- Details
- Category: สำนักนายกฯ
- Published: Tuesday, 13 January 2015 22:56
- Hits: 2579
นายกฯชี้ออกกม.ต้องไม่เดือดร้อน เผยผลผลิตสูงทำราคายางตก
แนวหน้า : พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงกรณีที่ตัวแทนชาวสวนยางเสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติใช้อำนาจตามมาตรา 44 เพื่อยกเลิก พ.ร.บ.สวนป่าแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ว่า พ.ร.บ.ดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาตามขั้นตอน ซึ่งจะต้องไปให้ข้อมูลว่าควรจะเป็นอย่างไร หรือแก้ไขในส่วนไหนบ้าง โดยตนจะบอกไปยังสนช.ให้มีการพิจารณาในส่วนนี้ด้วย นอกจากนี้ยังมี พ.ร.บ.เกี่ยวกับภาษีมรดก ว่าจะยกเว้นส่วนใดได้บ้าง ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของกรรมาธิการ แต่คนที่อยู่ข้างนอกกลับตีกันจะเป็นจะตาย ก็ต้องไปดูในรายละเอียด แต่กฎหมายที่ออกไปอย่าทำให้ใครเดือดร้อนและจะต้องคุ้มครองทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ ผลประโยชน์ของรัฐ เจ้าหน้าที่ที่ทำงาน ผู้ที่เกี่ยวข้อง เจ้าหนี้ ลูกหนี้ว่าจะคุ้มครองทั้งสองข้างอย่างไร ประเทศชาติจะได้ตรงไหน ซึ่งจะต้องคิดหลายๆ ด้าน
ส่วนความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาราคายางพารานั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหาเรื่องยางพารา มีทั้งเรื่องราคายางพาราที่ตกลง และเรื่องผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้น จากเดิม 7 ล้านไร่ เป็น 11 ล้านไร่ จากการสนับสนุนของรัฐบาลที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดโลกมีการแข่งขันในการปลูกยางเพิ่มในประเทศต่างๆ ที่มีต้นทุนค่าจ้างแรงงานถูกกว่าประเทศไทย ถึงแม้ว่าปริมาณยางจะเป็นที่ต้องการใช้มากก็ตาม แต่เมื่อมีคู่แข่งมากคนก็เลือกประเทศที่ต้องการใช้ยางมาก ก็ไปลงทุนปลูกยางในประเทศอื่น เพราะประเทศไทยมีราคาสูง โลกจึงเปลี่ยนการลงทุนเป็นแบบนี้ และนำไปสู่การเชื่อมโยง และวันหน้าอาจจะมีการถอนการลงทุนจากประเทศไทย ไปในประเทศที่มีต้นทุนถูกกว่า แต่ไทยยังมีระบบสาธารณูปโภคที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ประเทศไทยมีอยู่
“แต่สิ่งที่ทำให้ประเทศไทยเสียหายคือความขัดแย้ง ถ้าไม่มีความขัดแย้งอะไรก็น่าจะดีขึ้น สามารถเรียกคนกลับมาได้ถึงแม้ค่าแรงจะสูง ทุกอย่างต้องการความมีเสถียรภาพ เรื่องประชาธิปไตยก็บอกแล้วว่ารออีกนิดหนึ่ง ก็จะออกไปตามโรดแมป วันนี้ต้องเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ ที่ผ่านมาพูดแล้วไม่ได้ทำ” นายกฯกล่าว
"ธุรกิจยางมีทั้งการขายในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงการขายล่วงหน้า ซึ่งทั้งหมดต้องแก้ไขทั้งระบบ เหมือนการแก้ไขปัญหาสลากกินแบ่งรัฐบาล เพราะมีความเชื่อมโยงกันหมด แต่สิ่งสำคัญทุกสมาคม ทั้งเรื่องข้าวเรื่องยาง มันสำปะหลัง ทั้งหมดต้องขึ้นทะเบียนรวมกันให้ได้ วันนี้มีหลายสมาคม เมื่อเรียกประชุมบางคนเห็นด้วยบางคนไม่เห็นด้วย ซึ่งคนเหล่านี้เป็นคนของกลุ่มการเมืองทั้งสิ้น แล้วแต่จะชอบใคร ผมห้ามไม่ได้ แต่คนเหล่านี้เป็นแบบนี้มาตลอด ถ้าท่านรวมตัวกัน เราจะได้ช่วยได้ถูก แต่ถ้าให้คนพันต่อไปก็มาขอ 2 พัน ต่อไปก็มาขอราคายาง 80 บาทต่อกิโลกรัม ผมถามว่าแล้วจะต้องให้อย่างนี้อีกเท่าไร ถ้าเราต้องให้ทุกอย่างจะไปเอาเงินจากที่ไหน วันนี้มีเงินที่ไหนให้ผม มีเงินจากไหนที่เข้ามารัฐบาลมากกว่าปกติไหม รายได้ก็ยังไม่เข้า แต่ลดโน้นลดนี่เยอะไปหมด ไม่ทำก็ไม่ได้ มันไม่ใช่ประชาชนนิยม แต่เป็นเพียงเพราะประชาชนเดือดร้อน เป็นสิ่งที่เราเป็นห่วง และถ้าเราต้องใช้แบบนี้ ให้ยางให้ข้าว แล้วต่อไปจะเอาเงินจากไหนมาขับเคลื่อน ไม่มีแล้วเงินหมดแล้ว มีเงินอยู่ 2.7 แสนล้านบาท แค่นั้นเอง ประเด็นคือจะผิดจะถูกก็ไม่รู้ แต่อะไรคือปัญหา อะไรที่ทำให้เกิดปัญหา คือสิ่งที่ต้องสอบสวน ว่าจะเอาอย่างไรกัน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ได้มีการหารือกับประเทศมาเลเซียแล้วว่าจะทำอย่างไรให้ราคายาง 3 ประเทศเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมาเลเซียก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน แต่ได้มีการเปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว จากปลูกยางพารา เปลี่ยนเป็นปาล์มน้ำมัน เพราะทำไบโอดีเซลได้ ซึ่งไทยก็มีการส่งเสริมในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ทำ เพราะยังไม่มีการจัดการให้เป็นระบบทั้งหมด ซึ่งไม่ใช่ความผิดพลาดของรัฐบาลนี้ เราเข้ามาแก้ปัญหาทุกเรื่อง อย่าบอกว่าปัญหาเกิดขึ้นเพราะตนเองเข้ามาบริหาร มันเป็นระเบิดเวลามานานแล้ว ที่เรียกว่ากับดักประชาธิปไตย ที่ทุกคนเลือกมา และจะต้องบริหารจัดการทำให้เกิดประโยชน์ แต่ต้องถามกลับว่าได้แค่ไหน ถ้าทำได้ดีเหมือนที่ตนเองเข้ามาก็ไม่ต้องเหนื่อยแบบนี้ จึงต้องวางอนาคตให้ดี อย่ารังเกียจตน เพราะตนเข้ามาก็ต้องรับทุกเรื่องอยู่แล้ว จะดีไม่ดีตนไม่รู้ แต่ตนก็คิดที่จะทำ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า หากจะสร้างประเทศไทยไปทางไหนก็ต้องสร้างความเข้มแข็งของไทยไปทางนั้น เช่น จะเป็นประเทศที่ผลิตอาหารที่มีคุณภาพ อย่างข้าววิตามิน ข้าวออแกนิค ที่มีราคาสูง ต้องสร้างให้เป็นที่นิยมให้ได้ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้มาปลูกข้าวแบบนี้ ไม่ใช่ปลูกข้าวเพื่อมารับเงิน ข้าวที่อายุสั้น หรือข้าวที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งขณะนี้ชาวไร่ ชาวนาก็ยังติดอยู่กับพฤติกรรมแบบนี้อยู่ ซึ่งบางอย่างคุณภาพใช้ไม่ได้ ขายไม่ได้ราคา มีความชื้นสูงเพราะรีบผลิต
อย่างไรก็ตาม ในวันจันทร์ที่ 19 ม.ค. 2558 จะมีการเปิดขายกล้วยไม้ บริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งขณะนี้ไทยส่งออกเป็นอันดับ รองจากประเทศเนเธอแลนด์ และจะทำให้เป็นอันดับหนึ่งให้ได้