-มี.ค.ทำได้ 3.8-3.9 หมื่นลบ.ขณะที่การใช้จ่ายภาครัวเรือน ม.ค.58 แตะ 5.8 แสนลบ.
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า การใช้จ่ายภาคครัวเรือนในประเทศมีการปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในเดือน ม.ค.58 ประชาชนมีการใช้จ่ายภายใน 1 เดือนสูงถึง 5.8 แสนล้านบาท ทำให้สามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้ถึง 4.01 หมื่นล้านบาท สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ คาดว่ามาจากปัจจัย คือ 1.การเปิดโรงงานใหม่เพิ่มขึ้นทำให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นด้วย 2.น้ำมันลดลงมาก และ 3.เงินกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลอนุมัติงบประมาณปี 58 ตั้งแต่เดือน ต.ค.57 ถึงมือกับประชาชนที่มีรายได้ในช่วงเดือนที่ผ่านมา
พร้อมหวังว่า ในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.58 ภาครัฐจะสามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้ที่ 3.8-3.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ และจะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้เติบโตได้ถึง 4%
ส่วนการส่งออกของไทย ยอมรับว่า หนักใจเนื่องจากประเทศคู่ค้ารายใหญ่ ทั้งสหรัฐ จีน ญี่ปุ่น และยุโรป มีการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจีนการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ลดลง ส่งผลให้การส่งออกไทยต้องได้รับผลกระทบ แต่ขณะนี้ตลาดใหม่ส่งออก คือการค้าตามแนวชายแดน และเชื่อมั่นว่ากระทรวงพาณิชย์จะทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อผลักดันการส่งออกให้เติบโตได้ 4% ตามที่วางเป้าหมายไว้
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวถึงการหารือกับผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานเลขาธิการองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ในช่วงเช้าวันนี้ว่า UNIDO ชื่นชมไทยที่พัฒนาอุตสาหกรรมเป็นไปในทางที่ดี โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยหวังให้เป็นตัวอย่างการพัฒนาอุตสาหกรรมให้กับประเทศเพื่อนบ้านด้วย เนื่องจากประเทศไทยพัฒนาอุตสาหกรรมมาถึง 54 ปีแล้ว อีกทั้งรัฐบาลได้มีการปรับปรุงระเบียบการส่งเสริมการลงทุนในประเทศใหม่ในลักษณะที่ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน ตรงกับแนวทางของ UNIDO นอกจากนี้ยังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันเกี่ยวกับอุตสาหกรรมในประเทศแอฟริกาที่กำลังจะเติบโตและมีค่าแรงงานถูก ดังนั้น ทั่วโลกจึงต้องช่วยกันส่งเสริม
สำหรับ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมของไทยในปี 57 ติดลบถึง 4%นั้น ม.ร.ว.ปริดิยาธร กล่าวว่า การจัดตั้งโรงงงานในเดือน มิ.ย.57 จนถึงสิ้นเดือน ม.ค.58 มีการจดทะเบียนตั้งโรงงานถึง 4,200 โรงงาน และเปิดโรงงานได้แล้ว ประมาณ 2,041 โรงงาน ซึ่งถือว่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ไทย และเกิดการจ้างงานไปแล้ว 99,000 คนทำให้จับจ่ายใช้สอยในประเทศเพิ่มขึ้น ส่วนที่เหลืออีก ประมาณ 2,200 โรงงาน คาดว่า อีก 4-5 เดือนจะเปิดโรงงานได้ จะมีการจ้างงานขึ้นอีกถึง 62,000 คน มีมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมด ถึง 45,000 ล้านบาท
"ทุกอย่างกำลังเดินหน้า และขอให้มองไปข้างหน้า อย่ามาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ผ่านมา"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ไม่ทราบข้อมูลที่คณะอนุกรรมการด้านการเงินและรูปแบบการลงทุนการก่อสร้างรถไฟทางคู่ไทย จีน ที่รัฐบาลจีนเสนอรูปแบบการลงทุนลักษณะกู้ร่วมผ่านธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศจีน ในอัตราดอกเบี้ย 2-4% ซึ่งต้องการรายงานจากกระทรวงคมนาคม เบื้องต้นมองว่า การกู้เงินไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่ที่สำคัญคือ เรื่องการตรวจสอบต้นทุนการก่อสร้าง ซึ่งแหล่งเงินกู้ สามารถใช้ในประเทศได้อยู่แล้ว พร้อมเห็นว่า เทคโนโลยีรถไฟของจีนและญี่ปุ่นมีประสิทธิภาพทั้งคู่
ขณะที่ความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่นจะมีการศึกษาเส้นทางรถไฟทั้งหมด 3 เส้นทางซึ่งไทยก็เห็นด้วย เป็นอย่างยิ่ง และจะมีความร่วมมือก่อสร้างรถไฟในเส้นทางหลักจาก พุน้ำร้อน กาญจนบุรี กทม. ฉะเชิงเทรา สระแก้ว
หม่อมอุ๋ย"มองเศรษฐกิจไทยฟื้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสอง
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ระบุ เศรษฐกิจไทยขณะนี้ เริ่มฟื้นตัวแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ ขณะที่ ตั้งเป้าเบิกจ่ายงบลงทุนให้ได้ 30% ของลงทุนทั้งหมด ในสิ้นเดือนมี.ค.นี้ จากใน ช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 58(ต.ค.57-ม.ค.58) เบิกจ่ายไป 12%
"ตอนนี้มีสัญญาณว่าเศรษฐกิจของเรา เติบโตได้ด้วยตัวเองแล้ว ไม่ต้อง ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสอง เพราะรอบแรกที่ออกไป ก็เพิ่งจะออกฤทธิ์ เมื่อเดือนธันวาฯ มกราฯ ถ้าเร่งมากไป เดี๋ยวจะเกิดเงินเฟ้อได้" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ยังคาดว่า กระทรวงอุตสาหกรรมจะออกใบอนุญาต เหมือนโปแตชให้กับผู้ประกอบการได้ในอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้านี้
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
หม่อมอุ๋ยเผยการใช้จ่ายครัวเรือน ม.ค.58 ดีเกินคาด ลุ้นยอด VAT พุ่ง
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า การใช้จ่ายภาคครัวเรือนในประเทศมีการปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในเดือน ม.ค.58 ประชาชนมีการใช้จ่ายภายใน 1 เดือนสูงถึง 5.8 แสนล้านบาท ทำให้สามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้ถึง 4.01 หมื่นล้านบาท สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ คาดว่ามาจากปัจจัย คือ 1.การเปิดโรงงานใหม่เพิ่มขึ้นทำให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นด้วย 2.น้ำมันลดลงมาก และ 3.เงินกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลอนุมัติงบประมาณปี 58 ตั้งแต่เดือน ต.ค.57 ถึงมือกับประชาชนที่มีรายได้ในช่วงเดือนที่ผ่านมา
พร้อมหวังว่า ในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.58 ภาครัฐจะสามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้ที่ 3.8-3.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ และจะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้เติบโตได้ถึง 4%
ส่วนการส่งออกของไทย ยอมรับว่า หนักใจเนื่องจากประเทศคู่ค้ารายใหญ่ ทั้งสหรัฐ จีน ญี่ปุ่น และยุโรป มีการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจีนการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ลดลง ส่งผลให้การส่งออกไทยต้องได้รับผลกระทบ แต่ขณะนี้ตลาดใหม่ส่งออก คือการค้าตามแนวชายแดน และเชื่อมั่นว่ากระทรวงพาณิชย์จะทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อผลักดันการส่งออกให้เติบโตได้ 4% ตามที่วางเป้าหมายไว้
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวถึงการหารือกับผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานเลขาธิการองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ในช่วงเช้าวันนี้ว่า UNIDO ชื่นชมไทยที่พัฒนาอุตสาหกรรมเป็นไปในทางที่ดี โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยหวังให้เป็นตัวอย่างการพัฒนาอุตสาหกรรมให้กับประเทศเพื่อนบ้านด้วย เนื่องจากประเทศไทยพัฒนาอุตสาหกรรมมาถึง 54 ปีแล้ว อีกทั้งรัฐบาลได้มีการปรับปรุงระเบียบการส่งเสริมการลงทุนในประเทศใหม่ในลักษณะที่ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน ตรงกับแนวทางของ UNIDO นอกจากนี้ยังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันเกี่ยวกับอุตสาหกรรมในประเทศแอฟริกาที่กำลังจะเติบโตและมีค่าแรงงานถูก ดังนั้น ทั่วโลกจึงต้องช่วยกันส่งเสริม
สำหรับ ดัชนี ผลผลิตอุตสาหกรรมของไทยในปี 57 ติดลบถึง 4% นั้น ม.ร.ว.ปริดิยาธร กล่าวว่า การจัดตั้งโรงงงานในเดือน มิ.ย.57 จนถึงสิ้นเดือน ม.ค.58 มีการจดทะเบียนตั้งโรงงานถึง 4,200 โรงงาน และเปิดโรงงานได้แล้ว ประมาณ 2,041 โรงงาน ซึ่งถือว่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ไทย และเกิดการจ้างงานไปแล้ว 99,000 คนทำให้จับจ่ายใช้สอยในประเทศเพิ่มขึ้น ส่วนที่เหลืออีก ประมาณ 2,200 โรงงาน คาดว่า อีก 4-5 เดือนจะเปิดโรงงานได้ จะมีการจ้างงานขึ้นอีกถึง 62,000 คน มีมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมด ถึง 45,000 ล้านบาท
"ทุกอย่างกำลังเดินหน้า และขอให้มองไปข้างหน้า อย่ามาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ผ่านมา"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ไม่ทราบข้อมูลที่คณะอนุกรรมการด้านการเงินและรูปแบบการลงทุนการก่อสร้างรถไฟทางคู่ไทย จีน ที่รัฐบาลจีนเสนอรูปแบบการลงทุนลักษณะกู้ร่วมผ่านธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศจีน ในอัตราดอกเบี้ย 2-4% ซึ่งต้องการรายงานจากกระทรวงคมนาคม เบื้องต้นมองว่า การกู้เงินไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่ที่สำคัญคือ เรื่องการตรวจสอบต้นทุนการก่อสร้าง ซึ่งแหล่งเงินกู้ สามารถใช้ในประเทศได้อยู่แล้ว พร้อมเห็นว่า เทคโนโลยีรถไฟของจีนและญี่ปุ่นมีประสิทธิภาพทั้งคู่
ขณะที่ความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่นจะมีการศึกษาเส้นทางรถไฟทั้งหมด 3 เส้นทางซึ่งไทยก็เห็นด้วย เป็นอย่างยิ่ง และจะมีความร่วมมือก่อสร้างรถไฟในเส้นทางหลักจาก พุน้ำร้อน กาญจนบุรี กทม. ฉะเชิงเทรา สระแก้ว
อินโฟเควสท์