- Details
- Category: การเมือง
- Published: Monday, 28 July 2014 15:44
- Hits: 4415
ดัน'วิษณุแข่ง'พรเพชร'ชิงปธ.สนช. เพื่อไทยไม่ขัดทหารพรึบ ขวาง 40 สว.ยกร่างรธน. ข้องใจล้มอวยพร'แม้ว' คสช.โชว์ผลงาน 2 เดือน ทักษิณขอไทยสามัคคี สภานสพ.ถกปมสอบสื่อ
รายงานตัว - นายเสถียรภาพ สุขสำราญ ประธานสมาพันธ์อัดกุดส์นานาชาติแห่งประเทศไทย เดินทางเข้าพบ คสช.ตามคำสั่ง หลังจากที่กลุ่มมุสลิมได้ไปชุมนุมประท้วงที่หน้าสถานทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ที่อาคารกำลังเอก สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดี เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม
มติชนออนไลน์ :
หนุน'วิษณุ'นั่งประธาน สนช. อธิการฯ มธ.ชี้เหมาะสม เชียร์'พรเพชร'ปธ.ร่างรัฐธรรมนูญ เหตุเชี่ยวชาญกฎหมาย พท.เผยทหารพรึบสภานิติบัญญัติเรื่องปกติ ขวางกลุ่ม 40 ส.ว.ร่วมร่าง รธน.เหตุเป็นกลุ่มขัดแย้ง แนะบิ๊กตู่เลือกวุฒิฯเลือกตั้ง 77 จว.ทำหน้าที่ "แม้ว"ส่งการ์ดวันเกิดขอคนไทยสามัคคี
@ คสช.ระดมเยาวชนถกปฏิรูป
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการสมัชชาการศึกษา ครั้งที่ 3 เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 27 กรกฎาคม ที่ห้องพินิตประชานาถ กระทรวงกลาโหม มี พล.ร.อ.ชุมนุม อาจวงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเตรียมการปฏิรูปเพื่อคืนความสุข ผู้แทน พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดงานประชุมเชิงปฏิบัติการสมัชชาการศึกษา โดยได้รับการร่วมมือจากเครือข่ายยุวทัศน์กรุงเทพฯ ในฐานะเครือข่ายเยาวชนปฏิบัติงานด้านการปฏิรูปการศึกษา และคณะเตรียมการปฏิรูป มีเยาวชนมาเข้าร่วมงานจำนวนหนึ่ง
พล.ร.อ.ชุมนุม กล่าวว่า การที่ให้เยาวชนนักศึกษามาแสดงความคิดเห็นในการปฏิรูปการศึกษานั้น ทาง พล.อ.สุรศักดิ์เล็งเห็นว่าการปฏิรูปด้านการศึกษา ควรเริ่มจากเยาวชนทั้งหลายเป็นศูนย์กลางสำคัญ แต่ที่มากไปกว่านั้น ทางกระทรวงกลาโหมเป็นฝ่ายจัดงานถือเป็นสถานที่เก่าแก่ ที่อยากจะให้เยาวชนได้เข้าใจมิติทางประวัติศาสตร์ ที่จะสะท้อนทางการเมืองการปกครอง นับจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมาก็มีปัญหามาตลอด
"ทั้งนี้ การศึกษาในประวัติศาสตร์คือ บ้าน วัด โรงเรียน แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศมีความก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้รับรู้สิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้น นับเป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าผลการศึกษาทางรัฐบาลให้งบประมาณมากที่สุด ทว่าประสิทธิผลที่ออกมาไม่ดีนัก เพราะการศึกษาไทยอยู่ในลำดับที่ 8 ในประเทศอาเซียน" พล.ร.อ.ชุมนุมกล่าว และว่า การจัดเสวนาหัวข้อกิจกรรมการศึกษาไทยก้าวไกลสู่อาเซียน ซึ่งจะถือเป็นการคิดไปสู่อนาคตของการศึกษาไทย ทั้งนี้ จากการที่คณะทำงานเตรียมการปฏิรูปที่เตรียมให้สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ไปดำเนินการต่อไปนั้น และการเตรียมข้อมูลพบว่าความหวังของผู้ที่เสนอข้อมูลมากมายหลายความคิดเห็น ซึ่งประเด็นที่พูดถึงและอยากให้เยาวชนมีคุณภาพอย่างไรนั้นก็ต้องมีซื่อสัตย์ มีวินัย ใฝ่รู้ มีความเป็นจิตอาสา และกล้าแสดงความรับผิด เป็นสิ่งสำคัญในการปลูกฝังเยาวชนต่อไป
@ วอนปฏิรูประบบศึกษาไทย
นายพชรพรรษ์ ประจวบลาภ ประธานเครือข่ายยุวทัศน์ กรุงเทพฯ กล่าวว่า โครงการสมัชชาการศึกษาเป็นโครงการที่เครือข่ายยุวทัศน์ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องจากที่ผ่านมา ข้อเสนอได้ไปปรับใช้ในหน่วยงานทางการศึกษาต่างๆ ซึ่งปัญหาการศึกษาไทย พบว่าในปัจจุบันว่ามีหลายหลักสูตรต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไข จากระบบการศึกษาไทย โดยมีหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน โครงสร้างกระทรวงศึกษา บุคลากรวิชาชีพครู การจัดสรรงบประมาณ และความเทียบเท่าของระบบการศึกษาไทยในปัจจุบันยังมีคุณภาพต่ำ
"สิ่งสะท้อนที่เห็นได้ชัดคือ บางหลักสูตร เรียนมาแล้วไม่ได้ใช้งานจริง ซึ่งการจัดงานสมัชชาการศึกษาครั้งนี้ เครือข่ายยุวทัศน์คาดหวังอยากให้มีการนำมาปรับแก้ไขอย่างจริงจัง มีความทันสมัย และเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันต่อไป" นายพชรพรรษ์กล่าว
@ พท.ดักคอดึง40ส.ว.ร่างรธน.
สำหรับ ความเห็นของนักการเมืองในการสรรหาสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นั้น นายอำนวย คลังผา อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกระแสข่าวการแต่งตั้ง สนช.ที่มีทหารอยู่ในสัดส่วนที่สูงว่า เท่าที่เห็นสัดส่วน สนช.มาจากทหารเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ทหารจะต้องเข้ามากำกับดูแลซึ่งตนเห็นว่าการที่ คสช.กำหนดให้มีสัดส่วนนักวิชาการและผู้ที่มีความรู้ และกลุ่มคนที่ต้องการส่งเสริมเรื่องประชาธิปไตยเข้ามา ถือว่าเหมาะสม
"ที่มีข่าวว่ามีชื่อของอดีต ส.ว.กลุ่ม 40 เข้ามาร่วมร่างรัฐธรรมนูญด้วยนั้น ไม่เห็นด้วยเพราะถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความขัดแย้งเดิมและอาจจะทำให้รัฐธรรมนูญที่ออกมาไม่เป็นประชาธิปไตย จึงเสนอให้พิจารณา ส.ว.เลือกตั้ง 77 จังหวัดเข้ามาทำหน้าที่ เพราะเป็นบุคคลที่ผ่านการคัดเลือกจากประชาชนในพื้นที่นั้นมาแล้วมากกว่า เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.รู้ปัญหาต่างๆ ที่ผ่านมาเป็นอย่างดีและคงจะพิจารณาในเรื่องนี้ด้วยความรอบคอบเพื่อปฏิรูปประเทศให้ดีกว่านี้ และนำไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงตามที่ได้ประกาศจุดยืนเอาไว้ก่อนหน้านี้" นายอำนวยกล่าว
@ 'เอกชัย'แนะ'บิ๊กตู่'เปิดใจให้กว้าง
นายเอกชัย ไชยนุวัติ รองคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม กล่าวถึงกรณีการพิจารณาบุคคลที่จะเป็น สนช. 220 คน โดยมีสัดส่วนนักวิชาการ กลุ่มเอ็นจีโอ นักธุรกิจหลากหลายอาชีพ อดีตสมาชิกวุฒิสภา และนายทหารว่า ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่นั่ง สนช.จะมีสัดส่วนของนายทหารเยอะมากครึ่งสภาประมาณ 100 คน ในฐานะนักกฎหมายวิเคราะห์ว่าการพิจารณารายชื่อของ คสช.เป็นกระบวนการที่นอกเหนือไปกว่ารัฐธรรมนูญ อันจะส่งผลต่อความชอบธรรมที่จะมีน้อยลง
"ทั้งนี้ เห็นว่าทาง พล.อ.ประยุทธ์ควรเปิดใจกว้างรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลายมากกว่านี้ เพราะกระบวนการสรรหา สนช.ทั้ง 220 คนล้วนเป็นคนของ คสช.ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นหากมีการพิจารณามากกว่านี้ในการสรรหาบุคคลอื่นจากหลากหลายอาชีพ หลากหลายทางวิธีคิด หรือขั้วตรงข้ามแล้วก็น่าจะทำให้กระบวนการดังกล่าวมีความชอบธรรมเพิ่มขึ้น" นายเอกชัยกล่าว
นายเอกชัย กล่าวต่อว่า หากมีการประกาศรายชื่อ สนช.เกิดขึ้น ประเด็นท่าทีในสายตานานาชาติจะมองกระบวนการนิติบัญญัติอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ทาง คสช.ต้องพิจารณา ขบคิดให้ดีๆ เนื่องจากกระบวนการในการสรรหาบุคคลมาเป็น สนช.นั้นมาจากการแต่งตั้ง ซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย เพราะ สนช.ที่ถูกแต่งตั้งขึ้นไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชนที่มาจากการเลือกตั้ง กระนั้นวิธีการที่ สนช.จะจัดทำร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายต่างๆ ไม่ได้มาจากการทำสัญญาประชาคม
@ 'นิคม'ชี้ปชป.อคติปรองดองยาก
นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา กล่าวถึงกรณีที่ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องให้มีมาตรการถอดถอน ส.ส.และ ส.ว.ที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลว่า ขอยืนยันอีกครั้งว่าอำนาจการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจหน้าที่ที่ ส.ส.และ ส.ว. ซึ่งการชี้มูลของ ป.ป.ช.จะนำไปสู่การถอดถอนในชั้นวุฒิสภาได้ จะต้องใช้มาตรา 270-273 แต่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ก็ยกเลิกไปแล้ว และในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ไม่มีระบุไว้ ดังนั้น ความคิดเห็นดังกล่าวจึงเป็นเพียงอคติอย่างหนึ่ง จะทำให้สังคมที่กำลังต้องการความสามัคคีเห็นว่านักการเมืองยังคงมีความรู้สึกชิงชังกันอยู่ หากยังเป็นแบบนี้ต่อไปความปรองดองที่แท้จริงก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้
@ 40ส.ว.จี้กวาดนักการเมืองขยะ
นายประสาร มฤคพิทักษ์ อดีต ส.ว.สรรหากลุ่ม 40 ส.ว. กล่าวสนับสนุนให้มีการถอดถอนนักการเมืองที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดว่า เนื่องจากภารกิจหลัก 1 ใน 4 ของวุฒิสภา คือการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในขณะที่รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 มาตรา 6 กำหนดให้ สนช.ทำหน้าที่วุฒิสภา ดังนั้น สนช.ควรเดินหน้าทำหน้าที่ถอดถอนนักการเมืองได้และถ้าดูฉบับชั่วคราวนี้ คสช.ได้วางยาแรงไว้ในมาตรา 35 (4) ที่ให้มีกลไกที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและตรวจสอบมิให้ผู้เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมือง
"ดังนั้น เชื่อว่า สนช.จะทำหน้าที่ถอดถอนนักการเมืองได้ จะแก้ปัญหาการเมืองฉ้อฉลได้ในระดับหนึ่ง ส่วนจะได้เสียง 3 ใน 5 หรือไม่ ต้องไปดูก่อนว่าใครจะเข้ามาเป็น สนช. แต่เชื่อว่าในภาวะที่ คสช.ต้องการทำการเมืองให้โปร่งใส และยุติธรรม จะกลายเป็นกระแสหลักที่นักการเมืองขยะต้องถูกกวาดล้างออกไป" นายประสานกล่าว
@ อดีตส.ว.ชู'พรเพชร'นั่งปธ.สนช.
แหล่งข่าวจากอดีต ส.ว.สรรหา เปิดเผยถึงกระแสข่าวว่า จะมีอดีต ส.ว.เข้าร่วมเป็น สนช.ว่า เชื่อว่ามีแนวโน้ม แต่คงไม่ได้ไปในนามของอดีต ส.ว. แต่ถูกคัดเลือกเพราะมีคุณสมบัติที่เหมาะสมที่จะเข้ามาเป็น สนช.มากกว่า ส่วนจะมีโควต้าจำนวนกี่คนนั้นขึ้นอยู่กับทาง คสช.ว่าจะเห็นว่ามีบุคคลใดมีความเหมาะสมบ้าง ซึ่งสัดส่วนจำนวน 220 คนก็ถือว่ามีความเหมาะสม
"ที่ระบุว่านายพรเพชร วิชิตชลชัย ที่ปรึกษาหัวหน้า คสช. จะเข้ามานั่งเป็นประธาน สนช.นั้น เพื่อพิจารณากฎหมาย มองว่า นายพรเพชรเคยเป็นผู้พิพากษาและได้รับเลือกเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน ก็ถือว่าเหมาะสม แต่ท้ายที่สุดต้องรอดูว่านายพรเพชรจะมีชื่อเป็น สนช.หรือไม่ ขณะนี้รายชื่อ สนช.ยังไม่ออกมา" แหล่งข่าวระบุ
@ แนะดึงนิติราษฎร์-นปช.ร่วม
อดีต ส.ว.กล่าวอีกว่า ขณะที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่กำหนดไว้จำนวน 250 คน ถือว่ามีความเหมาะสมเช่นกัน แต่ควรมีที่มาที่หลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่มนักวิชาการ ควรมีทั้งนักวิชาการสายนิติราษฎร์และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เข้าร่วมด้วย รวมไปถึงกลุ่มองค์กรที่เคลื่อนไหวเกี่ยวกับการปฏิรูป กลุ่มเอ็นจีโอ เนื่องจากพื้นฐานการปฏิรูปประเทศเป็นของทุกคน ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง ส่วนตัวเชื่อว่าหลังการปฏิรูปเสร็จสิ้นบ้านเมืองน่าจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและดีขึ้น แต่คงไม่ใช่ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม น่าจะประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่าก็ยังมีบางฝ่ายอาจไม่พอใจกับการปฏิรูปอยู่เพราะการปฏิรูปประเทศของ คสช.ทำให้คนบางกลุ่มเสียประโยชน์
อดีต ส.ว.กล่าวอีกว่า สำหรับหน้าตาของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ เชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะมาจากตัวแทนของฝ่ายข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการฝ่ายทหาร ตำรวจ และพลเรือน แต่คงไม่มีตัวแทนจากพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองที่เคลื่อนไหวจนก่อให้สังคมเกิดความขัดแย้ง
@ 'สมคิด'ยินดีเป็นกก.ร่างรธน.
นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวถึงกรณีการสรรหาคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญว่า ไม่ได้รับการทาบทามจาก คสช. แต่หากได้รับการทาบทามในตำแหน่งเป็นเลขานุการยกร่างรัฐธรรมนูญ หรือประธานยกร่างรัฐธรรมนูญ คงต้องปฏิเสธ เนื่องจากเคยมีประสบการณ์ยกร่างรัฐธรรมนูญมาแล้วถึง 2 ฉบับ คือ รัฐธรรมนูญปี 2540 และปี 2550 มาแล้ว และยังไม่มีไอเดียว่าควรกำหนดอะไรลงไปในกฎหมายเพิ่มเติมเพื่อป้องกันปัญหาการทุจริตในด้านต่างๆ
"ขณะเดียวกันก็อยากบริหารงานในฐานะอธิการบดี มธ. ให้เต็มที่ เพราะถ้าไปรับตำแหน่งเลขานุการยกร่างรัฐธรรมนูญ อีกรอบ จะต้องใช้เวลากับตรงนั้นค่อนข้างมาก ซึ่งแน่นอนว่าจะกระทบงานบริหารที่ทำอยู่อย่างแน่นอน แต่หากให้เข้าไปช่วยในฐานะกรรมการยกร่างก็ยินดี ใช้ประสบการณ์ในที่เคยเข้าไปมีส่วนร่วมในการยกร่างรัฐธรรมนูญ ทั้ง 2 ฉบับเข้ามาช่วยในการเสนอข้อคิดเห็น" นายสมคิดกล่าว
@ เชียร์'วิษณุ'นั่งปธ.สนช.
นายสมคิด กล่าวว่าส่วนตัวคิดว่านายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษา คสช.ฝ่ายกฎหมาย ในฐานะหัวหน้าทีมร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะมาเป็นประธาน สนช. ส่วนนายพรเพชร วิชิตชลชัย เหมาะสมนั่งเป็นประธานยกร่างรัฐธรรมนูญ เพราะนอกจากเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายแล้ว ส่วนตัวคิดว่าผู้ที่มาเป็นประธานยกร่างรัฐธรรมนูญ จะต้องมีเวลาทุ่มเทกับตรงนี้อย่างเต็มที่ หากนายพรเพชรรับตำแหน่งนี้จริงคงต้องลาออกจากผู้ตรวจการแผ่นดิน
"คิดว่า ปัจจุบันมีผู้เหมาะสม ที่จะเข้าร่วมยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2557 จำนวนมาก ทั้งนายบรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) นายสุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดี มธ. นายเจษฎ์ โทณะวณิก คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ คณาจารย์สาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มธ. หรือ นายจรัส สุวรรณมาลา อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น" นายสมคิดกล่าว
@ 'อธิการมศว'เผยยังไม่ถูกทาบ
นายเฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครรินทรวิโรฒ (มศว) ในฐานะที่ปรึกษา คสช. ฝ่ายสังคมจิตวิทยา กล่าวว่า ยังไม่ได้รับการทาบทามจาก คสช.ให้เข้าเป็น สนช. จึงไม่ขอให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตามไม่ว่าใครจะเข้ามาร่วมยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ อยากเสนอให้ระบุไว้ในกฎหมาย แยกการเมืองออกจากการศึกษา และสาธารณสุข และดำเนินการทั้งสองเรื่องเป็นนโยบายของประเทศ ที่ไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะเข้ามา ต้องแข่งขันเสนอนโยบายเพื่อให้เกิดการต่อยอด พัฒนานโยบายทั้งสองด้าน ไม่ใช่พอการเมืองเปลี่ยนนโยบายก็เปลี่ยน ทำให้ไม่เกิดการพัฒนา
@ สภาทนายฯชี้'วิษณุ'เหมาะปธ.
นายนิวัติ แก้วล้วน เลขาธิการสภาทนายความ กล่าวว่า ไม่ทราบว่าได้มีการทาบทามบุคคลในสภาทนายความหรือไม่ แต่ในที่ประชุมของสภาทนายความไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ ส่วนจะทาบทามบุคคลใดเป็นการส่วนตัวหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีตัวเต็งที่จะได้รับเลือกให้เป็นประธาน สนช. ระหว่าง นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษา คสช. ฝ่ายกฎหมาย กับ นายพรเพชร บุคคลใดมีคุณสมบัติเหมาะสมมากกว่านั้น นายนิวัติกล่าวว่า นายวิษณุน่าจะเหมาะสมกว่า เพราะเป็นคนทำงานจึงน่าจะทำได้ดีกว่า ส่วนนายพรเพชรนั้นไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวและไม่ค่อยได้ติดตามผลงาน จึงไม่ทราบว่าผลงานเป็นอย่างไร
นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ไม่ทราบว่ามีการทาบทามใครบ้าง แต่โดยส่วนตัวไม่ได้รับการทาบทาม คาดว่าบุคคลที่คาดว่าจะได้รับการพิจารณาส่วนใหญ่จะเป็นทหาร ข้าราชการ นักวิชาการ ภาคสังคม นักธุรกิจหรือคนที่มีชื่อเสียง อย่างไรก็ตาม คาดว่าสัดส่วนของภาคเอกชนอาจจะไม่มากนักอยู่ที่ราว 5-10 คน
@ นิพิฏฐ์เชื่อพท.ผงาดเป็นรบ.
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของนักการเมืองในช่วงรัฐประหารว่า ทุกวันนี้ลงพื้นที่พบปะกับชาวบ้าน ทั้งงานทอดผ้าป่า งานศพ และอื่นๆ ซึ่งในส่วนของคนอื่นคงทำเช่นนี้เช่นกัน ทั้ง จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ อดีต ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย นายขวัญชัย สาราคำ หรือขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร นางอาภรณ์ สาราคำ อดีต ส.ว.อุดรธานี คงทำอย่างนี้เช่นกัน การเลือกตั้งครั้งหน้า จ.ส.ต.ประสิทธิ์ นายขวัญชัย รวมถึงตน น่าจะได้เข้ามาเป็น ส.ส. และพรรคเพื่อไทยคงกลับมาเป็นรัฐบาลอีก สิ่งเหล่านี้คือความเป็นจริง
"ผมไม่ใช่คนโลกสวยหรือโลกไม่สวย แต่เป็นคนยอมรับความเป็นจริงของสังคม ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าสังคมต้องมีอุดมคติกำกับไปด้วย ผมปรารถนาเพียงให้ทุกคนในสังคมอยู่ร่วมกันได้ มีความเห็นแก่ตัวในระดับที่พอรับกันได้ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ทุกคนสามารถเดินทางไปบนแผ่นดินนี้ได้ทุกที่โดยไม่ถูกทำร้าย ทั้งนี้หากผมเป็น ส.ส.ฝ่ายค้าน ก็หวังว่ารัฐบาลจะรับฟังความคิดเห็นของผมบ้าง และให้ความเป็นธรรมกับคนที่เลือกผมมาด้วย นี่คืออุดมคติ ซึ่งมีแค่นี้ก็พอแล้ว" นายนิพิฏฐ์กล่าว
@ 'แม้ว'จัดวันเกิดเน้นคนสนิท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีการจัดงานที่ ห้อง Salon Vendome โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส บรรยากาศในงานมีเพียงครอบครัวและเพื่อนสนิท โดยเฉพาะ นายชาญชัย รวยรุ่งเรือง หรือ "เหยียน ปิน" นักธุรกิจซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ และมีอดีตรัฐมนตรีและสมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.) เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้าร่วม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คนที่จะเข้าร่วมงานวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณจะต้องติดริบบิ้นสีม่วงตามที่ได้แนบไว้ในการ์ดเชิญเข้าร่วมงานเท่านั้น บรรยากาศในงานเลี้ยงใช่ธีมสีม่วงและเต็มไปด้วยแสงเทียน ผู้เข้าร่วมงานแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใส ในงาน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่งกายด้วยชุดสีแดงร่วมร้องเพลงอย่างสนุกสนานกับพี่ชาย ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ นอกจากจะร้องเพลงคู่กับน้องสาวแล้ว ยังควงคู่ร้องเพลงกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็ก และเพื่อนๆ นักธุรกิจที่ไปร่วมงานด้วย โดยเค้กวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเค้กช็อกโกแลตสูง 6 ชั้น
@ ส่งการ์ดวอนให้คนไทยสามัคคี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณส่งการ์ดข้อความมาถึงคนไทยว่า "เรามีความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ เราห่วงใยประเทศชาติ เรารักและห่วงใยพี่น้องประชาชน เราอยากเห็นคนไทยในชาติ มีความรักความสามัคคีของคนในชาติด้วยความจริงใจ ทักษิณ ชินวัตร 26 ก.ค.57"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ นางเยาวภา และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไม่ได้เดินทางไปร่วมงานที่ประเทศฝรั่งเศสแต่อย่างใด
@ ติงอวยพร'ชวน'แต่ห้ามจัดให้'แม้ว'
นายสิงห์ทอง บัวชุม คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า หาก คสช.อยากให้ประเทศไทยนำไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์นั้น สิ่งที่ต้องทำคือยึดประกาศฉบับที่ 63/2557 เรื่องความเป็นธรรม ยุติธรรม เสมอภาค ตรงไปตรงมา อย่างกรณีที่เห็นคือ พล.อ.ประยุทธ์มอบหมายให้นายทหารคนหนึ่ง มอบแจกันดอกไม้พร้อมคำอวยพรให้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องในวันครบรอบวันคล้ายเกิดครบ 76 ปี เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ขณะเดียวกันการจัดงานวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียลเวิลด์ ซึ่งเป็นการทำบุญเลี้ยงพระ ทหารถึงกับให้ไปปลดรูปภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นภาพที่สองพี่น้องกอดกันเมื่อพบกันที่สนามบินฝรั่งเศส
"มองได้ว่า เป็นการให้โอกาสของแต่ละฝ่ายที่จะนำไปสู่การปรองดอง นำไปสู่การหันหน้าเข้าหากันหรือไม่ มองถึงเรื่องความเสมอภาค และการจะนำประเทศไปสู่ความสันติสุขได้ต้องยึดความยุติธรรม ความเท่าเทียม ความเสมอภาค อยากให้ คสช.ได้ดำเนินการตามที่มีประกาศไว้ด้วย ซึ่งการจัดงานของนายชวนไม่ได้ยกเลิก นอกจากนี้ยังมีการส่งกระเช้าดอกไม้ไปให้ ซึ่งต่างจากการจัดงานวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทหารกลับขอให้ยกเลิกจัดงาน" นายสิงห์ทองกล่าว
@ 'จารุพงศ์'โพสต์พบองค์กรสิทธิฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊กเพจเสรีไทย ปราบกบฏ 2014 ได้เผยแพร่ข้อความ พร้อมรูปภาพนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะเลขาธิการองค์กรเสรีไทยในต่างแดน ว่า สารจากเลขาฯองค์การเสรีไทย ส่งตรงจากแดนไกล ถึงสมาชิกเสรีไทยในประเทศไทย
"ออกมาสูดอากาศชานเมืองช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ครับ ในช่วงนี้ผมและแนวร่วมองค์การเสรีไทยฯ ได้เดินทางเข้าพบองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนต่างๆ ในยุโรป (อาจจะดูเหมือนหายหน้าหายตาจาก media ไปบ้าง แต่ยังคงเดินหน้าทำงานตามแผนที่เคยได้นำเรียนไว้ก่อน อย่างเข้มแข็งครับ) การเข้าพบก็เป็นไปเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทย"
@ ปธ.สภาการฯโพสต์แจงปมสอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจักร์กฤษ เพิ่มพูล ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก แสดงจุดยืนว่าคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 108/2557 เรื่องการตักเตือนสื่อสิ่งพิมพ์ที่ฝ่าฝืนข้อห้าม คล้ายกับว่า คสช.จะใช้อำนาจอย่างเด็ดขาดกับหนังสือพิมพ์ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 251 วันที่ 26 กรกฎาคม-1 สิงหาคม 2557 ที่ถูกระบุว่าตีพิมพ์ข้อความหลายเรื่อง ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยมีเจตนาไม่สุจริต เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อันเป็นข้อความในประกาศฉบับที่ 103 ที่ปรับมาจากข้อความเดิม ในประกาศฉบับที่ 97 ที่ว่าห้ามวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติงานของ คสช.เจ้าหน้าที่และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันมีคำสั่งในทำนองว่าให้องค์กรวิชาชีพที่ผู้ฝ่าฝืนเป็นสมาชิกดำเนินการสอบสวนทางจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพ และรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบโดยเร็ว
"คำสั่ง คสช.ฉบับนี้ มีข้อพิจารณารวม 2 ประการ ประการหนึ่งคือตักเตือนผู้ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามประกาศ คสช. หากฝ่าฝืนอีกจะดำเนินการตามกฎอัยการศึก และส่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งเป็นขั้นตอนปกติ เช่นเดียวกับที่ปรากฏในประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 17 ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 42 คือเตือนก่อนใช้อำนาจเด็ดขาด อีกทั้งผู้ถูกกล่าวหายังสามารถไปพิสูจน์เจตนาในกระบวนการพิจารณาทางศาล ซึ่งแตกต่างจากประกาศ คสช.ฉบับที่ 97 ที่พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถสั่งปิดได้ทันที" นายจักร์กฤษ
@ ชี้สอบตามธรรมนูญน.ส.พ.
นายจักร์กฤษ ระบุว่า อีกประการหนึ่งคือคำสั่งให้สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ที่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์เป็นสมาชิก ดำเนินการสอบสวนจริยธรรม และรายงานผลโดยเร็ว ในฐานะองค์กรอิสระที่มีหน้าที่ในการกำกับ ดูแลกันเองในด้านจริยธรรม ในกรณีเช่นนี้ ฐานะของ คสช.คือผู้เสียหายหรือผู้ร้องเรียน ฐานะของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการสุดสัปดาห์คือผู้ถูกร้องเรียน ซึ่งกระบวนการในการสอบข้อเท็จจริง ต้องเป็นไปตามธรรมนูญสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ นั่นคือการแจ้งเป็นหนังสือพร้อมด้วยพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่าผู้ถูกร้องเรียนละเมิดจริยธรรมในเรื่องใด เพื่อให้คณะกรรรมการได้ดำเนินการสอบสวนตามประเด็นหรือข้อความที่เป็นการละเมิดจริยธรรม ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติในประกาศฉบับที่ 103 ที่กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งเรื่องให้องค์กรวิชาชีพที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นสมาชิกดำเนินการสอบสวนทางจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพ
@ ถก 29 ก.ค.หากผิดไม่ปกป้อง
นายจักร์กฤษ ระบุว่า คณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ จะได้พิจารณาคำสั่งนี้อย่างละเอียด รอบคอบอีกครั้งในการประชุมวันที่ 29 กรกฎาคม แต่ในฐานะส่วนตัว ยืนยันตามที่ได้ให้คำมั่นกับปลัดกระทรวงกลาโหมในฐานะตัวแทน คสช. ว่าจะทำหน้าที่อย่างสุจริต ตรงไปตรงมา และจะไม่ปกป้องกันเองอย่างเด็ดขาด หากปรากฏว่าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการสุดสัปดาห์ กระทำละเมิดหรือประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพข้อใด สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติจะดำเนินการตามบทบาทหน้าที่อย่างเต็มที่ และจะแจ้งผลการพิจารณาให้กับผู้ร้องเรียนทราบโดยเร็ว
@ ผู้จัดการขอความชัดเจนคสช.
นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสื่อในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ กล่าวถึงกรณี คสช.เผยแพร่คำสั่งที่ 108/2557 ตักเตือนหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการสุดสัปดาห์เกี่ยวกับการนำเสนอเนื้อหาว่า อยากขอความชัดเจนจาก คสช.ว่า ข้อมูลอันเป็นเท็จที่ทำลายภาพลักษณ์ คสช.จากหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการสุดสัปดาห์มีคำสั่งให้สอบสวนคือเรื่องใด ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารจะได้ตรวจสอบได้ทันทีเพื่อตอบสนองคำสั่ง คสช. ซึ่งถ้า คสช.ไม่ระบุให้ชัดคงต้องคาดเดาเอาจากข่าวต่างๆ ภายในเล่ม
"อยากเรียนว่า การนำเสนอข่าวการเมืองย่อมต้องมีความเกี่ยวข้องกับ คสช.อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะ คสช.เป็นศูนย์กลางของความเคลื่อนไหวทั้งหมด ถ้า คสช.ไม่ระบุให้ชัดเจน การตรวจสอบการทำงานภายในองค์กรสื่อคงจะมองไม่เห็นภาพที่ คสช.มอง ยกเว้นในกรณีห้ามพูดถึง คสช.ในทุกกรณี ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นข่าวจะไม่มีที่มาที่ไปและสำนักข่าวทุกแห่งคงจะมีปัญหาในการเขียนข่าวอย่างแน่นอน ทั้งนี้ยืนยันว่า ทางเราให้ความร่วมมือเต็มที่มาตลอด โดยเฉพาะอะไรที่จะไปกระทบกระเทือนถึง พล.อ.ประยุทธ์ในเรื่องที่ท่านไม่พอใจ" นายจิตตนาถกล่าว
@ ปปช.ถกสถาบันการเงินอีก
รายงานข่าวจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) กล่าวว่า วันที่ 29 กรกฎาคม ทาง ป.ป.ช.จะหารือและรับฟังความคิดเห็นจากสถาบันทางการเงินอีกครั้งในกรณีที่ ป.ป.ช.เตรียมออกประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่องกำหนดจำนวนเงินและมูลค่าทรัพย์สินหนี้สินในการทำธุรกรรมที่ต้องรายงานต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เบื้องต้นมีการปรับปรุงแบบฟอร์มการรายงานและนิยามว่าจะครอบคลุมหน่วยงานใด
"ร่างดังกล่าวยังคงกำหนดให้สถาบันการเงินรายงานต่อ ป.ป.ช.ในอัตราเท่าเดิมที่เคยหารือกันในครั้งแรก คือ หากพบความเคลื่อนไหวทางบัญชีด้วยเงินสดเกิน 5 แสนบาท และอสังหาริมทรัพย์เกิน 1 ล้านบาท ของบุคคลที่มีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.ทั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และข้าราชการ ในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ ทั้งนี้ หลังจากการประชุมในวันที่ 29 กรกฎาคม คณะทำงานจะวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดเพื่อเสนอต่อคณะอนุกรรมการให้ทันในเดือนสิงหาคม คาดว่าต้นเดือนกันยายนจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้พิจารณาได้ หากได้รับความเห็นชอบสามารถออกประกาศ ป.ป.ช.ดังกล่าวได้ตามอำนาจ ป.ป.ช.ตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช พ.ศ.2542 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2550 และ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554) โดยการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 37/2" แหล่งข่าวระบุ
@ ชี้รธน.57 ไม่เปิดถอดถอน
นายวิชา มหาคุณ คณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงข้อสังเกตเรื่องการถอดถอน ที่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ห่วงว่าจะไม่สามารถถอดถอนผู้ที่ถูกร้องในคดีการเมืองที่ผ่านมาได้ว่า ทำไม่ได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) 2557 ไม่มีบทบัญญัติดังกล่าว ว่าเมื่อรัฐธรรมนูญดังกล่าวไม่มีผลบังคับใช้แล้ว และรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ไม่มีบทบัญญัติใหม่มารองรับกระบวนการถอดถอน คงต้องเป็นหน้าที่ของ สนช. ซึ่งทำหน้าที่เป็น ส.ส.และ ส.ว.จะพิจารณาว่าสามารถดำเนินการต่อได้หรือไม่
นายวิชา กล่าวว่า สำหรับคดีที่ยังค้างอยู่ในการพิจารณาของ ป.ป.ช.ซึ่งมีกรณีการถอดถอนจากความผิดตามรัฐธรรมนูญ 2550 รวมอยู่ด้วยคงต้องหารือในที่ประชุมว่าจะดำเนินการต่ออย่างไร แต่ในส่วนคดีอาญาสามารถเดินหน้าได้ไม่มีปัญหา เนื่องจากเป็นอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติ ป.ป.ช.อยู่แล้ว
@ เลขาฯสภาสั่งย้ายขรก.21 ตำแหน่ง
รายงานข่าวจากรัฐสภาแจ้งว่า นายจเร พันธุ์เปรื่อง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้มีคำสั่งที่ 1533/2557 เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2557 เรื่องย้ายและแต่งตั้งตำแหน่งข้าราชการสามัญจำนวน 21 ตำแหน่ง ซึ่งถือว่าเป็นการโยกย้ายข้าราชการสภาครั้งที่ 2 หลังจากนายจเรได้รับตำแหน่งตามคำสั่ง คสช. ได้รับเรื่องร้องเรียน
จากข้าราชการจำนวนหนึ่งว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการโยกย้ายในช่วงของเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคนที่ผ่านมา ดังนั้น การโยกย้ายครั้งนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นการย้ายกลับมาทำหน้าที่เดิม สลับตำแหน่งเพื่อความเหมาะสม ที่ผ่านมาบางคนเป็นระดับผู้บังคับบัญชาถูกย้ายไปเป็นผู้ปฏิบัติงาน จึงย้ายกลับมานั่งตำแหน่งเดิม อาทิ น.ส.นงลักษณ์ สถิตย์เสถียร ผู้บังคับบัญชากลุ่มงานนโยบายและเลขานุการ กร.สำนักงานเลขานุการ กร. ไปสลับตำแหน่งกับ นายธีรพจน์ สุคนธมาน ผู้บังคับบัญชากลุ่มงานพัฒนาโครงสร้างระบบงานและอัตรากำลัง สำนักเลขานุการ กร.
ขณะที่ นายเสรี กอวงษ์ นักวิชาการพัสดุ กลุ่มงานบริการพัสดุสิ่งพิมพ์ และคลังสิ่งพิมพ์ สำนักการพิมพ์ เป็นผู้บังคับบัญชากลุ่มงานบริการพัสดุสิ่งพิมพ์และคลังสิ่งพิมพ์ สำนักพิมพ์ ด้านนายสุรชัย เจนนุวัตร นายช่างพิมพ์ กลุ่มงานโรงพิมพ์และสำเนาสิ่งพิมพ์ สำนักการพิมพ์ เป็นผู้บังคับบัญชากลุ่มงาน (นายช่างพิมพ์) กลุ่มงานโรงพิมพ์ และสำเนาสิ่งพิมพ์ สำนักการพิมพ์