- Details
- Category: สำนักนายกฯ
- Published: Sunday, 08 March 2020 11:55
- Hits: 7416
ครม. เศรษฐกิจ เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ และประชาชน ที่ได้รับผลกระทบ จากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ชุดที่ 1
ครม.เศรษฐกิจเห็นชอบหลักการมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ-ประชาชนจากสถานการณ์โควิด-19 ประกอบด้วย 4 มาตรการการเงิน 4 มาตรการภาษีสำหรับผู้ประกอบการ-สนับสนุนเงินสำหรับการใช้จ่ายแก่ผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เตรียมเสนอ ครม.พิจารณา
ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม. เศรษฐกิจ) ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานฯ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีความรุนแรงมากและยังไม่ถึงจุดสูงสุด
ขณะนี้ ส่งผลกระทบรุนแรงทั่วโลก ในทุกภาคส่วน ไม่ใช่แค่ภาคการท่องเที่ยวเท่านั้น ยังกระทบไปถึงภาคการผลิตและบริการ ซึ่งกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และผู้ที่เกี่ยวข้องได้หารือร่วมกันและติดตามสถานการณ์นี้โดยตลอด โดยคิดว่าถึงเวลาที่ควรจะมีมาตรการออกมาเป็นชุดที่หนึ่งออกมา แล้วจะมีการประเมินว่ายังขาดตรงไหน ตรงไหนมีประสิทธิผลมากกว่า และจะมีมาตรการตามออกมาเรื่อยๆ ซึ่งจะมีการใช้เงินอย่างระมัดระวัง และให้ครอบคลุมหลายๆ ส่วน
สิ่งที่สำคัญมากในขณะนี้ คือผู้ประกอบการทั้งหลายกำลังได้รับผลกระทบค่อนข้างมากโดยเฉพาะ SME เมื่อภาคการผลิตและการบริการได้รับผลกระทบ ก็ส่งผลถึงการจ้างงานถึงประชาชนทั่วไป ฉะนั้น ครม.เศรษฐกิจในวันนี้จึงได้พิจารณาในหลักการของมาตรการชุดที่หนึ่ง โดยการให้เงินช่วยเหลือเป็นแค่เพียงเสี้ยวเดียว ภาวะยามนี้เป็นภาวะที่ประเทศกำลังเผชิญปัญหา วันนี้กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และทุกฝ่ายมีเอกภาพเป็นหนึ่งเดียวกัน วาระที่เข้า ครม.เศรษฐกิจวันนี้ผ่านการกลั่นกรองเรียบร้อยแล้ว และไม่ใช่ว่าออกมาแล้วจบ เป็นเพียงชุดที่หนึ่งในช่วงเวลานี้ วันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นยังไม่สามารถยืนยันได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของโลก
ฉะนั้น พวกเราต้องช่วยกัน ทั้งนี้ สถานการณ์โลกขณะนี้ เราทำนายไม่ได้ว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นมากไปกว่านี้อีก เพื่อความรอบคอบ กระทรวงการคลังจะหารือกับสำนักงบประมาณ ดูระเบียบกฎเกณฑ์ เพื่อจัดตั้งกองทุนเพื่อใช้ช่วยเหลือผ่อนคลายภาระต่างๆ ที่จำเป็นในอนาคต เช่น กรณีมีคนตกงาน จะต้องมีการฝึกฝน อบรมเพื่อให้เขาสามารถอยู่รอดต่อไปได้ เป็นต้น
ด้านนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงว่า มาตรการที่นำเสนอวันนี้ เพื่อดูแลและเยียวยาให้ครอบคลุมที่สุด โดยร่วมกันคิดมาตรการที่ทันการณ์ ตรงเป้าหมาย มีน้ำหนัก โดยมาตรการชุดแรกเป็นมาตรการชั่วคราวเท่าที่จำเป็น ครอบคลุมกลุ่มผู้ประกอบการและประชาชน เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระให้ประชาชน ซึ่งจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในสัปดาห์หน้า คาดว่าจะเริ่มอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบได้ภายในเดือนเมษายน 2563 โดยมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการจะมีมาตรการ 2 ด้าน คือ มาตรการด้านการเงิน และมาตรการด้านภาษี โดยมาตรการด้านการเงิน
จะมี 4 เรื่อง ประกอบด้วย 1. สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือซอฟท์โลน ช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของไวรัสโคโรนาและที่เกี่ยวเนื่อง โดยธนาคารออมสินจะปล่อยกู้ให้กับสถาบันการเงินอื่นๆ ในอัตราดอกเบี้ย 0.01% เพื่อให้นำไปปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 2% 2. มาตรการพักเงินต้น และพิจารณาการผ่อนภาระดอกเบี้ย ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้กับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ สถาบันการเงินของรัฐ 3. การปรับโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้ที่ยังไม่เป็นหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) และลูกหนี้ที่เริ่มเป็นเอ็นพีแอล หรือได้รับผลกระทบ
โดยจะให้มีการยืดเวลาชำระหนี้ ลดอัตราดอกเบี้ย ขยายเวลาการกู้เงินให้เป็นระยะเวลายาวมากขึ้น รวมถึงลดค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมาตรการนี้จะครอบคลุมทั้งลูกหนี้ธุรกิจรายใหญ่ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และสินเชื่อบุคคล โดยในส่วนเรื่องบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ให้ผ่อนขั้นต่ำน้อยกว่า 10% และสามารถแปลงหนี้ที่มีการหมุนโดยต่อเนื่องให้เป็นหนี้ระยะยาวได้ 4. มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยอัตราพิเศษของสำนักงานประกันสังคม โดยจะให้นายจ้างและลูกจ้างกู้ได้ เพื่อบรรเทาภาระและเป็นเงินทุนเวียน โดยหลังจากนี้สำนักงานประกันสังคมจะกลับไปพิจารณาหลักการดำเนินงาน
ส่วนมาตรการด้านภาษี ประกอบด้วย 4 เรื่อง ได้แก่ 1. มาตรการลดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้กับผู้ประกอบการเป็นการชั่วคราว เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ 2. มาตรการภาษีเพื่อลดดอกเบี้ยจ่ายให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เขาร่วมโครงการสินเชื่อพิเศษซอฟท์โลน และผู้ประกอบการที่ทำบัญชีเดียว ให้สามารถนำภาระดอกเบี้ยเงินกู้มาคำนวณเป็นรายจ่ายหักลดหย่อนภาษีได้ 3. มาตรการส่งเสริมการจ้างงาน ให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี นำรายจ่ายค่าจ้างลูกจ้าง มาหักลดหย่อนภาษีได้ 3 เท่า ในช่วง 1 เมษายน - 31 กรกฎาคม 2563 เพื่อดูแลพนักงานลูกจ้าง และ 4. กระทรวงการคลังจะเร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ประกอบการภายในประเทศให้เร็วขึ้น หากยื่นแบบผ่านระบบอินเทอร์เน็ต จะได้รับคืนภายใน 15 วัน ส่วนผู้ประกอบการที่ยื่นแบบปกติจะได้คืนภายในไม่เกิน 45 วัน
พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่ารัฐบาลยังมีมาตรการอื่นๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชน ประกอบด้วย 1. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาลดค่าธรรมเนียม ค่าเช่า และค่าตอบแทนต่างๆ ที่เก็บจากภาคเอกชนที่เช่าพื้นที่ราชพัสดุ 2. ให้มีการบรรเทาภาระค่าน้ำ ค่าไฟ ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงพลังงานจะพิจารณารายละเอียดการดำเนินการที่เหมาะสม 3. ลดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมทั้งในส่วนของนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบจะพิจารณาการดำเนินการตามความเหมาะสม 4. เพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563
โดยกระทรวงคลังจะปรับปรุงขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างให้เร็วขึ้น โดยเฉพาะการเร่งดำเนินการเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้เร็วขึ้น และ 5. มาตรการสร้างความเชื่อมั่นช่วยเหลือตลาดทุน โดยการขยายวงเงินการซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) วงเงินพิเศษ โดยวงเงินใหม่จะต้องซื้อภายในมิถุนายน 2563 และ SSF สามารถลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนได้มากกว่า 65% ระยะเวลาถือครอง 10 ปี นอกจากนี้ มีมาตรการดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยสนับสนุนเงินให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร และผู้ประกอบอาชีพอิสระ เดือนละ 1,000 บาท/ราย เป็นเวลาไม่เกิน 2 เดือน โดยใช้ระบบ e-Payment ที่มีการเตรียมพร้อมไว้แล้ว
นอกจากนี้ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง กรรมการและเลขานุการ ครม.เศรษฐกิจ กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเดือนมกราคม 63 เติบโตได้ต่ำกว่าปกติในหลายด้าน ทั้งเรื่องการลงทุนภาคเอกชน การใช้จ่ายภาครัฐ การท่องเที่ยว การส่งออกที่ยังติดลบ ส่งผลทำให้แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาส 1/63 เติบโตได้ต่ำกว่าคาดการณ์พอสมควร และจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจทั้งปี 63 ทั้งนี้ ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ขยายความรุนแรงมากขึ้น จากเดิมประเมินว่าจะจบใน 3 เดือน และจะใช้เวลาฟื้นตัวอีก 3 เดือน แต่จากการประเมินใหม่คาดว่าสถานการณ์จะจบได้ภายใน 6 เดือน และกว่าจะสร้างความมั่นใจต้องใช้เวลาอีก 3 เดือน คาดว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวได้ในปลายไตรมาส 3/63 ถึงต้นไตรมาส 4/63 แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด
“วันนี้ ความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อยๆ ไตรมาสที่ 1 มีผลกระทบงบประมาณไม่สามารถเบิกจ่ายได้ ใจผมคิดว่า ไตรมาส 1 คงออกมาต่ำคงต่อเนื่องจากไตรมาส 4 เมื่อปีที่แล้ว ตัวเลขเบื้องต้นเดือนมกราคมจะต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 4 อยากให้ทุกคนทำใจ รัฐบาลก็ทำใจ ตัวเลขไตรมาสที่ 1 ปีนี้ไม่ดี หลังจากนั้นก็หวังว่าไตรมาส 2 ตัวเลขการใช้จ่ายภาครัฐจะกลับคืนมา แต่ว่าท่องเที่ยวเราคิดว่าจะแย่ต่อเนื่องระยะเวลาหนึ่ง วันนี้ตัวเลขท่องเที่ยวหายไป 50%” นายกอบศักดิ์ กล่าว
นายกอบศักดิ์ เปิดเผยอีกว่า ที่ประชุมได้มีการหารือมาตรการบรรเทาผลกระทบสายการบินต่าง ๆ ทั้งเรื่องการลดค่าใช้จ่ายสายการบิน เช่น การปรับลดค่าบริการสนามบิน มาตรการลดค่าบริการการเดินอากาศ การปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบิน ที่อยากจะขอเพิ่มถึงกลางปีนี้ เป็นต้น ซึ่งมาตรการทั้งหมดจะเสนอ ครม.พิจารณาต่อไป
นายกฯ ประชุมครม.เศรษฐกิจ พิจารณามาตรการช่วยเหลือประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ยืนยันพร้อมนำพาประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตให้ได้
นายกรัฐมนตรีประชุม ครม.เศรษฐกิจ พิจารณามาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ออกมาตรการระยะสั้นให้เงินช่วยเหลือ 2 เดือน ยืนยันพร้อมนำพาคนไทยผ่านพ้นจากวิฤตการณ์ต่าง ๆ ในเวลานี้ไปให้ได้
ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.) เศรษฐกิจ ซึ่งภายหลังการประชุม นายกรัฐมนตรีเผยว่า การประชุม ครม.เศรษฐกิจวันนี้ หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้นำเสนอมาตรการต่าง ๆ โดยสิ่งแรกคือขออย่านำประเด็นเรื่องการให้เงินช่วยเหลือเป็นการชั่วคราวในระยะเวลาเพียงแค่ 2 เดือนมาเป็นประเด็นสำคัญ เพราะมีประเด็นอื่นอีกหลายประเด็นทั้งในภาคประชาชน ผู้ประกอบการ SME มาตรการทางภาษี การเงินการคลังต่าง ๆ หลายมาตรการ
อย่างไรก็ตาม ได้มีการเตรียมความพร้อมไว้ วันนี้ต้องแยกแยะให้ออกว่าอะไรคือมาตรการเร่งด่วนชั่วคราว 2 เดือน ซึ่งบางส่วนอยู่ในการทำงานของรัฐบาลอยู่แล้วในเรื่องการบริหารแผนงานโครงการต่าง ๆ ที่จะนำมาเสริม มาตรการวันนี้คือมาตรการบรรเทาลดผลกระทบจากโควิด-19 นอกจากนั้น รัฐบาลยังจะมีมาตรการรองรับปัญหาภัยแล้ง อะไรที่ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมก็ต้องพิจารณาโดยรวมทั้งหมด โดยในส่วนของการให้เงินประชาชน ถ้าดูในต่างประเทศเขาก็ทำ แต่ของเราไม่ได้ทำจำนวนมากขนาดนั้น สิ่งที่เราทำวันนี้ไม่ใช่แค่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะต้องมีการขึ้นบัญชีขึ้นทะเบียนใหม่ ให้รวมถึงประชาชนกลุ่มอื่นๆ ด้วย จึงขอให้เข้าใจให้ครบถ้วน มากบ้างน้อยบ้างก็ต้องยอมรับ เพราะในช่วง 2 เดือนนี้คือปัญหา
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องการท่องเที่ยวว่า วันนี้มีข้อมูลมากพอสมควร อะไรที่ลดลงไปก็ต้องช่วยเหลือผู้ประกอบการบ้าง เช่น การช่วยเหลือเรื่องการจัดการประชุมตามโรงแรมต่าง ๆ ที่มีรายได้ลดลง การกู้เงิน Soft Loan ทั้งนี้ ขอให้แยกแยะให้ออก ถ้าจะโจมตีกันทุกเรื่องก็จะไปไม่ได้ เป็นมาตรการระยะสั้น 2 เดือน ไม่ได้แจกเรื่อยเปื่อย ไม่ใช่ว่ารัฐบาลนี้ดีแต่แจกเงิน ต้องเห็นใจคนผู้มีรายได้น้อยที่เขาไม่มีรายได้ ผู้ประกอบการค้าขาย ขายอาหารร้านเล็ก ๆ ต้องดูทั้งหมด ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งนอกเหนือจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ขึ้นทะเบียนไว้ วันนี้ต้องมาดูผลกระทบด้วยคนที่ไม่ได้อยู่ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ก็ต้องให้อีกทางหนึ่ง ขณะนี้กำลังหาข้อมูลตัวเลขประชาชนอยู่ แต่สรุปว่าจะให้เงินคนละ 1,000 บาทต่อเดือน เรื่องนี้ไม่ใช่ง่าย ไม่ใช่ว่ารัฐบาลทำอะไรไม่เป็นนอกจากแจกเงิน ให้ไปถามประชาชนที่เดือดร้อนบ้าง เมื่อวานตนก็ได้พบปะกับประชาชนหลายภาคส่วน ทั้งผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร ประชาชนทั่วไป ธุรกิจท่องเที่ยวต่าง ๆ มาตรการโดยรวมจึงออกมาตรงนี้ก่อน ถ้าอีก 2 เดือนยังมีปัญหาอีก ก็ต้องว่ากันต่อไปเป็นระยะ ๆ ขอให้ไว้ใจกันบ้าง โดยนายกรัฐมนตรีพร้อมจะนำพาประเทศไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตเหล่านี้ให้ได้
“ผมยืนยันอย่างแท้จริงว่าผมและคณะรัฐมนตรีทุกคนพร้อมที่จะนำพาพวกเราผ่านพ้นจากวิฤตการณ์ต่างๆ ในประเทศไทยเวลานี้ไปให้จงได้ ขอให้ทุกคนช่วยกัน ร่วมมือกัน เมื่อวานนี้มีเรื่องหนึ่งคือประชาชนที่มาพบผม เขาขอให้สื่อที่ลงพาดหัวอะไรที่ร้ายแรงข้างหน้า ขอให้ลดลงหน่อย เพราะเขาก็ห่อเหี่ยวไปเหมือนกัน และทำให้คนไม่ไปซื้อของเขา เขาขอร้องผมมาให้ช่วยบอกกับพวกเราหน่อย” นายกรัฐมนตรีกล่าว
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web