WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

รัฐบาลนับหนึ่ง เดิมพันประเทศ

 14 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 00:01 น. ข่าวสดออนไลน์


รัฐบาลนับหนึ่ง เดิมพันประเทศ

      เป็นสัญญาณเริ่มต้นภารกิจเดิมพันสูงของรัฐบาล คสช.

     ภาย หลังวันที่ 12 ก.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือสนช.

    นโยบายรัฐบาล'ประยุทธ์ 1' ภายใต้สโลแกนใหม่ 'จริงใจ จริงจัง ยั่งยืน'กระชับห้วนสั้นกว่าเดิม ครอบคลุมงานทั้งหมด 11 ด้าน ประกอบด้วย

      การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ การรักษาความมั่นคงของรัฐและการต่างประเทศ การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การศึกษา ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การยกระดับด้านสาธารณสุข

      การเพิ่มศักยภาพด้านเศรษฐกิจ การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม

        การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร การสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาล และการ ป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติ มิชอบในภาครัฐ

      และการปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม

       ทั้ง 11 ด้านมีฐานที่มาจาก 5 แหล่ง คือ

     จากยุทธศาสตร์ตามแนวพระราชดำริ "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" จากปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 จากปัญหาประเทศและความต้องการของประชาชน

      และจากนโยบายคสช. อาทิ โรดแม็ป 3 ระยะ หลักค่านิยม 12 ประการ เป็นต้น

      ในส่วนของคสช.นั้น ในการประชุมครม.นัดพิเศษ ตามฤกษ์วันที่ 9 เดือน 9 เพื่อซักซ้อมทำความเข้าใจวิธีทำงานและการเตรียมตัวเข้าสู่ภารกิจรัฐมนตรี

        พล.อ.ประยุทธ์ สั่งหัวหน้าฝ่ายแต่ละฝ่ายของ คสช. รายงานผลปฏิบัติงานในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่การเข้าควบคุมอำนาจวันที่ 22 พ.ค.2557 ให้รัฐมนตรีทุกคนได้รับทราบ

     เพื่อรับช่วงทำงานแบบไร้ตะเข็บรอยต่อ

      สําหรับบทบาทคสช.นับจากนี้เป็นต้นไป นับตั้งแต่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตน ซึ่งถือเป็นการเข้ารับหน้าที่โดยสมบูรณ์

       จนถึงขั้นตอนการแถลงนโยบายต่อสนช. หลักกิโลเมตรแรกในการกลับสู่โครงสร้างอำนาจฝ่ายบริหารปกติ

      หากว่า กันตามทฤษฎี คสช.ซึ่งถือเป็นกลุ่ม "อำนาจพิเศษ" จึงต้องปรับลดระดับการทำงานลง ไม่สามารถออกประกาศคำสั่งหรือเรียกบุคคลมารายงานตัวได้อีก ยกเว้นใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกหรือการจัดระเบียบภายในของคสช.เอง

      แต่นั่นก็เป็นแค่ในทางทฤษฎี ในทางปฏิบัติไม่ใช่ปัญหา เพราะถึงจะเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างไร รัฐบาลชุดนี้ก็ยังหล่อหลอมเป็นเนื้อ เดียวกับคสช.อยู่ดี

       หัวหน้า คสช.เป็นคนเดียวกับนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้ากับคณะที่ปรึกษาคสช.ก็เป็นทีมเดียวกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีกครึ่งค่อนคณะ

แตก ต่างกันก็ในเรื่องทางเทคนิค เช่น การยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อป.ป.ช. ที่คสช.ไม่ต้องยื่น แต่ถ้าเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีต้องยื่นตามระเบียบ

      ย้อนกลับยังเรื่องนโยบายรัฐบาล

     สิ่งที่แตกต่างจากรัฐบาลที่ผ่านมาทุกชุดตามที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีอธิบายไว้ว่า ถ้าหากเป็นรัฐบาลปกติจะมีภารกิจ ข้อเดียวคือการบริหารราชการแผ่นดิน

        แต่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 เป็นครั้งแรกที่กำหนดให้รัฐบาลมีภารกิจมากถึง 3 ข้อ ได้แก่ การบริหารราชการแผ่นดิน การปฏิรูป และการสร้างความปรองดองสมานฉันท์

       ลึกลงไปในรายละเอียด เรื่องการบริหารราชการแผ่นดินจะครอบคลุมปัญหา 11 ด้านตามที่แถลงไว้เป็นนโยบาย

      แต่ละด้านมุ่งสอดแทรกเรื่องป้องกันและปราบปราบการทุจริตคอร์รัปชั่น การปฏิรูป และการเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยไว้ในฐานะเป็นวาระแห่งชาติ

แบ่งการทำงานเป็น 3 ระยะ

ระยะ เร่งด่วนเฉพาะหน้า ทำภายใน 1-2 เดือนหลังการแถลงนโยบาย ระยะกลาง ทำต่อจากระยะเร่งด่วน พยายามให้เสร็จภายใน 1 ปี ส่วนระยะยาว 5-10 ปี เป็นการวางรากฐานให้รัฐบาลชุดต่อไปเข้ามารับช่วง

       ส่วนเรื่องการปฏิรูป กำลังจะมีสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือสปช. จากการสรรหาจำนวน 250 คน คาดว่าเสร็จสิ้นภายในไม่เกินต้นเดือนต.ค.นี้

      ด้านการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ รัฐบาลจะนำมาทำต่อจากคสช. หัวใจสำคัญคือการขจัดเงื่อนไขความไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำ

     รวมถึงปัญหายุติธรรมสองมาตรฐาน

     มีการวิเคราะห์ว่า ในห้วงเวลานับจากนี้ หลังการเปลี่ยนผ่านบทบาทจากคสช. มาเป็นการบริหารประเทศโดยคณะรัฐบาล

สิ่ง ที่พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีและคณะต้องเผชิญ จะเป็นปัญหาที่มีลักษณะแตกต่างออกไปจากเมื่อครั้งเป็นคสช.เพียงโดดๆ ตั้งแต่ปัญหาจุกจิก ไปจนถึงปัญหาขนาดใหญ่

      ยกตัวอย่างเรื่องติดตั้ง ไมโครโฟนห้องประชุม ครม. ราคาตัวละ 1.4 แสน หรือทีวีเครื่องละ 5 แสน ที่ตกเป็นข่าวครึกโครมทางหน้าหนังสือพิมพ์นานนับสัปดาห์

      ในตอนแรกรัฐมนตรีกับอธิบดีต่างก็บ่ายเบี่ยงโยนเรื่องกันไปมา

      กว่าจะตัดสินใจออกมาแถลงชี้แจงทำความเข้าใจให้เรื่องซาลงไปได้ รัฐบาลต้องเสียหายด้านภาพลักษณ์ความพอเพียงไม่ฟุ้งเฟ้อไปพอสมควร

      ล่าสุดกระแสบีบรัดให้นายกฯ ต้องตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องราวข้อเท็จจริง สังคมจึงต้องเฝ้าติดตามผลสอบว่าจะออกมารูปไหน เรื่องเล็กจะบานปลายเป็นเรื่องใหญ่หรือไม่

     ส่วนปัญหาระดับใหญ่นั้น ตลอด 3 เดือนเศษที่ผ่านมา เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าปัญหาด้านความมั่นคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ของรัฐบาลและ คสช.อีกต่อไป

     แม้จะมีกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านเหลืออยู่บ้าง แต่ก็อยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้แบบสบายๆ ไม่มีจุดไหนตึงมือเหมือนในช่วงแรก

     ดังนั้นสิ่งที่เป็นตัวชี้เป็นชี้ตายจริงๆ ของแทบทุกรัฐบาลคือ ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ปัญหาเกี่ยวกับปากท้องชาวบ้าน ราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค การค้าการลงทุน ปัญหาพลังงาน

      รวมถึงปัญหาธุรกิจการท่องเที่ยวซึ่งกำลังได้ผลกระทบรุนแรง จากการที่จนแล้วจนรอดคสช.ก็ยังไม่ประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก

       ถึงแม้จะมีเสียงเรียกร้องว่าควรยกเลิกในบางจังหวัดพื้นที่ท่องเที่ยว เพื่อเรียกบรรยากาศความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับคืนมาก็ตาม 

      ปัญหา เหล่านี้ต้องเร่งแก้ไขด้วยการลงมือทำทันที ไม่ใช่แก้ไขด้วยการดีแต่พูด หรือหลอกตัวเองไปวันๆ โดยเฉพาะบรรดาข้าราชการที่คอยป้อนข้อมูลเอาอกเอาใจ ผู้มีอำนาจ ว่าทุกอย่างกำลังดีขึ้นเองหลังจากมีรัฐบาล

      เพราะการเปิดรับความจริงเท่านั้นที่จะนำไปสู่ทางออกของปัญหาที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะปัญหาเล็กหรือใหญ่ก็ตาม...

คสช.-สนช.-ครม. กำหนดอนาคต 'รุ่ง-ร่วง'โดย'ตัวเอง'


วิเคราะห์

     หลังจากยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม เป็นต้นมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ก้าวย่างไปข้างหน้าด้วยอาการรัดกุม

     เป้าหมายคือไม่ให้เกิดการเสียของซ้ำซากอีกต่อไป ดังนั้น ทุกกระบวนท่าจึงแก้ไขจุดอ่อนเดิมมาได้โดยตลอด

       งานด้านความมั่นคง พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช. ถือเป็นมืออาชีพ ดำเนินการควบคุมและจัดระเบียบทำให้ไทยสงบลง

    กระทั่งล่าสุดบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ก็ปรากฏว่ามีจำนวนนายทหารที่ได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายมากถึง 1,092 คน

      บวกกับระยะเวลาที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยืนอยู่ในส่วนหัวของกองทัพมายาวนานจึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ มีกำลังสนับสนุนอย่างหนักแน่น

     ผนวกรวมกับการสับเปลี่ยนข้าราชการตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม เป็นต้นมาจนถึงบัดนี้ เรียกได้ว่าทุกกระทรวงล้วนมีการเปลี่ยนแปลง

     ดังนั้น ฐานกำลังของ คสช.จึงไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วง

       แม้ว่า รายชื่อคณะรัฐมนตรีที่ปรากฏ จำนวน 32 คน จะไม่ได้ทำให้รู้สึกเซอร์ไพรส์ รัฐมนตรีแต่ละคนที่ได้รับการติดต่อให้ปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละตำแหน่งก็ถือว่ามีความรู้ความสามารถในด้านนั้น

      มีตัวหลัก มีตัวรอง ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า หากรัฐบาลยืนครบ 1 ปี รัฐมนตรีแต่ละคนจะสามารถช่วยกันประคองให้รัฐนาวาเคลื่อนสู่เป้าหมายได้

      ยิ่งเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เปิดนโยบายของรัฐบาล โดยยอมแถลงนโยบายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. โดยนโยบายมีด้วยกัน 11 ด้าน ครอบคลุมทั้งด้านการปกป้องและเชิดชูสถาบันฯ ด้านความมั่นคง ด้านการศึกษา ด้านเศรษฐกิจ และอื่นๆ ยิ่งทำให้ทิศทางการเดินหน้าของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ชัดเจนขึ้น

      ถ้ารวมกับการแต่งตั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ และการแต่งตั้งกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องรอแต่งตั้งหลังจากมีสภาปฏิรูปแห่งชาติแล้ว จะทำให้

      ภาพรวมของโรดแมปที่ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศไว้มีโอกาสสำเร็จมากขึ้น

     อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ทุกอย่างขับเคลื่อนไปข้างหน้า ได้ปรากฏเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้น ซึ่งแต่ละเหตุการณ์สามารถสะท้อนภาพบางอย่างให้ได้คิด

     ประการแรก คือ การชะลอการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก

        ทั้งนี้ หลังจาก คสช.เริ่มลดบทบาทตัวเองลง โดยเปิดทางให้ สนช.รับหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ และ ครม.ทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้า คสช.เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีความพยายามเสนอให้ยกเลิกการใช้กฎอัยการศึก เนื่องจากกฎดังกล่าวทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่เดินทางเข้าไทย เพราะบริษัทประกันไม่ยอมทำประกันภัยให้ เพราะเกรงจะเสี่ยง

       การผลักดันนั้นดำเนินการไปถึงขั้นที่แม่ทัพภาคที่ 1 นำขึ้นพิจารณา แต่ในที่สุด ความหวังของบรรดาธุรกิจท่องเที่ยวก็ต้องสลาย เพราะ คสช.ประเมินแล้วพบว่า ยังมีความเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงอยู่ 

     นั่นย่อมหมายความว่า ประเทศไทยยังมีความเคลื่อนไหวคัดค้าน คสช.อยู่เงียบๆ

      ประการที่สอง คือ กรณีไมค์แพง 

       กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลัง ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นำสื่อมวลชนทัวร์ดูการปรับปรุงตกแต่งทำเนียบรัฐบาล และเมื่อเข้าสู่ห้องประชุมซึ่งมีการปรับปรุงระบบเสียงก็พบว่า อุปกรณ์เครื่องเสียงนั้นใช้แบบล้ำยุค

      ไมค์ตัวละ 1.4 แสนบาท ขาตั้งไมค์หลายหมื่น จอภาพที่ใช้มีราคาถึง 5 แสนบาท 

      หลังจากนั้นกระแสสอบถามก็กระหึ่ม พร้อมข้อเรียกร้องเรื่องโปร่งใสดังกึกก้อง จน ม.ล.ปนัดดา ถอยฉาก เปิดทางให้กรมโยธาธิการ

      ออกมาชี้แจง มีการลดราคาลง 35 เปอร์เซ็นต์ทันที และ

    เรื่องยืดยาวไปจน พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงขึ้น

       ปรากฏการณ์นี้สะท้อนว่า ความอึมครึมจากเบื้องล่างที่มีต่อรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ยังมีอยู่มาก แต่ด้วยกฎอัยการศึก และประกาศของ คสช.ที่ผ่านมา จึงทำให้ความปั่นป่วนยังคงสภาพเป็นคลื่นใต้น้ำ

      นี่แค่เรื่องไมค์ยังเกิดแรงกระเพื่อมขนาดนี้ หากต่อไปมีเรื่องใหญ่กว่าไมค์จะส่งแรงสะเทือนขนาดไหน?

      ประการที่สาม คือ การนั่งควบตำแหน่ง

     ปรากฏการณ์นั่งควบตำแหน่งข้าราชการและรัฐมนตรีสร้างความฉงนต่อสังคมมาระยะหนึ่ง แต่ยังไม่รุนแรงเท่าการออกมาเคลื่อนไหวของ รศ.ดร.สุกรี เจริญสุข คณบดีคณะวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล

     รศ.ดร.สุกรี ประกาศไม่เห็นด้วยกับกรณีที่ ศ.นพ.รัชตะ 

       รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นั่งควบตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดลไปด้วยพร้อมๆ กัน

      รศ.ดร.สุกรี ประท้วงโดยการใช้ปี๊บคลุมหัวและเข้าร่วมการประชุมสภาคณบดี โดยตั้งใจว่าจะใช้ปี๊บคลุมหัวเข้าประชุมสภามหาวิทยาลัยอีกครั้งในวันที่ 17 กันยายน

     เหตุผลที่ประท้วง เพราะต้องการให้ นพ.รัชตะ ลาออกจากตำแหน่งอธิการบดี เพื่อไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขอย่างเดียว 

     การเคลื่อนไหวของ รศ.ดร.สุกรี ได้ปลุกให้สังคม โดยเฉพาะสังคมครู หมอ และนักวิชาการ ถูกถามถึงจริยธรรมและจิตสำนึก

     ประการที่สี่ คือ ความเคลื่อนไหวขององค์กรสากล ที่มีต่อการยึดอำนาจในไทย 

      ทั้งนี้ องค์กรสากลได้จับตาความเคลื่อนไหวภายในประเทศ หลังจากทหารยึดอำนาจมาโดยตลอด และดูเหมือนต่างชาติจะแสดงท่าทีต่อประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง 

      ล่าสุดองค์กรนิรโทษกรรมสากล ขอให้ไทยยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชน 

      การเคลื่อนไหวเหล่านี้ จะกระทบต่อไทยเมื่อยามที่ตัวแทนของรัฐบาลออกไปประสานงานกับโลก แม้ว่าที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศจะทำอย่างดีที่สุดเพื่อให้ต่างชาติเข้าใจไทย แต่หากไทยไม่สามารถประพฤติตามหลักสากลได้ ต่างชาติย่อมแสดงท่าทีคัดค้านและต่อต้านเช่นนี้ไปเรื่อยๆ

     ดังนั้น แม้ คสช.จะมีขุมกำลังในกองทัพแน่นหนา แต่เมื่อต้องขยับพ้นกองทัพ สังคมจะกดดันการดำเนินการของ คสช.ทันทีที่เห็นว่าไม่ต้องตามครรลอง

      หาก คสช.จัดการกับคนที่ออกมาแสดงความเห็นว่า ไม่ต้องตามครรลอง ต่างชาติก็จะขยับเข้ามาทักท้วงทันที

    แต่หาก คสช.ดำเนินตามครรลอง ยึดตามโรดแมป ปรับตัวเปลี่ยนแปลงตามสภาพอย่างมีวุฒิภาวะ

     คสช.น่าจะสานงานต่อไปถึงการร่างรัฐธรรมนูญ และเลือกตั้งได้ตามภารกิจ

     แต่ถ้าไม่ คงจะไปโทษใครไม่ได้เลย นอกเสียจากตัวเอง....

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!