- Details
- Category: สำนักนายกฯ
- Published: Saturday, 12 May 2018 19:24
- Hits: 3795
'สมคิด'มั่นใจปีนี้จีดีพีโต 4% ฝากทุกฝ่ายเร่งสรุป IFRS9 ย้ำต้องทำให้เหมาะสมกับไทย
'สมคิด' มั่นใจปีนี้จีดีพีโต 4% รับการบริโภค ลงทุนในประเทศฟื้น หนุนหุ้นไทยแกร่งสวนตลาดหุ้นโลก กระตุ้นคนไทยตื่นตัวโลกดิจิทัล รับกระแสสังคมไร้เงินสด ฝากเอกชนสร้างบิ๊กดาต้ารองรับ ฝากทุกฝ่ายหาทางออกเลื่อน IFRS9 ย้ำต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับไทย
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในปีนี้มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) จะขยายตัวได้ 4% แน่นอน จากปีที่ผ่านมาที่อยู่ที่ 3.9% โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการบริโภค และการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ที่แม้ว่าขณะนี้จะลดลงไปบ้าง จากแรงเทขายจากต่างประเทศ แต่เชื่อว่าในระยะต่อไปตลาดหุ้นไทยจะกลับมาเติบโตดีขึ้น จากปัจจุบันที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก
“แม้หุ้นจะตกตอนนี้ แต่มันเกิดขึ้นทั่วโลก และระยะยาวหุ้นไทยยังดีแน่นอน ดูจากการบริโภค การลงทุน และการส่งออกที่ฟื้นตัวดีนั้น จะเป็นโอกาสสำคัญและเป็นโอกาสกำลังเป็นของไทย”นายสมคิด กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตแตะ 4% ได้ แต่ยังมีความท้าทายที่ต้องติดตาม โดยเฉพาะการก้าวสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลเป็นกังวล เนื่องจากที่ผ่านมาคนไทยตื่นตัวกับกระแสดิจิทัลน้อยมาก ดังนั้น จะต้องเร่งสร้างการรับรู้ เนื่องจากดิจิทัลจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภค ขณะที่ภาคการผลิตจะถูกเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ซึ่งหากไม่ปรับตัวเข้าสู่ดิจิทัล จะอยู่ในอนาคตลำบากแน่นอน
ด้านการเงินจะต้องปรับตัวเช่นเดียวกัน เห็นได้จากการประชุมในต่างประเทศที่ผ่านมา คาดการณ์กันว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า เงินสดจะหมดโลก และจะเข้าสู่สังคมไร้เงินสดมากขึ้น ซึ่งไทยจะต้องเตรียมพร้อมและปรับตัวให้ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบการเงิน ระบบการคลัง รวมถึงการตรวจสอบ ดังนั้นฝ่ายกำกับและฝ่ายตรวจสอบจะต้องตามให้ทันโลก เพราะถือเป็นนโยบายของรัฐบาลที่เร่งผลักดัน
ขณะที่ภาคเอกชนจะต้องเตรียมความพร้อม โดยเฉพาะการสร้างบิ๊กดาต้า ที่ขณะนี้ภาครัฐอยู่ระหว่างดำเนินการและเร่งประสานงานกันในทุกส่วน ซึ่งหากในอนาคต ภาครัฐและเอกชนเข้าสู่ข้อมูลบิ๊กดาต้าได้ จะนำไปสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพ
โดยปัจจุบัน คนไทยพยายามปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลและมีความตื่นตัวมากขึ้น สะท้อนจากธนาคารบางแห่งมีการให้บริการทางการเงินผ่านระบบสมาร์ทโฟนอย่างกว้างถึง หรือ ประมาณ 50% และเชื่อว่าในอนาคตเทคโยโลยีจะเติบโยมากขึ้น ไม่เฉพาะแวดวงการเงิน การธนาคารเท่านั้น แต่จะรวมถึงการลงทุนด้วย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกมากยิ่งขึ้น แต่สิ่งสำคัญจะต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่จะตามมาด้วย
นอกจากนี้ นายสมคิด เปิดเผยถึงกรณีที่คณะกรรมการร่วม 3 สถาบัน หรือ กกร. ต้องการให้เลื่อนการบังคับใช้มาตรฐานทางบัญชีใหม่ หรือ IFRE9 ที่จะเริ่มบังคับใช้ 1 มกราคม 2562 ออกไปเป็นปี 2565 ว่า ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. และสภาวิชาชีพทางบัญชี เร่งหาแนวทางร่วมกัน โดยยืนยันว่า การกำหนดมาตรฐาน วิธีการทางปฏิบัติ ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับประเทศไทย ซึ่งในทางปฏิบัติจริงนั้นทุกอย่างต้องใช้เวลาในการเตรียมความพร้อม
“ในวันนี้ ยอมรับว่า เป็นการดีที่ไทยจะมีมาตรฐานสากลที่เทียบเท่ากับโลก แต่ในทางปฏิบัตินั้นมันจะต้องสอดคล้อง และเหมาะสมกับความเป็นจริงของไทย เราต้องปรับปรุงตัวเองให้เข้ากับสิ่งที่เกิดขึ้น และทุกอย่างเป็นเรื่องของเวลา เพราะเราต้องเข้าใจว่า ประเทศไทยเพิ่งฟื้นจากความถดถอย และยังต้องมีการพัฒนาอีกมาก แต่อย่าพยายามไปแทรกแซง เชื่อว่าทุกฝ่ายจะต้องเข้าใจและช่วยกันดูแล”นายสมคิด กล่าว
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย