- Details
- Category: การเมือง
- Published: Wednesday, 06 January 2016 14:22
- Hits: 6070
ตู่โวยปฏิทินแม้ว-ปู เพื่ออะไร ปลดหมอวิชัย-สสส.ใช้ม. 44 ฟันกราวรูดอีกล็อตใหญ่ อธิการ-นายกอบต. 52 รายด้วย มีชัยยันเอง-มาร์คสมัครสส.ได้
'บิ๊กตู่'งัดม.44 สั่งพักงาน-โยกย้ายขรก.'พลเรือน-ท้องถิ่น'ผู้บริหารสถาน ศึกษา 52 ราย โละบอร์ดสสส.รวด 7 คน ปลด"หมอวิชัย"พ้นเก้าอี้รองประธาน โวยลั่นปฏิทิน 'ยิ่งลักษณ์ -ทักษิณ' ถามทำเพื่ออะไร มทบ.23 เรียกแกนนำแดงขอนแก่นปรับทัศนคติหลังแจกปฏิทิน ตั้งข้อกล่าวหาแกนนำแดงชู 3 นิ้วรับ 'ปู''หมอเหวง' สวนกลับทำไมแจกปฏิทิน'มาร์ค'ทำได้ 'บิ๊กต๊อก'ลั่น ศอตช.สอบปม'ราชภักดิ์'ทั้งหมดยันผู้รับผิดชอบโครงการ'อุดมเดช' เตือนกก.สอบอย่าหลงประเด็น พร้อมให้ข้อมูล
วันที่ 06 มกราคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 25 ฉบับที่ 9170 ข่าวสดรายวัน
สายตาดี - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบแว่นสายตาให้เด็กนักเรียน พร้อมชมการสาธิตการตรวจคัดกรองสายตา เพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์โครงการ เด็กไทยสายตาดี ณ หน้าตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 5 ม.ค.
บิ๊กตู่พูดน้อย-สัมภาษณ์ 7 นาที
เวลา 07.00 น. วันที่ 5 ม.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา และ ครม.ร่วมพิธีเจริญพุทธมนต์พระสงฆ์ 9 รูป ภายในตึกสันติไมตรีหลังนอก จากนั้นเป็นประธานพิธีตักบาตรพระสงฆ์ 59 รูป เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 2559 ที่สนามหญ้าข้างตึกไทยคู่ฟ้า
จากนั้นหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมครม.โดยใช้เวลาสัมภาษณ์เพียง 7 นาที 30 วินาที ว่า วันนี้ประชุม ครม.ครั้งแรกของปี 2559 เกี่ยวกับเรื่องที่ได้สั่งการการขับเคลื่อนการทำงานและเรื่องการปฏิรูป รวมทั้งการแก้ปัญหาตามเวลาเร่งด่วนทั้ง 6 กลุ่มงานที่รองนายกฯกำกับอยู่ ตนได้ให้แนวทางการทำงานไปแล้วว่าจะชี้แจงกับประชาชนอย่างไร บ้าง นอกนั้นเป็นเรื่องการพิจารณาและแจ้งเพื่อทราบ
ยันไม่ยกเลิก 30 บาท
นายกฯ กล่าวถึงระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติว่า ประชารัฐจะทำให้หลักประกันสุขภาพเข้มแข็งขึ้น โดยโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคหรือบัตรทองยังคงเป็นเหมือนเดิม เคยได้สิทธิอย่างไรก็ได้อย่างนั้น แต่คณะกรรมการส่งเสริมสุขภาพแห่งชาติจะพิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้ดีกว่าเดิม แต่หากทำพร้อมกัน 70 ล้านคน ต้องเพิ่มงบประมาณอีกเท่าไร ซึ่งเราหาเงินไม่ได้ส่วนนี้ และยังมีเรื่องการศึกษา รถเมล์-รถไฟฟรี ที่ต้องใช้งบจำนวนมากแต่ก็จำเป็นต้องให้ประชาชนเพราะดำเนินการมาอยู่แล้ว จึงต้องหางบส่วนหนึ่งมาสร้างความเข้มแข็ง เช่น ระบบการป้องกันมากกว่ารักษาอย่างเดียว ให้เรียนรู้ว่าจะป้องกันตัวเองอย่างไรเพื่อลดค่ารักษาลงไป ไม่ใช่ลดหรือไม่ให้เงิน ใครป่วยก็ได้รับสิทธิเช่นเดิม แต่หากป่วยให้น้อยลงก็ดีเพื่อจะได้นำงบไปใช้ในส่วนอื่น จึงมีแนวคิดจากคณะกรรมการว่าจะลดหรือเพิ่มเติมอย่างไร ซึ่งยังไม่ได้ข้อยุติต้องรับฟังความคิดเห็นประชาชนด้วย อย่าไปใจร้อน ใครจะไปยกเลิกสิทธิ 30 บาท
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงสถานการณ์ราคายางที่ตกต่ำที่สุดว่า รู้หรือยังว่าเพราะอะไร ถ้าจะมาถามตนก็ต้องถามกลับว่าเป็นแบบนี้เพราะอะไร เคยมีระบบหรือโครงสร้างทำไว้หรือไม่ ราคาน้ำมันตกต่ำหรือไม่ ทำอย่างไรให้หาเงินมาอุดหนุนให้ "ต้องการแบบนั้นหรือ ก็เอา โครงการ 30 บาทก็ยกเลิก เอามาจ่ายค่ายาง ค่าข้าว ให้มันชดเชยไป เพราะผมมีเงินเท่านี้ แต่ตอนนี้กำลังสร้างความเข้มแข็ง"
จวกปฏิทินคนทำผิดกฎหมาย
เมื่อถามว่า หลายจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือห้ามแจกปฏิทินของอดีต นายกฯ นายทักษิณ ชินวัตร และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขอถามก่อนว่ามันสมควรหรือไม่ ซึ่งตนไม่รู้ ขอถามสื่อก่อนปฏิทินแบบนี้ตนไม่ได้บอกว่าแจกแล้วผิดหรือแจกแล้วถูก ถามว่าปฏิทินดังกล่าวเหมาะสมหรือไม่ ทำมาเพื่ออะไร ผิดกฎหมายหรือเปล่า ไม่เช่นนั้นก็เอาคนที่ทำผิดกฎหมายมาทำปฏิทินแจก ซึ่งไม่ใช่การเมือง ไม่ได้ปิดกั้นอะไร ความถูกต้องมันอยู่ตรงไหน เจ้าหน้าที่ก็ต้องทำเท่าที่ทำได้เพราะเขารู้ว่ามีการ กระทำผิดกฎหมาย
"ทำไมจะเอาไปบูชากันหรืออย่างไร คนดีๆ ตั้งเยอะ ถ้าคิดว่าไม่ได้ผิดจริงก็กลับมาจะทำปฏิทินให้หลายๆ เล่มด้วย ถามเรื่องอื่น เรื่องไร้สาระขี้เกียจตอบ" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ประชดส่งออกปฏิทินนักโทษ
เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยยื่นจดหมายถาม ทำไมถึงไม่ให้แจกจ่ายปฏิทินดังกล่าวจะตอบอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า ทำไมตนต้องไปตอบเขา คิดกันเอาเองว่ามันถูกหรือมันผิด มีคนทำผิดกฎหมายหรือไม่ในปฏิทินนั้น แล้วสื่อต้องการให้ออกหรือปฏิทินดังกล่าว ถามว่าตนเป็นศัตรูกับเขาหรือ ก็เปล่า ตนเป็นศัตรูกับพรรคเพื่อไทยก็เปล่าอีก ตนทำหน้าที่ของตนแล้วทำไมไม่เอาคนอื่นมาใส่ไว้ในปฏิทินบ้าง ติดคุกกันอยู่เต็มไปหมดในคุกนั่น ก็เอามาออกบ้าง คดีเยอะแยะไปในคุกเอาออกมาทำปฏิทินกันให้หมด
เมื่อถามว่าคิดว่าวันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์วางตัวเหมาะสมหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ก็ไปถามเขา
จากนั้นเดินออกจากวงให้สัมภาษณ์ทันที พร้อมโบกมือ และไม่ว่าผู้สื่อข่าวจะตั้งคำถามอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่หันมาตอบใดๆ
เรียกแดงขอนแก่นปรับทัศนคติ
เวลา 13.00 น. ที่เรือนรับรอง มทบ.23 ค่ายศรีพัชรินทร์ จ.ขอนแก่น พ.อ.สมชาย ครรภาฉาย รอง ผบ.มทบ.23 พ.ท.พิทักษ์พล ชูศรี หัวหน้าชุดปฏิบัติการกองกำลังรักษาความสงบ เรียบร้อย (กกล.รส.) ขอนแก่น และนายสัมภาษณ์ ศรีหงส์ ป้องกันจังหวัดขอนแก่น ได้เรียกตัว นางปิญฉาย นาชัย อายุ 72 ปี อยู่บ้านเลขที่ 139/25 ม.4 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น ประธานกลุ่มสตรี 20 จังหวัดภาคอีสาน และนางอรทัย โพธิ์ศรี อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 91 ม.4 ต.กระนวน อ.ซำสูง จ.ขอน แก่น แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงขอนแก่น มารายงานตัวและปรับทัศนคติ หลังร่วมกันแจกจ่ายปฏิทินปีใหม่ที่มีภาพของนายทักษิณและน.ส.ยิ่งลักษณ์ รวมทั้งการออกมาเคลื่อนไหวขณะที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ และอดีตส.ส.เพื่อไทย พบปะประชาชนและทำบุญเนื่องในเทศกาลปีใหม่ในพื้นที่จ.ขอนแก่น โดยใช้เวลาพูดคุยนานกว่า 1 ชั่วโมง
นางปิญฉาย เผยว่า การหารือไม่ได้เคร่งเครียด ทหารขอบคุณที่ไม่มีเหตุรุนแรงหรือเหตุการณ์ใดๆ ในพื้นที่ที่ขัดคำสั่งของคสช. กรณีกลุ่มมวลชนมาร่วมให้การต้อนรับน.ส.ยิ่งลักษณ์ รวมถึงอดีตรัฐมนตรีและอดีตส.ส.เพื่อไทย ที่ลงพื้นที่และร่วมทำบุญในจ.ขอนแก่น เมื่อ วันที่ 4 ม.ค. ซึ่งทุกอย่างเรียบร้อยและอยู่ในกรอบคำสั่งของคสช.อย่างเข้มงวด แต่มีประเด็นที่หารือคือการแจกจ่ายปฏิทินปีใหม่ 2559 ที่มีภาพของ 2 อดีตนายกฯ ซึ่งตนได้รับจากอดีตส.ส.มา 20 ชุดและแจกจ่ายให้คนสนิท ไปหมดแล้ว และยังมีผู้ที่ไม่ได้รับอีกจำนวนมาก มองว่าปฏิทินดังกล่าวเป็นการมอบของขวัญให้กันตามปกติในช่วงเทศกาลปีใหม่ ไม่ทราบว่าผิดระเบียบหรือขัดต่อคำสั่งของคสช. แต่เมื่อฝ่ายทหารแจ้งมาเราก็พร้อมปฏิบัติตามและแจ้งเตือนญาติพี่น้องหรือผู้ที่ได้รับแจกจ่ายจากอดีตส.ส.ว่าให้ระมัดระวังการแจกจ่ายปฏิทินด้วย
เรียกรายงานตัวแกนนำแดงชู 3 นิ้ว
ด้านพ.อ.สมชายกล่าวว่า การแจกจ่ายปฏิทินปีใหม่ไม่ผิด แต่ที่ตรวจพบและเชิญมารายงานตัว รวมทั้งจัดส่งเจ้าหน้าที่ติดตามความเคลื่อนไหวในช่วงที่อดีตนายกฯลงพื้นที่ที่ขอนแก่นนั้น พบว่ามีการแจกจ่ายในพื้นที่โล่งและในเขตชุมชน เข้าข่ายหวังผลทางการเมืองชัดเจนและขัดต่อคำสั่งของคสช. ซึ่งชุดปฏิบัติการของกกล.รส.ขอนแก่น ตรวจยึดปฏิทินที่มีการลงนามโดยอดีตนายกฯมาได้ 11 ชุดและป้ายข้อความต้อนรับอีก 1 แผ่น ซึ่งยึดได้ในเขตอ.บ้านไผ่ หากแจกจ่ายในที่ลับหรือในบ้านและไม่กระทำการที่เปิดเผยก็ไม่ได้ผิด แต่ห้ามแจกจ่ายในสถานที่ราชการ สถานที่ของรัฐ การประชุม สัมมนา หรือการชุมนุมต่างๆ ที่ขัดต่อคำสั่งของคสช. ทหารในพื้นที่จะตรวจสอบความเคลื่อนไหวและตรวจยึดอย่างจริงจังมากยิ่งขึ้น
ขณะที่พ.ท.พิทักษ์พลกล่าวว่า ช่วงการลงพื้นที่ของอดีตนายกฯที่จ.ขอนแก่น พบว่ามีกลุ่มมวลชนไปต้อนรับและร่วมกิจกรรมอย่าง มาก จากการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดและภาพถ่ายของเจ้าหน้าที่ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของอดีตนายกฯ พบว่าแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงที่เรียกว่า "ป้าวาส ไม้ขอน" มีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วยการชู 3 นิ้วต่อต้านรัฐบาลและคสช. ขณะที่อดีตนายกฯเที่ยวชมความสวยงามของงานมหัศจรรย์พรรณไม้นานาชาติ ที่บึงทุ่งสร้าง เขตเทศบาลนครขอนแก่น ขณะนี้เจ้าหน้าฝ่ายการข่าวได้ตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวเพื่อสืบค้นชื่อและนามสกุล รวมถึงที่อยู่ในภาพรวมทั้งหมด เพื่อเรียกมารายงานตัวและรับทราบข้อกล่าวหาเพราะถือเป็นการขัดคำสั่งของคสช.ที่ชัดเจนอีกด้วย
เข้าข่ายแจกโปสเตอร์หาเสียง
แหล่งข่าวระดับสูงจากกกล.รส.กองทัพภาคที่ 2 เผยถึงกรณีขอความร่วมมือจากบุคคลที่เดินแจกปฏิทินและห้ามน.ส.ยิ่งลักษณ์ขึ้นรถแห่ขณะเดินสายทำบุญที่จ.ขอนแก่นว่า เป็น การดำเนินการในส่วนของสายปกครอง สายรักษาความสงบที่เป็นเจ้าของพื้นที่ ดูแล้วการกระทำดังกล่าวเป็นการเคลื่อนไหวในเชิงทางการเมืองจึงเกรงว่าจะปานปลายออกไปอีก มีการพูดคุยกันแล้วและได้รับความร่วมมืออย่างดี สำหรับการแจกปฏิทินนั้น เจ้าหน้าที่ได้ใช้ดุลพินิจแล้วว่าอาจเข้าข่ายแจกโปสเตอร์หาเสียง โดยเฉพาะมีบุคคลเชิงสัญลักษณ์มาอยู่จนทำให้มีคนมารวมกันจำนวนมาก เป็น การชุมนุมแล้วนำปฏิทินมาแจกก็คล้ายกับการโฆษณาหาเสียง เราต้องขอความร่วมมือว่าอย่าเพิ่งมาเคลื่อนไหวในตอนนี้เลย
'เหวง'สวน-ทำไมปชป.ทำได้
นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำกลุ่มนปช. กล่าวกรณีห้ามแจกปฏิรูปรูปน.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายทักษิณ แต่มีภาพสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์แจกปฏิทินปรากฏตามสื่อออนไลน์ว่า ภาพที่นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตส.ส. พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ เดินแจกปฏิทินรูปตัวเองกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค อย่างชื่นมื่น คสช.อยู่ไหน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย อยู่ไหน จะสั่งห้ามจะสั่งเก็บสั่งริบเช่นที่เกิดกับปฏิทินของ 2 อดีตนายกฯหรือไม่ อย่าลืมว่าสองมาตรฐานทำลายประเทศไทยให้เสียหายอย่างใหญ่หลวงในช่วงสิบปีที่ผ่านมา คสช.ต้องการแก้ความขัดแย้งแตกแยก ต้องการสันติภาพ ความสงบ ปรองดองสมานฉันท์ใช่หรือไม่ การดำเนินการสองมาตรฐานเช่นนี้จะสร้างสันติภาพ สงบ ปรองดองสมานฉันท์สามัคคี หรือนำไปสู่การเผชิญหน้าอย่างรุนแรง แตกหักต่อไปในอนาคตกันแน่
นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเจ้าหน้าที่กกล.รส.ขอนแก่น ตรวจยึดปฏิทินปีใหม่ 2559 ที่มีภาพของน.ส.ยิ่งลักษณ์และนายทักษิณ ว่าคนกลุ่มนี้มีเป้าหมายชัดเจนหวังดิสเครดิตทหาร คสช. และรัฐบาล ทำทุกอย่างให้ขัดคำสั่งคสช.เพื่อให้เกิดการจับกุมคุมขัง หวังหยิบข้อเท็จจริงบางส่วนมาบิดเบือนใส่ร้ายทหารในโลกออนไลน์ ซึ่งเช่นเดียวกับที่จ.ขอนแก่น ทหารต้องปฏิบัติอย่างละมุนละม่อม ชี้แจงทำความเข้าใจประชาชน ไม่เช่นนั้นจะเข้าแผน พวกมีเป้าหมายล้มรัฐธรรมนูญ หวังเร่งการจัดเลือกตั้งโดยเร็วเพื่อกลับเข้ามามีอำนาจอีกครั้ง
แจกปฏิทิน - นางปิญฉาย นาชัย อายุ 72 ปี และนางอรทัย โพธิ์ศรี อายุ 48 ปี ถูกทหาร มทบ. 23 จ.ขอนแก่น เรียกรายงานตัวและปรับทัศนคติ หลังร่วมกันแจกจ่ายปฏิทินปีใหม่ที่มีภาพนายทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 5 ม.ค. |
ห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์กรณีบางจังหวัดสั่งงดแจกปฏิทินรูปคู่ของน.ส.ยิ่งลักษณ์และนายทักษิณ เกรงจะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นหรือไม่ ว่าไม่มีหรอก เขาทำไปตามวิจารณ ญาณว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมอย่างไร ขอเรียนว่าอยากให้สังคมเป็นผู้พิจารณาว่าเจตนาเป็นเรื่องการเมืองหรือไม่ หากไม่เกี่ยวก็ไม่เป็นไร แต่คนที่สั่งดูแล้วเห็นว่าน่าเกี่ยวการเมือง ความเห็นส่วนตัวมองว่าการแจกปฏิทินทำได้แต่ถ้าต้องการให้เกิดคุณประโยชน์ กับผู้รับ ไม่จำเป็นต้องใส่รูปก็ได้ เพราะตนไม่ค่อยเห็นใครเอารูปส่วนตัวไปใส่ปฏิทินแจก และตนไม่ได้ไปมองในแง่การเมือง
เมื่อถามว่าในช่วงเวลานี้เรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับการเมืองแสดงว่าจะห้ามเด็ดขาด พล.อ. อนุพงษ์กล่าวว่ารัฐบาลต้องการให้สถานการณ์ทางการเมืองนิ่ง เพราะบ้านเมืองมีความขัดแย้งกันมากพอควรและรัฐบาลไม่ใช่คู่ขัดแย้ง แต่ถ้าใครจะทำให้เกิดกลุ่มคนมามีปัญหาทำให้ขัดแย้งกันอีกไม่ว่าเรื่องใด ต้องมีมาตร การที่จะทำไม่ให้เรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้น
มท.ไม่เกี่ยวเปลี่ยนชื่อราชภักดิ์
เมื่อถามถึงการเปลี่ยนชื่อมูลนิธิอุทยาน ราชภักดิ์และเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการ พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า หากจะมีเสนอเปลี่ยนก็เป็นทางมูลนิธิเสนอขอเปลี่ยน ไม่ใช่กระทรวงมหาดไทยขอเปลี่ยน และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนจึงไม่เหมาะสมที่จะพูด เพราะยังไม่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ไม่ควรไปวิพากษ์วิจารณ์
ศอตช.สอบถึงผู้ดูแลโครงการ
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) กล่าวถึงการตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์ว่า ที่ผ่านมา ตนระมัดระวังที่จะให้สัมภาษณ์เพราะมีคนใช้ประโยชน์เรื่องนี้กันทางการเมือง จึงควรปล่อยให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานอย่างเต็มที่ ตนได้เชิญสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มาพูดคุยแล้ว และสตง.ได้รายงานความคืบหน้าระดับหนึ่งแล้ว จากนี้คงต้องรอประสานกับกระทรวงกลาโหมอีกครั้งเพื่อให้งานคืบหน้าเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ศอตช.จะตรวจสอบทั้งหมด รวมถึงผู้รับผิดชอบโครงการด้วย แต่ขอเวลาทำงานสักระยะหนึ่ง
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ส่วนที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยจะยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหมนั้น ทำได้ เป็นเรื่องดีด้วย จะได้นำไปประกอบการพิจารณา แต่ท้ายที่สุดอยากให้เคารพเหตุและผลของกฎหมาย เมื่อ ศอตช.มีผลสรุปออกมาแล้วจะเชิญทุกฝ่ายที่ยังมีข้อสงสัยมาพูดคุยกัน เพราะเข้าใจดีว่าสังคมอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการตรวจสอบเรื่องนี้ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานเพื่อให้ตอบโจทย์สังคมให้ได้ ตนจะไม่เข้าไปก้าวก่ายแน่นอน
เมื่อถามว่าสังคมอาจมองว่าพอเป็นเรื่องของรัฐบาลไม่ดำเนินการอะไร แต่กลับตรวจสอบอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า "ผมไม่เคยปฏิบัติเช่นนั้นและเข้าใจดีว่าสังคมคิดอะไรอยู่ แต่ขอให้คิดแบบมีเหตุผลด้วย อย่าใช้ความรู้สึกหรือใช้จินตนาการ ยืนยันว่าเมื่อผลสอบออกมาแล้ว ผมจะชี้แจงและจะเปิดให้ซักถามอย่างละเอียด"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น่าสังเกตระหว่างร่วมพิธีทำบุญตักบาตรที่ทำเนียบช่วงเช้า พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม มีสีหน้าสดชื่นยิ้มแย้มแจ่มใส หลังกระทรวงกลาโหมแถลงผลการสอบการจัดจ้างโครงการอุทยาน ราชภักดิ์ไม่มีการทุจริต อย่างไรก็ตาม แม้จะยืนติดกับพล.อ.ไพบูลย์ แต่ทั้งสองก็ไม่มีการพูดคุยกันแต่อย่างใด
แจงไม่ได้พูดว่ามีหัวคิว
ด้านพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงผลสอบกระทรวงกลาโหม ไม่พบความผิดปกติการใช้งบประมาณโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ว่า ยืนยันการดำเนินการของคณะทำงานทำด้วยความรัดกุม ได้ฟังหัวหน้าส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบ บางหน่วยงานอยากทำความเข้าใจ ให้รู้รายละเอียดให้ถ่องแท้ ไปดูให้ดีก่อน เช่น เรื่องโรงหล่อเป็นเรื่องของเอกชน คณะกรรมการ อุทยาน จึงบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง แต่สื่อมักใช้คำว่า (พล.อ.อุดมเดช นิ่งก่อนพูดต่อ) ตนอธิบายแล้วก็ยังไม่เข้าใจ แต่ถ้าจะเป็นการดีช่วยออกมาพูดรายละเอียดกันสักนิด
"ผมไม่ชอบเลย เราไม่ได้เป็นเช่นนั้นและผมก็รังเกียจคำนั้นด้วย ไอ้คำหัวๆ นั่นแหละ ซึ่งผมไม่ได้ใช้ เพียงได้รับคำถามนั้นแล้วบอกว่ามันอาจเป็นความจริงบางส่วน เป็นเรื่องของเอกชนกับเอกชน เมื่อทราบภายหลังก็พยายามพูดคุยและแก้ปัญหาแล้ว เป็นเรื่องของบุญกุศล จะเสียเงินเสียหายเพิ่มเติมอะไรเราได้แก้ไข แล้วจะมาบอกว่าละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ไม่เกี่ยวข้อง ทั้งหมดเป็นเรื่องเอกชน ผู้ใหญ่ในส่วนต่างๆ ก็เข้าใจ"
เปิดให้หน่วยตรวจสอบเข้าพบ
พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า อย่าเพิ่งเอ่ยหรือพูดล่วงหน้าว่ามีความไม่ถูกต้องหรือมีทุจริต มันไม่ถูกต้องเพราะจะเกิดความไม่ยุติธรรม ถ้าเป็นหน่วยตรวจสอบถ้าไม่ยุติธรรมก็ต้องรับผิดชอบ การตรวจสอบต้องเป็นไปตามปกติ เมื่อเรื่องไม่มีอะไรก็อย่าให้มันมีอะไร อย่าหลงประเด็น ถ้าหัวหน้าชุดสอบ ผู้ใหญ่ของหน่วยงานต้องการทราบอะไร อยากพบตนหรือมาคุยกันสามารถชี้แจงได้หมดในฐานะประธานอำนวยการ รวมถึงกลุ่มอำนวยการที่มีรองประธานต่างๆ กำกับดูแล สามารถชี้แจงได้ ไปที่กองทัพบกได้ เพราะตนนั่งทำงานที่นั่น รวมถึงการดำเนินงานของมูลนิธิราชภักดิ์ที่ได้อนุมัติจัดตั้งเมื่อปลายปีงบประมาณกลางเดือนก.ย. 2558 ยังไม่ได้ดำเนินการอะไร แต่หัวหน้าชุดสอบจะเอารายละเอียดงบประมาณเงินบริจาคมารับข้อมูลได้ที่ตน
ขอให้สอบอย่างยุติธรรม
"อย่าเพิ่งไปชี้หรือฟันธงว่าทุจริต ผมมั่นใจโครงการนี้ ดังนั้น ขอให้ตรวจสอบด้วยความยุติธรรม ผลที่ออกมาจะได้เป็นธรรมกับผู้ที่ทำงานกับผู้ที่ปฏิบัติงานที่ตั้งใจทำงาน อย่าทำให้เสียกำลังใจ โครงการนี้มีที่มาที่ดี เริ่มต้นดำเนินการมาดี ขอให้ดูวัตถุประสงค์และช่วยดูแลสมบัติของชาติ ยืนยันผมไม่ต้องการทำในสิ่งที่ผิดแล้วทำให้เป็นถูก ไม่ชอบ เพราะผมอยู่ในกระบวนการดูคนที่ไม่ถูกต้อง ไม่สุจริต ไม่ได้รับความยุติธรรม" พล.อ.อุดมเดชกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงการเปลี่ยนชื่อคณะกรรมการ ในมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่าเนื่องจากมีผู้เกษียณจึงต้องปรับเปลี่ยน ผู้สื่อข่าวพยายามถามถึงสาเหตุการเปลี่ยนชื่อมูลนิธิราชภักดิ์ พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่าอย่าถามในสิ่งที่ไม่ควรถาม ต่อให้เป็นข่าวก็ช่าง เมื่อถามว่าวันนี้สบายใจแล้วใช่หรือไม่ พล.อ.อุดมเดชกล่าวพร้อมโบกมือก่อนขึ้นรถออกจากทำเนียบ ว่าไม่เป็นไร
'ป้อม'ชี้เหลือสอบตัวคน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงผลการตรวจสอบโครง การอุทยานราชภักดิ์ว่า ตอนนี้เราสอบแล้วว่ากระบวนการใช้เงินไม่มีอะไรน่าสงสัย เงินทุกบาททุกสตางค์ยังอยู่ คณะกรรมการของกระทรวงกลาโหมได้ทำตามอำนาจหน้าที่อย่างถึงที่สุดแล้ว สอบจนถึงคนที่ไม่อยู่แล้วก็จบแค่นั้น ฉะนั้นไม่มีอะไร หากสตง.หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) ของกระทรวงยุติธรรม จะเข้ามาตรวจสอบต่อในเรื่องของภาคเอกชน มีอะไรที่ไปเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ ขอให้ดูต่อว่าจะสอบกันอย่างไร
"ผมคิดว่าโครงการโอเคแล้ว ต่อไปนี้เป็นเรื่องตัวบุคคล ไม่ใช่เรื่องโครงการและหน่วยงานแล้ว เมื่อผลสอบออกมาก็ยังไม่ได้คุยกับพล.อ.อุดมเดช" พล.อ.ประวิตรกล่าว
เมื่อถามว่าจากนี้จะมองที่ประเด็นของเอกชน โรงหล่อ และเซียนพระ ที่มีชื่อเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ก็ว่ากันไป ตนไม่รู้เรื่อง เพราะในผลการสอบระบุเพียงว่ามูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ไม่ได้ใช้เงินอะไร เมื่อถามถึงข้อสังเกตเรื่องการใช้งบประมาณได้ขออนุญาตดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกฯหรือไม่ รองนายกฯกล่าวว่าเรื่องนี้หน่วยงานอื่นคงเข้ามาดู เช่น เรื่องการเรี่ยไร เป็นต้น แต่ไม่ใช่เรื่องการทุจริต เมื่อถามว่าผลสอบที่ออกมายังทิ้งข้อสังเกตว่าเหตุใดไม่ฟันธงว่าใครถูกหรือผิด พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า จะฟันได้อย่างไรเพราะไม่มีอำนาจ ยังไม่มีอะไรเกี่ยวข้องในเรื่องการทุจริตหรือการเงิน เรื่องนี้กองทัพตรวจสอบแล้ว กระทรวงกลาโหมตรวจสอบแล้ว
'เต้น'ชี้เป้า-สอบราคารูปหล่อ
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช.กล่าวว่า การแถลงของกระทรวงกลาโหม ทั้งกองทัพบกและกระทรวงกลาโหมอธิบายความในทำนองไปไหนมาสามวาสองศอก ไม่ได้ระบุถึงสาระสำคัญที่สังคมสงสัย สิ่งที่แถลง มาแทบไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ แค่รวบรวมข้อมูลทั้งหมดส่งให้ สตง.ตั้งแต่แรกทุกอย่างก็เดินหน้าได้ ไม่คิดว่าการดึงเวลานานออกไปจะทำให้เรื่องนี้คลี่คลายลง แต่กลับจะทำให้แรงกดดันทั้งหมดไปตกอยู่กับศอตช. ถือเป็นหน่วยสุดท้ายที่จะจัดการเรื่องนี้ให้กระจ่าง หากผลสอบของศอตช.ออกมาทำนองเดียวกับสองหน่วยงานที่ผ่านมา เชื่อว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นเรื่องนโยบายปราบปรามทุจริตของรัฐบาล
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เพื่อเร่งรัดกระบวนการให้คืบหน้าโดยเร็ว ขอชี้เป้าให้ศอตช.ตรวจสอบข้อมูลราคาการจัดสร้างรูปหล่อขนาดใหญ่ของหลายหน่วยงานว่าใช้วัสดุเหมือนหรือแตกต่างกับโครงการนี้อย่างไร งบประมาณที่ใช้ใกล้เคียงกันหรือไม่ ถ้าเริ่มต้นจากตรงนี้เชื่อว่าจะพบข้อเท็จจริงสำคัญอีกมาก ตนจะรอดูผลสรุปจากศอตช. เพราะไม่อยากถูกกล่าวหาว่าไปหาเรื่องรัฐบาล ระหว่างนี้จะเก็บรวบรวมข้อมูลไปเรื่อยๆ เพราะเวลาไม่ได้กดดันตน
"ถ้ารัฐบาลเห็นว่า ต้องทุ่มเทสรรพกำลังเพื่อเอาชนะปฏิทินภาพถ่าย 2 อดีตนายกฯ ให้ได้ก่อนก็เป็นเรื่องของรัฐบาล แต่ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเรามาถึงจุดการหักหัวคิวเป็นเรื่องโปร่งใส แต่แจกปฏิทินเป็นภัยต่อความมั่นคงได้ยังไง" นายณัฐวุฒิกล่าว
มือปาอึบ้านมาร์คขู่นายกฯตู่
เวลา 11.00 น. ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ระหว่างพล.อ.ประยุทธ์เป็นประธานประชุมครม. นายวิวิทวิน เตียวสวัสดิ์ อายุ 48 ปี พ่อค้าเนื้อหมูย่านลาดพร้าว อดีตผู้ต้องหาคดีปาอุจจาระ ใส่บ้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ ในซอยสุขุมวิท 31 มาโวยวายที่ศูนย์บริการฯ เจ้าหน้าที่พยายามสอบถามว่าจะมาร้องเรียนอะไร ก็ไม่ยอมบอก แต่พูดเสียงดังว่า "ไม่ได้รับความเป็นธรรมเลย ไม่รู้กี่รัฐบาลแล้ว เดี๋ยวจะได้เห็นดีกัน"
เจ้าหน้าที่พยายามเข้าไปพูดคุยและขอให้มายื่นเรื่องตามขั้นตอน แต่นายวิวิทวินยังคงโวยวาย เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเดินเข้ามาจึงเดินหนี แต่ยังตะโกนเสียงดังทิ้งท้ายฝากถึงพล.อ.ประยุทธ์ด้วยว่า "ผมเคยปาขี้ใส่บ้านนายกฯอภิสิทธิ์มาแล้ว วันนี้ปัญหาของผมยังไม่ได้รับการแก้ไขตามที่เจ้าหน้าที่รับปาก บอกได้เลยว่าผมจะปาใส่พล.อ.ประยุทธ์ หลังจากนี้ขอให้พล.อ.ประยุทธ์เตรียมตัวเจอกับผมได้เลย" ก่อนจะรีบขี่จักรยานยนต์กลับออกไปทันที
นายวิวิทวิน เคยปาถุงอุจจาระใส่บ้านนาย อภิสิทธิ์เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2553 อ้างไม่พอใจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากเคยเข้าร้องเรียนกับตำรวจสน.ลาดพร้าว ให้ดำเนินคดีข้อหาพยายามฆ่ากับเพื่อนบ้านที่มั่วสุมสูบบุหรี่ ทำให้ควันบุหรี่ลอยมาถึงบ้านจนลูกสาวคนโตเกิดอาการป่วยเกี่ยวกับระบบหายใจ แต่ต่อมาถูกศาลสั่งกักขัง 5 วัน
นายกฯสั่งครม.เน้น 4 เรื่องหลัก
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมครม. ว่านายกฯได้ชี้แจง ให้ครม.ทราบถึงส.ค.ส.พระราชทานพรปีใหม่ 2559 และบอกด้วยว่าครม.ต้องรับพระราชดำรัสดังกล่าวใส่เกล้าใส่กระหม่อม นำไปเป็นแนวทางดำเนินชีวิตของตัวเองและครอบครัว และเป็นแนวทางทำงานของรัฐบาลที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศชาติและสังคม เพื่อให้ผ่านพ้นปัญหาที่เราเคยเจอในอดีตมาให้ได้ และไม่ให้ปัญหานั้นวนเวียนกลับมา
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า ในที่ประชุมพล.อ.ประยุทธ์ชี้แจงแผนงานในปี 59 สำหรับรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ โดยให้ทุกกระทรวง ทุกกลุ่มงาน หยิบเรื่องสำคัญ 4 เรื่องมาเป็นตัวตั้ง 1.การบริหารราชการปกติ 2.เรื่องที่ ต้องปฏิรูป เรื่องที่ต้องทำให้เสร็จในรัฐบาลนี้ เรื่องที่ต้องทำและส่งต่อ 3.การแก้ปัญหาเร่งด่วน อาทิ ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ปัญหามาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินพลเรือน และ 4.การขับเคลื่อนกิจกรรมสำคัญ เช่น โครงสร้างเศรษฐกิจ การเงินการคลัง การบริหารจัดการน้ำ การทวงคืนผืนป่า ทั้ง 4 เรื่องจะเป็นเรื่องหลักที่จะดำเนินการในปีนี้ และต้องมีผลสัมฤทธิ์เกิดขึ้นในระยะเวลาที่ชัดเจน
ให้ทุกกระทรวงตั้งโฆษก
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า ในปีนี้นายกฯขอให้ทุกภาคส่วนประชาสัมพันธ์ผลงานให้มากขึ้น โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ได้เสนอให้แต่ละกระทรวงตั้งโฆษกกระทรวงขึ้นใหม่ และนำเสนอครม.รับทราบ ต้องมีตัวตนชัดเจน ถ้ามีข่าวสารเกี่ยวกับกระทรวงนั้นๆ สื่อจะมีตัวเลือกมากขึ้น หากไม่ทำจะมีโทษ แต่ถ้าทำจะมีคุณให้ และอาจมีโฆษกของกลุ่มงานคลัสเตอร์ด้วยเพื่อช่วยกันชี้แจง
"นายกฯบอกว่าท่านจะลดการชี้แจงให้น้อยลง แต่รัฐมนตรีและรองนายกฯจะต้องชี้แจงอธิบายให้มากขึ้น ร่วมกับโฆษกกระทรวง ถ้ามีเรื่องสำคัญก็ต้องชี้แจง รัฐมนตรีจะนั่งนิ่งๆ อย่างเดียวไม่ได้แล้ว" พล.ต.สรรเสริญกล่าว
อนุกรธ.ชงปฏิรูปตำรวจ
เวลา 13.30 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) นาย มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. ทำหน้าที่ประธานที่ประชุมได้นำเสนอประเด็นการปฏิรูปการศึกษาและการปฏิรูปการบังคับใช้กฎหมาย นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกกรธ.ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการปฏิรูปการศึกษาและการบังคับใช้กฎหมาย กรธ. เสนอว่าการปฏิรูปการศึกษาสรุปประเด็นที่ต้องเขียนในรัฐธรรมนูญ 5 เรื่องคือ ต้องเขียนแผนการศึกษาให้มีสภาพการบังคับใช้เทียบเท่ากับกฎหมาย มีผลผูกพันกับทุกรัฐบาล ต้องให้รัฐบาลแถลงและรายงานความคืบหน้าปีละครั้งต่อรัฐสภา มีกลไกบังคับใช้รัฐธรรมนูญด้านการศึกษาและมีกลไกส่งเสริมการคิดการตรวจสอบจากภาคประชาชน ต้องกระจายอำนาจและงบประมาณการจัดการศึกษาสู่ท้องถิ่นและสถานศึกษา ต้องปฏิรูปกระบวนการงบประมาณด้านการศึกษาตามอุปสงค์เป็นรายบุคคล
นายอุดม กล่าวว่า ส่วนการปฏิรูปการบังคับใช้กฎหมายได้ศึกษาปัญหาตำรวจ พบมีปัญหาหลัก 4 เรื่อง 1.ปัญหาการเมืองแทรก แซงการบริหารงานบุคคลของตำรวจ ไม่มีการคำนึงถึงระบบอาวุโสหรือความสามารถ 2.ปัญหา การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจที่ไม่เป็นไปตามระบบคุณธรรม 3.ปัญหางานสอบสวนถูกบงการจากคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 4.ปัญหาเนื้องานและปริมาณงานของตำรวจ ต้องถ่ายโอนภารกิจที่ไม่ใช่ภารกิจหลักไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การบริหารงานจราจรอาจจะให้องค์กรส่วนท้องถิ่นดูแล
นายกฯไม่มีอำนาจตั้งผบ.ตร.
หลังการประชุม นายอุดมได้แจกเอกสารผลการศึกษาโดยสรุปปัญหา 4 ข้อดังกล่าว และเสนอแนวทางปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) ซึ่งยังมิใช่มติกรธ. ในส่วนข้อเสนอแนะกำหนดมีประเด็นที่น่าสนใจ และเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันมาก่อนหน้านี้แล้ว คือการมีคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) 11 คน ให้นายกฯเป็นประธาน แต่ไม่มีอำนาจแต่งตั้งผบ.ตร. การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) รวมถึงประเด็นการแยกงานสอบสวนออกจากตร. และตั้งเป็นสำนักงานสอบสวนคดีอาญา เป็นหน่วยงานระดับกรม สังกัดกระทรวงยุติธรรม และเสนอถ่ายโอนภารกิจที่ไม่ใช่ภารกิจหลักของตร. ไปหน่วยงานอื่น อาทิ งานด้านจราจรไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความพร้อม อาทิ กทม. และเมืองพัทยา โอนภารกิจด้านป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปให้กระทรวงทส. ถ่ายโอนภารกิจการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดอาหารและยาไปให้กระทรวงสาธารณสุข
มีชัยเมินเสียงติงนายกฯคนนอก
นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. ให้สัมภาษณ์ถึงเสียงวิจารณ์การเปิดช่องให้มี นายกฯคนนอกว่า เรื่องนี้ต้องโทษพรรคการ เมือง จะมาโทษรัฐธรรมนูญไม่ได้ เพราะพรรคการเมืองจะเป็นผู้เสนอรายชื่อนายกฯก่อนเลือกตั้ง ผลโพลก็เห็นสอดคล้องกับภาพรวมในเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ ส่วนที่กรธ.ถูกวิจารณ์เยอะจะทำให้เสียความน่าเชื่อถือหรือไม่นั้น ความน่าเชื่อถือของตนมีเท่าไรก็ยังมีอยู่เท่านั้น เพราะความน่าเชื่อถือไม่ได้อยู่ที่คำพูดแต่อยู่ที่การกระทำ
ส่วนความคืบหน้าเรื่องความปรองดอง นายมีชัยกล่าวว่าอนุกรรมการได้รายงานเข้ามา เราพิจารณาแล้วเห็นว่าการปรองดองในวันข้างหน้า กรธ.ได้เขียนแล้วในหลายส่วน เช่น การเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียวจะช่วยเรื่องปรองดอง ทำให้ไม่มีฝ่ายใดชนะจนอีกฝ่ายอยู่ไม่ได้ หรือการให้อำนาจผู้นำฝ่ายค้านขอเปิดอภิปรายเสนอแนะรัฐบาลเพื่อหาทางออกให้ประเทศ หากเกิดวิกฤตการเมืองขึ้น แต่การปรองดองจากสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ตนยังคิดไม่ออก ไม่รู้จะนำบทสวดมนต์บทไหนไปใส่ไว้แล้วถึงจะเลิกขัดแย้ง อีกทั้งการปรองดองยังต้องอาศัยการกระทำอีกหลายอย่างและยังต้องใช้เวลา กรธ.อาจจะเสนอให้รัฐบาลไปทำ
เมื่อถามว่าการปรองดองจำเป็นต้องเขียนในรัฐธรรมนูญ เพื่อตั้งองค์กรใหม่ขึ้นมาทำหน้าที่หรือไม่ นายมีชัยกล่าวว่าไม่จำเป็นต้องเขียนในรัฐธรรมนูญก็ได้ การตั้งคณะกรรมการ องค์กร นายกฯมีอำนาจทำได้เองหรืออาจใช้มาตรา 44 ทำก็ได้
มาร์คถูกปลด-สมัครส.ส.ได้
เมื่อถามถึงคำพิพากษาศาลแพ่งที่ชี้ว่าคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ 1163/2555 ให้ปลดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกจากราชการชอบด้วยกฎหมาย จะส่งผลให้นายอภิสิทธิ์ขาดคุณสมบัติลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ นายมีชัยกล่าวว่าไม่ได้กระทำความผิด ตามคุณสมบัติผู้ลงสมัครส.ส.ที่เราเขียนไว้ชัดเจนว่า ห้ามผู้ทุจริต ทำผิดทางวินัยจนโดนปลดหรือไล่ออกจากราชการ กรณีนายอภิสิทธิ์เกิดจากคุณสมบัติเข้ารับราชการไม่ถูกต้อง กรธ.ไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง เพราะรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมาก็เขียนแบบนี้
เมื่อถามว่าจำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญชั่วคราว มาตรา 37 เกณฑ์การออกเสียงประชา มติที่ระบุให้ใช้เสียงกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อความชัดเจนหรือไม่ นายมีชัยกล่าวว่ามันชัดเจนอยู่แล้วว่าเสียงประชามติคือการใช้เสียงข้างมากของคนที่ออกมาลงคะแนน ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็เข้าใจแบบนี้เหมือนกัน
พท.จี้ใช้ยาแรงกับทุกฝ่าย
นายชูศักดิ์ ศิรินิล หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ฟังนายมีชัยกล่าวถึงร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องใช้ยาแรง ผู้ที่ทุจริตต่อหน้าที่หรือทุจริตเลือกตั้งห้ามสมัครตลอดชีวิตนั้น ฟังดูเหมือนอยากให้ฝ่ายการเมืองโปร่งใส หากจะปฏิรูปและป้องกันแก้ไขปัญหาทุจริตอย่างจริงจัง ร่างรัฐธรรมนูญควรกำหนดมาตรการอื่นๆ ด้วย เช่น ให้เจ้าหน้าที่รัฐทุกระดับไม่ว่าฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ หรือองค์กรอิสระ ต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินต่อสาธารณะ ตรวจสอบความร่ำรวยผิดปกติของทุกภาคส่วน รวมถึงภาคธุรกิจ เอกชน โดยใช้มาตรการทางรายได้และภาษี
นายชูศักดิ์กล่าวการดำเนินการกับปัญหาทุจริตในอดีต มีการเลือกปฏิบัติสองมาตรฐาน องค์กรที่เกี่ยวข้องมิได้ทำหน้าที่ตรงไปตรงมาตามหลักนิติธรรม เป็นที่มาของความแตกแยกของคนในชาติ จึงควรปฏิรูปองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตทั้งที่มา อำนาจหน้าที่และการตรวจสอบการใช้อำนาจ หากทำเช่นนี้เท่ากับให้ยาแรงโดยเสมอหน้า และวินิจฉัยโรคได้ตรงจุด ที่สำคัญต้องไม่มีการนิรโทษกรรมให้กับ คสช.และรัฐบาลไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดการตรวจสอบอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน
ให้ศาลรธน.ชี้ขาดวิกฤตผิดมหันต์
นายคณิน บุญสุวรรณ อดีตส.ส.ร. ประธานคณะทำงานติดตามการร่างรัฐธรรมนูญ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่าขณะที่ กรธ.เข้มงวดกับคุณสมบัติผู้สมัครส.ส. แต่การเข้าสู่ตำแหน่งของนายกฯ และส.ว.กลับไม่เข้มงวด ถ้านายกฯ ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร และส.ว.ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่เป็นประชาธิปไตยแล้วยังทำให้โครงสร้างทางอำนาจเสียสมดุลอย่างหนัก แค่ความสมดุลระหว่างฝ่ายประจำ กองทัพและศาล และองค์กรอิสระที่มาจากการแต่งตั้ง กับฝ่ายการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งก็แย่อยู่แล้ว ถ้าเอานายกฯและส.ว.ไปอยู่กับฝ่ายแต่งตั้งอีก ยิ่งทำให้รัฐนาวาเอียงกะเท่เร่จนเกิดวิกฤตได้ตลอดเวลา ท้ายที่สุดทหารก็ต้องปฏิวัติอยู่ดี
นายคณิน กล่าวว่า การที่กรธ.คิดจะเอาศาลรัฐธรรมนูญมาตัดสินชี้ขาดเมื่อเกิดวิกฤต ผิดมหันต์ เหมือนเติมฟืนเข้าไปในกองไฟ ศาลรัฐธรรมนูญอยู่ฝ่ายเดียวกับฝ่ายประจำและเป็นองค์กรที่มาจากการแต่งตั้ง จึงไม่อยากเห็น กรธ.ตั้งธง หรือมีอคติกับนักการเมือง การเขียนกติกาที่มีอคติเช่นนี้มีแต่จะนำไปสู่วิกฤตหรือทางตัน กรธ.คงรู้ว่าการเขียนรัฐ ธรรมนูญแบบเล่นซ่อนแอบเช่นนี้ไปไม่รอดและจะเกิดวิกฤตตามมา จึงให้ศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นผู้ดับวิกฤตแทน
ปปช.สอบ"เหลิม"ใช้งบแรงงาน
ที่สำนักงานป.ป.ช. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เข้าพบคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่า เมื่อครั้งเป็นอธิบดีดีเอสไอ นายธาริตร่ำรวยผิดปกติ ที่ก่อนหน้านี้ ป.ป.ช. มีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินนายธาริต และนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ มูลค่ากว่า 40 ล้านบาท ต่อมาตรวจพบว่า นายปิยฤกษ์ อรรถกานต์รัตน์ หลานชายนางวรรษมล มีพฤติการณ์ ถือครองทรัพย์สินแทนนายธาริตและนางวรรษมล เป็นพฤติการณ์โอน ยักย้าย แปรสภาพหรือซุกซ่อนทรัพย์สิน ป.ป.ช.จึงสั่งอายัดทรัพย์สินของบุคคลที่เกี่ยวข้องมูลค่ารวม 26,830,000 บาท
แหล่งข่าวจากสำนักงานป.ป.ช. เผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมการป.ป.ช.มีมติตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกฯและรมว.แรงงาน เนื่องจากมีข้อสงสัยการยื่นบัญชีทรัพย์สิน ครั้งล่าสุด โดยรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นได้พอสมควร และมีการไต่สวนมาพักใหญ่แล้ว แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นทรัพย์สินในส่วนใดบ้าง
นายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการป.ป.ช. กล่าวว่ากรณีนี้เกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายงบประมาณลับของกระทรวงแรงงานหลายสิบล้านบาทช่วงที่ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นรมว.แรงงาน หรือไม่ว่า ไม่สามารถเปิดเผยได้ ต้องรอผลตรวจสอบของคณะอนุกรรมการไต่สวนก่อน ซึ่งตอนนี้ไต่สวนมาได้สักระยะแล้ว
รายงานข่าวเผยว่า สตง.ตรวจสอบพบว่ากระทรวงแรงงาน ยุคร.ต.อ.เฉลิม มีการนำเงินจากหน่วยงานในสังกัดมาใช้จ่ายลักษณะตั้งงบลับวงเงินหลายสิบล้านบาท โดยเฉพาะช่วงปี 2557 ช่วงชุมนุมของกลุ่ม กปปส. เบิกใช้จ่ายงบลับนี้กว่า 6.4 ล้านบาท
กกต.มีมติฟ้องหมิ่น"ภุชงค์"
ที่สำนักงานกกต. นายธนิศร์ ศรีประเทศ ผู้ทรงคุณวุฒิ กกต.แถลงว่า ที่ประชุม กกต. พิจารณาข้อเสนอของสำนักกฎหมายและคดีกรณีการดำเนินการด้านกฎหมายต่อนายภุชงค์ นุตราวงศ์ อดีตเลขาธิการกกต. ฐานหมิ่นประมาทและหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 จากการให้สัมภาษณ์กล่าวหาว่า กกต.ทำงานแค่ 1 วัน นอกนั้นเอาเวลาไปเรียนหนังสือ การไปต่างประเทศของ กกต.ที่ให้ร้ายว่าแม้ไม่มีต่างประเทศเชิญก็ส่งสัญญาณให้เชิญไปดูงาน รวมทั้งการระบุว่าหากตนผิด กกต.ก็ผิดด้วย เพราะเรื่องผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร ทำให้สำนักงาน กกต.เสียชื่อเสียงและถูกดูหมิ่น ประธาน กกต.มอบอำนาจให้ ผอ.สำนักกฎหมายและคดีไปร้องทุกข์กล่าวโทษที่ สน.ทุ่งสองห้อง แล้ว
ติงกก.สอบละเมิดเร่งคดีข้าว
นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตรมว.ยุติธรรม กล่าวกรณีนายวิษณุระบุจะไม่ให้เพิ่มพยานคดีจำนำข้าวเพราะเกรงจะปิดสำนวนไม่ทัน แต่อนุญาตให้ส่งเอกสารเพิ่มเติมได้ถึงสิ้นม.ค.นี้ว่า เป็นห่วงแทนคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ความรับผิดทางละเมิดที่เร่งรัดสรุปเรื่องอย่างผิดสังเกต ทั้งที่อายุความใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนมี 2 ปี นับแต่วันที่หน่วยงานรัฐรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้กระทำละเมิด จึงเกิดข้อกังขาว่าคณะกรรมการฯได้ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดการละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ที่ต้องให้โอกาสเจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริง และโต้แย้งพร้อมพยานหลักฐานอย่างเพียงพอและเป็นธรรมหรือไม่ ได้ดำเนินการโดยอิสระหรืออยู่ภายใต้การครอบงำจากผู้มีอำนาจ
"น่าเป็นห่วงคณะกรรมการ เกรงจะเร่งรีบสนองนโยบาย โดยทำหน้าที่ไม่ครบถ้วนตามกฎหมายและระเบียบ โดยเฉพาะหลักการของพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 คือเปลี่ยนจากหลักเรื่องลูกหนี้ร่วม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ผู้ร่วมรับผิดในการละเมิด จะต้องร่วมรับผิดในการกระทำของเจ้าหน้าที่อื่นด้วย และให้แบ่งแยกความรับผิดของแต่ละคนมิให้นำหลักฐานลูกหนี้ร่วมมาใช้บังคับ ดังนั้น ตามมาตรา 8 จึงให้สิทธิเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจะมีได้เพียงใด ให้คำนึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทำ และความเป็นธรรมในแต่ละกรณีเป็นเกณฑ์ โดยมิต้องให้ใช้เต็มจำนวนของความเสียหายก็ได้" นายชัยเกษมกล่าว
จี้สอบผู้ร่วมรับผิดชอบ
นายชัยเกษมกล่าวว่า กรณีการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่หลายคนมิให้นำหลักเรื่องลูกหนี้ร่วมมาใช้บังคับ และเจ้าหน้าที่แต่ละคนต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะส่วนของตนเท่านั้น ขอถามคณะกรรมการฯ ด้วยความเป็นห่วงได้ตั้งธงไว้ว่าความเสียหายที่เกิดจากโครงการรับจำนำข้าว เกิดจากเหตุจงใจหรือประมาทเลินเล่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพียงผู้เดียวหรือ ซึ่งไม่ควรเป็นเช่นนั้น ถ้ากำหนดค่าเสียหายในการละเมิดเรื่องนี้ได้แล้ว ได้สอบข้อเท็จจริงหรือยังว่ามีผู้ต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายได้แก่ผู้ใดบ้างที่ก่อให้เกิดนโยบายและเกี่ยวข้องในการดำเนินการ หากมีผู้ต้องร่วมรับผิด แล้วได้พิจารณาจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่แต่ละบุคคลต้องชดใช้ตามกฎหมายและระเบียบของราชการแล้วหรือยัง หากยังไม่ได้ทำ ขอได้ทำให้เสร็จสมบูรณ์ เพื่อในอนาคตจะได้ไม่ต้องตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ปฏิบัติฝ่าฝืนกฎหมายและระเบียบของทางราชการ ซึ่งอาจต้องรับผิดชอบในทางอาญา และอาจต้องรับผิดทางละเมิด ตาม พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดฯ เสียเอง
ครม.มอบ'บิ๊กเข้'คุมแก้ค้ามนุษย์
วันที่ 5 ม.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้ง 1.นายสาโรจน์ ธนสันติ อัครราชทูต กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เป็นเอกอัครราชทูตกรุงซานติอาโก ชิลี 2.นายณัช ภิญโญวัฒนชีพ กงสุลใหญ่เมืองมุมไบ อินเดีย เป็นเอกอัครราชทูต กรุงอัสตานา คาซัคสถาน และเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกฯ เสนอแต่งตั้ง นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี อนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอแต่งตั้ง นายวรศาสน์ อภัยพงษ์ ผู้ตรวจฯ เป็น รองปลัดทส.
ครม.ยังรับทราบคำสั่งสำนักนายกฯ ที่ 401/2558 เรื่องมอบหมายให้รองนายกฯปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการป้องกันเจ้าหน้าที่ของรัฐมิให้เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ มอบให้ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย เป็นประธาน ตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค.2558 เป็นต้นไป
โละบอร์ดสสส.-ปลด'หมอวิชัย'
วันที่ 5 ม.ค. ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 1/2559 เรื่อง ประกาศรายชื่อ เจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ 3 รวม 59 คน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44 รัฐธรรมนูญชั่วคราว หัวหน้าคสช. โดยความเห็นชอบของคสช. มีคำสั่งดังนี้
ข้อ 1 ให้ผู้ที่มีรายชื่อกลุ่มที่ 1 ผู้บริหารสถานศึกษา ตามบัญชีแนบท้าย ระงับการปฏิบัติราชการหรือหน้าที่ในตำแหน่งเดิมชั่วคราว
ข้อ 2 ให้ผู้มีรายชื่อกลุ่มที่ 2 ข้าราชการพลเรือน ตามบัญชีแนบท้าย ระงับการปฏิบัติราชการในตำแหน่งเดิมชั่วคราว และไปปฏิบัติราชการตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย
ข้อ 3 ให้ผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ 3 ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ตามบัญชีแนบ ท้าย ระงับการปฏิบัติราชการหรือหน้าที่ในอปท. ชั่วคราวโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน
ข้อ 4 ให้ผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ 4 ข้าราชการอปท. ตามบัญชีแนบท้าย ไปช่วยราชการที่ศาลากลางจังหวัดที่อปท.นั้นตั้งอยู่หรือสถานที่ราชการอื่น ตามที่ผู้ว่าฯกำหนด แต่มิใช่ อปท.ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่เดิม กรณีนี้ มิให้บุคคลดังกล่าวได้รับเงินประจำตำแหน่งและสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการชั่วคราว
ข้อ 5 เมื่อ ป.ป.ช. ป.ป.ท. และสตง.แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ 1-4 ต่อหน่วยงานต้นสังกัดแล้วให้หน่วยงานนั้นเร่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือสอบสวนเพื่อดำเนินการทางวินัย กรณีไม่พบว่ามีความผิดให้รายงานนายกฯ เพื่อพิจารณาเปลี่ยนแปลงคำสั่งต่อไป
ข้อ 6 ให้ผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ 5 กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ตามบัญชีแนบท้าย พ้นจากการเป็นกรรมการและการดำรงตำแหน่งในกองทุนดังกล่าว และให้ผู้มีอำนาจหน้าที่แต่งตั้งกรรมการใหม่
ข้อ 7 ให้กำหนดตำแหน่ง นายจเร พันธุ์เปรื่อง ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกฯ ตามประกาศสำนักนายกฯ ลงวันที่ 3 พ.ย.2558 ไว้ในสำนักงานปลัดสำนักนายกฯ ตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. 2558
ข้อ 8 การรับเงินเดือน สิทธิประโยชน์ หรือประโยชน์ตอบแทนใดๆ ของผู้มีรายชื่อในกลุ่มต่างๆ ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ
ข้อ 9 กรณีมีปัญหาให้ ก.พ.หรือส่วนราชการเจ้าของเรื่องเสนอปัญหาและแนวทางให้ นายกฯ วินิจฉัย ถือเป็นที่สุด
ข้อ 10 นายกฯหรือครม.แล้วแต่กรณี อาจมีคำสั่งหรือมติเปลี่ยนแปลงคำสั่งนี้ได้ตามที่เห็นสมควร ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป สั่งวันที่ 5 ม.ค. 2559
สำหรับบัญชีแนบท้ายคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 1/2559
กลุ่มที่ 1 ผู้บริหารสถานศึกษา (2 ราย) นายสุเมธ แย้มนุ่น รักษาการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ นายอร่าม ศิริพันธุ์ หัวหน้าภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กลุ่มที่ 2 ข้าราชการพลเรือน 2 ราย กลุ่มที่ 3 ผู้บริหาร อปท. 44 ราย กลุ่มที่ 4 ข้าราชการ อปท.4 ราย กลุ่มที่ 5 กรรมการสสส. (7 ราย) 1.นพ.วิชัย โชควิวัฒน กรรมการสสส. และรองประธานคนที่สอง 2.นายสงกรานต์ ภาคโชคดี 3.นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ 4.นายยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ 5.นายสมพร ใช้บางยาง 6.รศ.ประภัทร นิยม 7.นายวิเชียร พงศธร
'บิ๊กตู่'ฟัน59 ราย อ.จุฬา-7 บิ๊กสสส. ล็อต 3 ในบัญชีตรวจสอบ หมอวิชัยก็โดนพ้นเก้าอี้ นายกข้องใจปฏิทิน'แม้ว' ถามจะเอาไปบูชากันหรือ ปปช.สอบทรัพย์สิน'เฉลิม'
'บิ๊กต๊อก'ลั่นลุยสอบต่อยันผลออกมาจะตอบทุกข้อสงสัย 'บิ๊กโด่ง'ติงหน่วยสอบไม่ควรพูดล่วงหน้า แนะรอผลชัดเจนก่อน 'เต้น'ชี้ผลสอบ กห.อยู่ที่เดิมแค่รวมข้อมูลให้ สตง. 'บิ๊กตู่'ถามแจกปฏิทิน'แม้ว-ปู'เหมาะหรือไม่ งัด ม.44 เช็กบิล ขรก.ล็อต 3
@ 'บิ๊กตู่'นำครม.ตักบาตรปีใหม่
เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 5 มกราคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ร่วมพิธีเจริญพุทธมนต์พระสงฆ์จำนวน 9 รูป ภายในตึกสันติไมตรีหลังนอก จากนั้นเป็นประธานพิธีตักบาตรพระสงฆ์ 59 รูป เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2559 ที่บริเวณสนามหญ้าข้างตึกไทย
คู่ฟ้า ภายในทำเนียบรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การร่วมทำบุญตักบาตรในช่วงเทศกาลปีใหม่ครั้งนี้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม มีสีหน้าสดชื่นยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นพิเศษ หลังจากที่กระทรวงกลาโหมแถลงถึงผลการสอบการจัดจ้างโครงการอุทยานราชภักดิ์ไม่พบการทุจริต โดยยืนติดกับ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แต่ทั้งสองก็ไม่พูดคุยกันแต่อย่างใด หลังจากร่วมทำบุญ พล.อ.ประยุทธ์และรัฐมนตรีได้เข้าประชุม ครม.เป็นนัดแรกของปี 2559
@ ถามแจกปฏิทินแม้ว-ปูเหมาะไหม
พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์หลังการประชุม ครม.ถึงกรณีหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือห้ามแจกปฏิทินของนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า "มันสมควรหรือไม่ ผมขอถามก่อนว่ามันสมควรหรือไม่ ผมไม่รู้ ขอถามสื่อก่อนว่ามันสมควรหรือไม่ ปฏิทินแบบนี้ผมไม่ได้บอกว่าแจกผิดหรือแจกถูก แต่ถามว่าปฏิทินดังกล่าวเหมาะสมหรือไม่ ทำมาเพื่ออะไร แล้วประเทศนี้ บ้านเมืองนี้มันว่าอย่างไรหรือ แล้วผิดกฎหมายหรือเปล่า ไม่เช่นนั้นก็เอาคนที่ทำผิดกฎหมายมาทำปฏิทินแจกสิ แค่นั้นนะเข้าใจแล้ว ไม่ใช่การเมือง ไม่ได้ไปปิดกั้นอะไรทั้งสิ้น
ผมถามว่า ความถูกต้องมันอยู่ตรงไหน เจ้าหน้าที่เขาต้องทำเท่าที่เขาทำได้ เพราะเขารู้ว่ามีการกระทำผิดกฎหมาย แล้วทำไมจะเอาไปบูชากันหรืออย่างไร คนดีๆ ตั้งเยอะแยะ ถ้าคิดว่าไม่ได้ผิดจริงก็กลับมาจะทำปฏิทินให้หลายๆ เล่มด้วย ถามเรื่องอื่น เรื่องไร้สาระขี้เกียจตอบ"
@ บอกให้เอาคนติดคุกมาใส่บ้าง
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะตอบจดหมายของพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่ตั้งคำถามเรื่องนี้อย่างไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า "ทำไมผมต้องไปตอบเขาล่ะ ผมนี่นะต้องไปตอบ คิดกันเอาเองว่ามันถูกหรือมันผิด มีคนทำผิดกฎหมายหรือไม่ในปฏิทินนั้น แล้วเธอต้องการให้ออกหรือปฏิทินดังกล่าว ถามว่าผมเป็นศัตรูกับเขาหรือเปล่าก็เปล่า ผมเป็นศัตรูกับพรรคเพื่อไทยก็เปล่าอีก ผมทำหน้าที่ของผม แล้วทำไมคุณไม่เอาคนอื่นมาใส่ไว้ในปฏิทินบ้างเล่า ติดคุกกันอยู่เต็มไปหมด ในคุกนั่นไง เอามาออกบ้างสิ คดีเยอะแยะไปในคุกเอาออกมาทำปฏิทินกันให้หมด
เมื่อถามว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์วางตัวเหมาะสมหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบสวนว่า "ไปถามเขาสิ" จากนั้นเดินออกจากวงให้สัมภาษณ์ทันที พร้อมโบกมือบ๊ายบาย ไม่ว่าผู้สื่อข่าวจะตั้งคำถามอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่หันมาตอบอีกเลย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์เพียง 7 นาที 30 วินาทีเท่านั้น
@ บิ๊กป๊อกชี้ไม่เหมาะพูดชื่ออุทยานฯ
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.) ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุม ครม.ถึงกรณีที่มีการเปลี่ยนชื่อและกรรมการมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ฯว่า หากจะมีเสนอเปลี่ยนก็เป็นทางมูลนิธิเสนอขอเปลี่ยน ไม่ใช่กระทรวงมหาดไทยขอเปลี่ยน อยู่ในขั้นตอน จึงไม่เหมาะสมที่จะพูดเพราะยังไม่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ไม่ควรไปวิพากษ์วิจารณ์
@ ลั่นพร้อมฟันอปท.ทุจริต
พล.อ.อนุพงษ์กล่าวถึงกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่าได้ส่งรายชื่อข้าราชการท้องถิ่นที่อยู่ในบัญชีข้าราชการทุจริตชุดที่ 3 ให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงไปดำเนินการว่า ทางนายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รับรายชื่อมาแล้ว และรายงานตนด้วยวาจาแต่ยังไม่เห็นหนังสือ โดยมีรายชื่อในระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) แต่จำไม่ได้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ ส่วนจะดำเนินการลงโทษนั้นจะทำให้เร็วที่สุดตามขั้นตอนกฎหมาย จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนการทำหน้าที่ตามลำดับเพื่อหาข้อเท็จจริงต่อไป
"ส่วนใดที่สอบสวนและชี้มาแล้วว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริต ก็ลงโทษได้ทันที แต่อาจจะมีที่ล่าช้าในกรณีที่ไปเกี่ยวข้องกับหลายคนที่ต้องตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อให้ความยุติธรรมกับผู้ถูกกล่าวว่า อย่างไรก็ตามมาตรการของรัฐบาลได้เร่งรัดลงโทษผู้ที่มีมูลเกี่ยวข้องกับการทุจริต โดยไม่ต้องรอให้สอบสวนเสร็จ ซึ่งบัญชี 1-2 ที่ผ่านมาดำเนินการในลักษณะเดียวกันนี้ โดยให้โยกไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ต้องปฏิบัติหน้าที่ ส่วนครั้งที่ 3 ต้องรอดูจากรายชื่อที่ส่งมาก่อน" พล.อ.อนุพงษ์กล่าว
@ ชี้'แม้ว-ปู'ไม่ต้องใส่รูปปฏิทิน
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งงดแจกปฏิทินรูปคู่ของนายทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย นำมาแจกให้กับประชาชนที่มารอต้อนรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์และคณะ ในระหว่างการลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 4 มกราคม จะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ไม่มีหรอก เขาทำไปตามวิจารณญาณว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมอย่างไร
"ขอเรียนว่าอยากให้สังคมเป็นผู้พิจารณาว่าเจตนาเป็นเรื่องการเมืองหรือไม่ หากไม่เกี่ยว ไม่เป็นไร แต่คนที่สั่งดูแล้วเห็นว่าน่าเกี่ยวการเมือง และความเห็นส่วนตัวมองว่าการแจกปฏิทินทำได้ แต่ถ้าต้องการให้เกิดคุณประโยชน์กับผู้รับ ไม่จำเป็นต้องใส่รูปก็ได้ เพราะผมไม่ค่อยเห็นใครเอารูปส่วนตัวไปใส่ปฏิทินแจก และผมไม่ได้ไปมองในแง่การเมือง" พล.อ.อนุพงษ์กล่าว และว่า รัฐบาลต้องการให้สถานการณ์ทางการเมืองนิ่ง เพราะบ้านเมืองมีความขัดแย้งกันมากพอควรและรัฐบาลไม่ใช่คู่ขัดแย้ง แต่ถ้าใครจะทำให้เกิดกลุ่มคนมามีปัญหาทำให้ขัดแย้งกันอีกไม่ว่าเรื่องใด ก็ต้องมีมาตรการที่จะต้องทำไม่ให้เรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้น
@ ทหารเรียกแกนแดงหญิงคุย
เวลา 13.00 น. ที่เรือนรับรองมณฑลทหารบกที่ 23 (มทบ.23) ค่ายศรีพัชรินทร์ จ.ขอนแก่น พ.อ.สมชาย ครรภาฉาย รอง ผบ.มทบ.23 พร้อม พ.ท.พิทักษ์พล ชูศรี หัวหน้าชุดปฏิบัติการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยพื้นที่ขอนแก่น และนายสัมภาษณ์ ศรีหงส์ ป้องกันจังหวัดขอนแก่น ได้เรียกนางปิญฉาย นาชัย อายุ 72 ปี อยู่ที่ 139/25 หมู่ 4 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น ประธานกลุ่มสตรี 20 จังหวัดภาคอีสาน และนางอรทัย โพธิ์ศรี อายุ 48 ปี อยู่ที่ 91 หมู่ 4 ต.กระนวน อ.ซำสูง จ.ขอนแก่น แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงขอนแก่น รายงานตัวและปรับทัศนคติ ที่ร่วมกันแจกจ่ายปฏิทินปีใหม่ ที่มีภาพของนายทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รวมทั้งการออกมาเคลื่อนไหวในขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และอดีต ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย พบปะประชาชนและทำบุญในเทศกาลปีใหม่ในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ใช้เวลาคุยนานกว่า 1 ชั่วโมง
จากนั้นนางปิญฉายกล่าวว่า การหารือไม่ได้มีความเคร่งเครียดเนื่องจากเป็นการทำงานร่วมกันของทุกฝ่ายที่มีการติดต่อประสานงานกันเรื่อยมา ในการเข้าหารือนอกจากการที่กำลังทหารจะขอบคุณที่ไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงหรือเหตุการณ์ใดๆ ในพื้นที่ที่ขัดคำสั่งของ คสช. ในการที่กลุ่มมวลชนมาร่วมกิจกรรมหรือให้การต้อนรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ลงพื้นที่พบปะประชาชนและร่วมทำบุญในพื้นที่ จ.ขอนแกน เมื่อวันที่ 4 มกราคม
@ แจกปฏิทินขัดคำสั่งคสช.หรือ
"แต่ประเด็นที่ต้องหารือคือการแจกปฏิทินปีใหม่ 2559 ที่มีภาพของอดีตนายกรัฐมนตรี 2 คนในหน้าปก โดยส่วนตัวได้รับการแจกจ่ายจากอดีต ส.ส.มา 20 ชุดเท่านั้น และแจกจ่ายให้กับผู้ที่มีความสนิทสนมกันไปหมดแล้ว คงมีผู้ที่ไม่ได้รับอีกจำนวนมาก ส่วนตัวมองว่าปฏิทินดังกล่าวเป็นการมอบของขวัญให้กันตามปกติในช่วงเทศกาลปีใหม่และปฏิทินก็เป็นของขวัญที่ทุกหน่วยงานได้ให้กันอยู่แล้ว ซึ่งไม่ทราบว่าผิดระเบียบหรือขัดต่อคำสั่งของ คสช.แต่อย่างใด แต่เมื่อทางฝ่ายทหารแจ้งมาก็พร้อมที่จะปฏิบัติตามและแจ้งเตือนไปยังญาติพี่น้องหรือผู้ที่ได้รับแจกจ่ายจากอดีต ส.ส.ว่าให้ระมัดระวังในการแจกจ่ายปฏิทินด้วย" นางปิญฉายกล่าว
@ ทหารชี้แจกที่โล่งขัดคำสั่งคสช.
พ.อ.สมชาย กล่าวว่า การแจกจ่ายปฏิทินปีใหม่ไม่ผิด แต่ที่ตรวจพบและเชิญมารายงานตัว รวมทั้งการจัดส่งเจ้าหน้าที่ติดตามความเคลื่อนไหวในช่วงที่อดีตนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ที่ขอนแก่น นั้นพบว่าแจกจ่ายในพื้นที่โล่งและในเขตชุมชน ถือเป็นการเข้าข่ายของการหวังผลทางการเมืองที่ชัดเจน และขัดต่อคำสั่งของ คสช. ซึ่งชุดปฏิบัติการของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยพื้นที่ขอนแก่นได้ตรวจยึดปฏิทินที่มีการลงนามโดยอดีตนายกรัฐมนตรีมาได้ทั้งหมด 11 ชุด และป้ายข้อความต้อนรับอีก 1 แผ่น ตรวจยึดได้ในเขต อ.บ้านไผ่
"หากแจกจ่ายในที่ลับหรือในบ้านและไม่กระทำการที่เปิดเผยไม่ได้ผิดอะไร แต่ห้ามแจกจ่ายในสถานที่ราชการ หรือสถานที่ของรัฐ หรือในการประชุม สัมมนา หรือการชุมนุมต่างๆ ที่ขัดต่อคำสั่งของ คสช.แล้วนั้น กำลังทหารในพื้นที่จะตรวจสอบความเคลื่อนไหวและตรวจยึดอย่างจริงจังมากยิ่งขึ้น" พ.อ.สมชายกล่าว
@ เล็งเรียกชู3นิ้วแจ้งข้อหา
พ.ท.พิทักษ์พล กล่าวว่า ช่วงของการลงพื้นที่ของอดีตนายกรัฐมนตรีที่ จ.ขอนแก่น พบว่ามีกลุ่มมวลชนไปให้การต้อนรับและร่วมในกิจกรรมต่างๆ อย่างมาก ตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดและตรวจสอบภาพถ่ายของเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปรักษาการณ์และติดตามความเคลื่อนไหวของอดีตนายกรัฐมนตรี พบว่าแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงที่เป็นที่รู้จักกันของกลุ่มการเมืองในฝั่งของพรรคเพื่อไทยและ นปช.เรียกว่า "ป้าวาส ไม้ขอน" มีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วยการชู 3 นิ้ว ต่อต้านรัฐบาลและ คสช.
"เจ้าหน้าที่ฝ่ายการข่าวได้ตรวจสอบข้อมูลส่วนตัว รวมไปถึงที่อยู่เพื่อเรียกมารายงานตัวและรับทราบข้อกล่าวหาเพราะถือเป็นการขัดคำสั่งของ คสช.ที่ชัดเจน" พ.ท.พิทักษ์พลกล่าว
@ ป้ายหราปชป.อวยพรปีใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีป้ายคัตเอาต์ติดตั้งในเส้นทางอุบล-เขื่องใน-ยโสธร เป็นป้ายขนาดใหญ่มีรูปนายวิฑูรย์ นามบุตร นายวุฒิพงษ์ นามบุตร อดีต ส.ส.อุบลราชธานี และนางณิรัฐกานต์ ศรีลาภ อดีต ส.ส.ยโสธร พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมข้อความอวยพรปีใหม่ ติดตั้งอยู่ 2 ข้างทาง ทั้งนี้ผู้พบเห็นต่างตั้งคำถามว่าขัดต่อคำสั่งของ คสช. หรือไม่
@ 'บิ๊กต๊อก'สอบต่อราชภักดิ์
พล.อ.ไพบูลย์ ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมประชุม ครม.ถึงการตรวจสอบโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ว่า ที่ผ่านมาได้ระมัดระวังที่จะให้สัมภาษณ์ เพราะมีคนใช้ประโยชน์ในเรื่องนี้ในทางการเมือง จึงไม่อยากให้สัมภาษณ์ ควรปล่อยให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ทำงานอย่างเต็มที่ ได้เชิญทางสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มาพูดคุยและทาง สตง.ได้รายงานความคืบหน้าในระดับหนึ่ง
"หลังจากนี้ คงต้องรอประสานงานกับทางกระทรวงกลาโหมอีกครั้ง เพื่อให้งานคืบหน้าได้ไวขึ้น อย่างไรก็ตาม ทาง ศอตช.จะตรวจสอบทั้งหมด รวมไปถึงผู้รับผิดชอบโครงการด้วย แต่ขอเวลาในการทำงานสักระยะหนึ่ง" พล.อ.ไพบูลย์กล่าว
เมื่อถามกรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย จะยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า ทำได้ เป็นเรื่องดี จะได้นำไปประกอบการพิจารณา แต่ท้ายที่สุดอยากให้เคารพเหตุและผลของกฎหมายด้วย ทั้งนี้ เมื่อทาง ศอตช.มีผลสรุปออกมาแล้ว ตนจะเชิญทุกฝ่ายที่ยังมีข้อสงสัยมาพูดคุยกัน เพราะตนเข้าใจดีว่าสังคมอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการตรวจสอบในเรื่องดังกล่าว ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะทำงานโดยตอบโจทย์สังคมให้ได้ ตนจะไม่เข้าไปก้าวก่ายอย่างแน่นอน
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความเห็นอย่างไรที่สังคมอาจมองว่าพอเป็นเรื่องของรัฐบาลกลับไม่ดำเนินการอะไร แต่กลับตรวจสอบอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า "ผมไม่เคยปฏิบัติเช่นนั้น และเข้าใจดีว่าสังคมคิดอะไรอยู่ แต่ขอให้คิดแบบมีเหตุมีผลด้วย อย่าใช้ความรู้สึกหรือใช้จินตนาการ เมื่อผลสอบออกมาแล้ว ผมจะชี้แจงและจะเปิดโอกาสให้ซักถามอย่างละเอียดอย่างแน่นอน"
@ บิ๊กป้อมย้ำไม่พบโกง'ราชภักดิ์'
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีการตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์ ว่า ได้สอบแล้วเรื่องกระบวนการใช้เงิน ไม่มีอะไรที่น่าสงสัย นอกจาก สตง.จะเข้ามาตรวจสอบในเรื่องของภาคเอกชน ก็ดูว่าทางนั้นเขาจะสอบไปอย่างไร ส่วนตัวคิดว่าในส่วนของโครงการคงไม่มีอะไรแล้ว ต่อไปนี้เป็นเรื่องของตัวบุคคลแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่บางเรื่องอาจจะขัดระเบียบสำนักนายกฯกรณีงบกลาง พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ก็ว่ากันไป หน่วยงานอื่นก็ต้องมาดู เช่น การเรี่ยไรเงิน แต่คงไม่ใช่เรื่องของการทุจริต เมื่อถามว่า สถานการณ์นิ่งขึ้นหรือไม่หลังผลสอบออกมา เพราะที่ผ่านมาพรรคการเมืองและกลุ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ตรวจสอบ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า "ตอบแทนผมทีสิ ตอบสิ ตอบสิ ตอบ"
เมื่อถามว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการฟันธงว่าถูกหรือผิด พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า จะฟันได้อย่างไร ไม่มีอำนาจ ทั้งยังไม่พบว่ามีการเกี่ยวข้องกับการทุจริต แล้วจะตอบอย่างไร
@ 'บิ๊กโด่ง'วอนสอบให้ยุติธรรม
พล.อ.อุดมเดชกล่าวถึงผลสอบโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ที่กระทรวงกลาโหมตรวจสอบไม่พบความผิดปกติการใช้งบประมาณว่า เริ่มปีใหม่แล้ว การตรวจสอบของคณะกรรมการชุดต่างๆ ดำเนินการอยู่ ได้ฟังหัวหน้าส่วนที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบ บางหน่วยงานอยากทำความเข้าใจว่า ขอให้รู้รายละเอียดให้ถ่องแท้ เช่น เรื่องที่เกี่ยวกับโรงหล่อต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องของเอกชน จึงต้องไปดูให้ดีเสียก่อน และให้คณะกรรมการไปตรวจสอบว่า เอกชนกับเอกชนเป็นอย่างไร ทำไมคณะกรรมการจึงบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการ และกำลังพลของกองทัพบกในปีที่มีการก่อสร้าง
@ ติงหน่วยสอบอย่าพูดล่วงหน้า
"ผมเคยถูกถาม แล้วไปตั้งกันอยู่คำหนึ่ง ผมไม่ชอบเลยรังเกียจคำๆ นั้นด้วย คำหัวๆ อะไรนั่นแหละ ผมเพียงได้รับคำถามนั้นมา แล้วมาบอกว่า อาจเป็นความจริงบางส่วน ผมขยายความในโอกาสต่อมาว่า เป็นเรื่องของเอกชนกับเอกชน เขาดำเนินการกันไป เมื่อทราบภายหลังแล้วพยายามไปพูดคุย สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีที่กลับมาเกิดในช่วงสุดท้าย นั้นหมายความว่า เราได้แก้ปัญหาแล้ว เป็นเรื่องของบุญกุศล จะเสียเงินเสียหายเพิ่มเติมอะไร และเราได้แก้ไข จะมาบอกว่าละเว้น มาตรา 157 อะไร ผมดูแล้วก็ไม่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการหรือกำลังพล กับโรงหล่อ ซึ่งไม่มีเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องเอกชน สิ่งที่ผมยกตัวอย่าง เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ในส่วนต่างๆ เข้าใจ อย่าเพิ่งไปเอ่ยอะไร ว่ามีความไม่ถูกต้อง หรือทุจริตแน่นอน แบบนี้ไม่ถูกต้อง เพราะจะเกิดความไม่ยุติธรรม ถ้าท่านเป็นหน่วยตรวจสอบ ถ้าไม่ยุติธรรม ท่านก็ต้องรับผิดชอบต่อ มันอยู่ที่ท่านออกมาพูดก่อนล่วงหน้าด้วย ดังนั้น ก็ควรให้ชุดหน่วยของท่านเข้าไปตรวจสอบกันตามปกติ"
เมื่อถามว่า สบายใจแล้วใช่หรือไม่ พล.อ.อุดมเดชกล่าวพร้อมกับโบกมือว่า "ไม่เป็นไรๆ" จากนั้น ขึ้นรถเดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลทันที
@ 'ณัฐวุฒิ'ชี้สอบทุจริตไม่คืบ
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า การแถลงของคณะกรรมการกระทรวงกลาโหมกลับได้ข้อสรุปว่า สถานการณ์อุทยานราชภักดิ์ยังอยู่ ณ จุดเดิม ทั้งกองทัพบกและกระทรวงกลาโหมอธิบายความในทำนองไปไหนมาสามวาสองศอก ไม่ได้ระบุถึงสาระสำคัญที่สังคมสงสัย สิ่งที่แถลงมาแทบไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอะไร แค่รวบรวมข้อมูลทั้งหมดส่งให้ สตง.ตั้งแต่แรกทุกอย่างก็เดินหน้าได้
"ผมไม่คิดว่าการดึงเวลานานออกไปจะทำให้เรื่องนี้คลี่คลายลง แต่กลับจะทำให้แรงกดดันทั้งหมดไปตกอยู่กับ ศอตช. ถือเป็นหน่วยสุดท้ายที่จะจัดการเรื่องนี้ให้กระจ่าง หากผลสอบของ ศอตช.ออกมาทำนองเดียวกับสองหน่วยงานที่ผ่านมา เชื่อว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นเรื่องนโยบายปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาล" นายณัฐวุฒิกล่าว
และว่า เพื่อเร่งรัดกระบวนการให้คืบหน้าโดยเร็ว ขอชี้เป้าให้ ศอตช.ไปตรวจสอบข้อมูลราคาการจัดสร้างรูปหล่อขนาดใหญ่ของหลายหน่วยงานว่า ใช้วัสดุเหมือนหรือแตกต่างกับโครงการนี้อย่างไร งบประมาณที่ใช้ใกล้เคียงกันหรือไม่ ถ้าเริ่มต้นจากตรงนี้เชื่อว่าจะพบข้อเท็จจริงสำคัญอีกมาก จะรอดูผลสรุปจาก ศอตช. เพราะไม่อยากถูกกล่าวหาว่าไปหาเรื่องรัฐบาล ระหว่างนี้จะเก็บรวบรวมข้อมูลไปเรื่อยๆ เพราะเวลาไม่ได้กดดัน
@ รบ.มั่นใจผ่านเรื่องสาหัสปี 59
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมครม.ว่า หลายภาคส่วนได้วิเคราะห์และเป็นห่วงสถานการณ์บ้านเมืองในปี 2559 ว่า ค่อนข้างหนักหนาสาหัสพอสมควร แต่ ครม.คิดว่า จะสามารถผ่านพ้นไปได้ ถ้าประชาชนใช้วิจารณญาณในการรับฟังข้อมูลให้รอบด้านอย่างเปิดใจ รวมถึงข้อมูลของกลุ่มที่พยายามให้สิ่งที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงด้วย โดยขอให้ชั่งใจว่า ข้อมูลที่รัฐบาลให้ว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น
แล้วมีการทำอะไรสำเร็จถึงขั้นไหน ทั้งหมดเหล่านี้จะทำให้เราผ่านพ้นความคาดหมายที่สังคมส่วนหนึ่งที่มองว่าปีนี้จะสาหัสไปได้
"เช่นเดียวกับเรื่องที่เกี่ยวกับการเมือง การเข้าสู่อำนาจ การเลือกตั้ง หรือการตรวจสอบที่หลายส่วนได้ให้ความเห็นมากขึ้น โดยนายกฯไม่ได้ปฏิเสธเลยว่าเราต้องการประชาธิปไตยเหมือนประเทศอื่น" พล.ต.สรรเสริญกล่าว
พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่า นายกฯย้ำให้รองนายกฯกับรัฐมนตรีทุกคนถึงแผนงานของปี 2559 โดยต้องการให้ทุกหน่วยงานหยิบเรื่องสำคัญ 4 เรื่องมาเป็นตัวตั้ง ดังนี้ 1.การบริหารงานราชการปกติของหน่วยงานราชการ 2.การปฏิรูป 3.การแก้ไขปัญหาเร่งด่วน และ 4.การขับเคลื่อนกิจการสำคัญ ซึ่งในแผนงานดังกล่าว นายกฯอยากให้รองนายกฯ และรัฐมนตรีทุกคน หยิบทั้ง 4 เรื่องมาลงรายละเอียดเพื่อแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย
@ 'วิษณุ'ชงรุกงานพีอาร์มากขึ้น
พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่า นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นำเสนอผลการหาแนวทางในการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลรูปแบบใหม่ โดยปีใหม่นี้ จะประชาสัมพันธ์ที่เป็นรูปเป็นร่างมากกว่าเดิม จะกำหนดให้ในแต่ละกระทรวงจะต้องเสนอโฆษกกระทรวงขึ้นมา โดยให้ไปทบทวนเรื่องเฟ้นหาโฆษกกระทรวงที่มีความสามารถขึ้นมาใหม่ จะเป็นคนเดิมหรือคนใหม่ก็ได้ แต่จะต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงเพื่อนำเสนอ ครม.ให้รับทราบต่อไป
"เพื่อให้สื่อมวลชนมีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน นายกฯกล่าวกับที่ประชุม ครม.ว่าจะลดการชี้แจงของตัวเองลง อย่างที่ได้ปฏิบัติให้เป็นตัวอย่างแล้ว โดยจะให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงชี้แจงในรายละเอียดเพิ่มมากขึ้น ร่วมกับโฆษกกระทรวงต่างๆ" พล.ต.สรรเสริญกล่าว
@ มีชัยเมินค้านนายกฯคนนอก
ที่รัฐสภา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงเสียงวิจารณ์ การเปิดช่องให้มีนายกรัฐมนตรีคนนอก ว่า ต้องโทษพรรคการเมือง จะมาโทษรัฐธรรมนูญไม่ได้ เพราะพรรคการเมืองจะเป็นผู้เสนอรายชื่อนายกรัฐมนตรี ก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งผลโพลเห็นสอดคล้องกับภาพรวมในเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ ส่วนในช่วงนี้ที่ กรธ.ถูกวิจารณ์เยอะ จะทำให้เสียความน่าเชื่อถือหรือไม่นั้น มองว่า ความน่าเชื่อถือของตนมีเท่าไหนก็ยังมีอยู่เท่านั้น เพราะความน่าเชื่อถือ ไม่ได้อยู่ที่คำพูด แต่อยู่ที่การกระทำ
"ส่วนความคืบหน้าเรื่องความปรองดองนั้น อนุกรรมการได้รายงานเข้ามา ซึ่งได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การปรองดองในวันข้างหน้า กรธ.ได้เขียนแล้วในหลายส่วน เช่น การเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียว จะช่วยเรื่องการปรองดองทำให้ไม่มีฝ่ายใดชนะจนอีกฝ่ายอยู่ไม่ได้ หรือการให้อำนาจผู้นำฝ่ายค้าน ขอเปิดอภิปรายเสนอแนะรัฐบาล เพื่อหาทางออกให้ประเทศ หากเกิดวิกฤตการเมืองขึ้น แต่สำหรับการปรองดองจากสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ยังคิดไม่ออก ไม่รู้จะนำบทสวดมนต์บทไหนไปใส่ไว้แล้วถึงจะเลิกขัดแย้ง อีกทั้งการปรองดองยังต้องอาศัยการกระทำอีกหลายอย่างและต้องใช้เวลา กรธ.อาจจะต้องเสนอให้รัฐบาลไปทำ" นายมีชัยกล่าว
@ ไม่ต้องเขียนองค์กรปรองดอง
ผู้สื่อข่าวถามว่า การปรองดองจำเป็นต้องเขียนในรัฐธรรมนูญเพื่อตั้งองค์กรใหม่ขึ้นมาทำหน้าที่หรือไม่ นายมีชัยกล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องเขียนในรัฐธรรมนูญก็ได้ การตั้งคณะกรรมการหรือองค์กร นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสามารถทำได้เองเลยหรืออาจจะใช้มาตรา 44 ทำก็ได้
เมื่อถามว่า จำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญชั่วคราว มาตรา 37 เกณฑ์การออกเสียงประชามติ ที่ระบุให้ใช้เสียงกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อความชัดเจนหรือไม่ นายมีชัยกล่าวว่า ชัดเจนอยู่แล้วว่าเสียงประชามติคือการใช้เสียงข้างมากของคนที่ออกมาลงคะแนน ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็เข้าใจแบบนี้เหมือนกัน
@ ชี้'มาร์ค'ไม่ขัดคุณสมบัติ
เมื่อถามถึงคำพิพากษาศาลแพ่งที่ชี้ว่าคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ 1163/2555 ให้ปลดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ออกจากราชการ ชอบด้วยกฎหมาย จะส่งผลให้นายอภิสิทธิ์ขาดคุณสมบัติลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ นายมีชัยกล่าวว่า ไม่ได้เป็นการกระทำความผิดตามคุณสมบัติผู้ลงสมัคร ส.ส.ที่เราเขียนไว้ชัดเจน ว่าห้ามผู้ที่ทุจริตทำผิดทางวินัยจนโดนปลดหรือไล่ออกจากราชการ กรณีของนายอภิสิทธิ์เกิดจากคุณสมบัติการเข้ารับราชการไม่ถูกต้อง ยืนยันว่า กรธ.ไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง เพราะรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมาก็เขียนแบบนี้
@ ชงแผนปฏิรูปศึกษามีผลทุกรบ.
เมื่อเวลา 13.30 น. ที่รัฐสภา กรธ.ประชุมเพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ โดยนายมีชัยทำหน้าที่เป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมนำเสนอประเด็นการปฏิรูปการศึกษาและการปฏิรูปการบังคับใช้กฎหมาย
นายอุดม รัฐอมฤต โฆษก กรธ. ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการปฏิรูป การศึกษา และการบังคับใช้กฎหมาย กรธ.นำเสนอว่า การปฏิรูปการศึกษาสามารถสรุปประเด็นที่ต้องเขียนในรัฐธรรมนูญออกเป็น 5 เรื่อง คือ ต้องเขียนแผนการศึกษาให้มีสภาพการบังคับใช้เทียบเท่ากับกฎหมายและมีผลผูกพันกับทุกรัฐบาล รวมถึงต้องให้รัฐบาลแถลงและรายงานความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าวปีละครั้งต่อรัฐสภา ต้องมีกลไกบังคับใช้รัฐธรรมนูญด้านการศึกษาและมีกลไกส่งเสริมการคิดการตรวจสอบจากภาคประชาชน ต้องกระจายอำนาจและงบประมาณในการจัดการศึกษาสู่ท้องถิ่นและสถานศึกษา ต้องปฏิรูปกระบวนการงบประมาณด้านการศึกษาให้เป็นการจัดสรรตามอุปสงค์เป็นรายบุคคล และต้องปฏิรูปนโยบายการศึกษาให้เป็นเชิงประจักษ์เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการศึกษาชาติ
@ แนะปฏิรูปกม.ตำรวจ 3 ข้อ
นายอุดมกล่าวถึงการปฏิรูปการบังคับใช้กฎหมายว่า ได้ศึกษาปัญหาตำรวจ เพราะถือว่าตำรวจมีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย และเจ้าหน้าที่ตำรวจยังกระจายอยู่ทั่วประเทศ จึงเป็นเรื่องใกล้ตัวมากที่สุด จึงได้ศึกษาแนวทางปัญหาแบ่งออกเป็น 3 เรื่อง คือ 1.ตำรวจมักจะถูกแทรกแซงทางการเมือง ส่งผลถึงเรื่องการบริหารงานบุคคล มีการโยกย้ายทุกครั้งที่ฝ่ายการเมืองครอบงำ เป็นแนวทางระบบอุปถัมภ์ ไม่มีการคำนึงถึงระบบอาวุธโสหรือความสามารถ ดังนั้นต้องลดการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง และต้องบัญญัติหลักเกณฑ์ในการบรรจุและโยกย้ายให้ชัดเจนมากขึ้น
"2.จัดการงานสอบสวนให้มีความเป็นภววิสัยและมีประสิทธิภาพ มีหลักประกันปราศจากการแทรกแซง 3.ต้องมีการถ่ายโอนภารกิจที่ไม่ใช่ภารกิจหลักไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง" นายอุดมกล่าว
@ กรธ.ยังไม่สรุปใส่ปฏิรูปลงรธน.
เวลา 15.00 น. นายอมร วาณิชวิวัฒน์ โฆษก กรธ. แถลงผลการประชุมว่า การเสนอผลการศึกษาของอนุกรรมการปฏิรูปการศึกษาและการปฏิรูปการบังคับใช้กฎหมายนั้น ที่ประชุมได้รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว แต่ส่วนจะบัญญัติลงในรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น จะหารือกันในช่วงที่ไปประชุมกันนอกสถานที่
"การปฏิรูปมีการพูดกันต่างๆ นานา แต่ที่ประชุมเห็นว่าหากจะบัญญัติลงในรัฐธรรมนูญต้องเป็นเรื่องที่เร่งด่วนและที่ประชุมเห็นว่าเรื่องเร่งด่วนมีสองเรื่อง คือ การศึกษาและการบังคับใช้กฎหมาย" นายอมรกล่าว
@ วางกรอบกก.ปฏิรูปตร.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การศึกษาแนวทางการปฏิรูปการศึกษาและการบังคับใช้กฎหมายกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ทั้งหมด 11 คน ให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และไม่ให้มีอำนาจแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แต่ให้ทำหน้าที่กำหนดนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พร้อมเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ประกอบไปด้วย กรรมการ 16 คน มีวาระคราวละ 2 ปี และดำรงตำแหน่งไม่เกิน 2 วาระ มีประธาน ก.ตร. ให้คัดเลือกจากอดีตรอง ผบ.ตร.หรือเทียบเท่า โดยรับการลงคะแนนเลือกตั้งจากตำรวจ ยศ พ.ต.อ.ขึ้นไป
ขณะที่กรรมการ ก.ตร.โดยตำแหน่ง ประกอบด้วย ผบ.ตร. เลขาธิการ กพ. จเรตำรวจแห่งชาติ และรอง ผบ.ตร.หรือเทียบเท่าจำนวน 6 คน อดีตข้าราชการตำรวจตำแหน่งผู้บัญชาการหรือเทียบเท่า 3 คน ผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก ได้แก่ ผู้แทนจาก ครม. ผู้แทนจากวุฒิสภา และผู้มีความรู้จากสาขาวิชาต่างๆ จำนวน 2 คน
@ แยกการสอบสวนออกตร.
นอกจากนี้ให้แยกงานสอบสวนออกจาก ตร. และไปตั้งเป็นสำนักงานสอบสวนคดีอาญาเป็นหน่วยงานระดับกรม สังกัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งสำนักงานสอบสวนคดีอาญา ประกอบด้วย สำนักคดีอาญา สำนักนิติวิทยาศาสตร์ สำนักพิสูจน์หลักฐาน และสำนักทะเบียนประวัติอาชญากร หากการปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพอาจย้ายกรมสอบสวนคดีพิเศษมาสังกัดสำนักงานดังกล่าวด้วย เพื่อให้การดำเนินคดีอาญาชั้นสอบสวน ฟ้องร้องเป็นขั้นตอนเดียวกัน และยังเห็นควรให้พนักงานอัยการเข้ามาเป็นผู้รับผิดชอบการสอบสวนคดีอาญา
@ สปท.ถกวาระเร่งปฏิรูป 6 ม.ค.
นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ในฐานะโฆษก สปท. กล่าวว่า วันที่ 6 มกราคม เวลา 13.30 น. จะประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (วิป สปท.) 1 ในวาระสำคัญคือ จะเป็นการพิจารณากำหนดวันอภิปรายทั่วไปของ สปท. เพื่อส่งข้อเสนอไปยัง กรธ.ว่าสมควรบรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับกรอบและแนวทางในการปฏิรูปประเทศที่จำเป็นต้องบัญญัติไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งรวมทั้งประเด็นยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีด้วย ทั้งนี้ตามที่นายมีชัยได้สอบถามมาเมื่อปลายปี 2558 เนื่องจากเป็นวาระเร่งด่วน อาจกำหนดให้มีการอภิปรายใน สปท.ในการประชุมวันที่ 7 มกราคม เพิ่มเติมจากวาระปกติ หรืออย่างช้าไม่เกินการประชุมวันที่ 11 มกราคม
@ ห่วงกก.สอบข้าวถูกครอบ
นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่าจะไม่ให้เพิ่มพยานคดีจำนำข้าวแล้วเพราะหวั่นว่าจะปิดสำนวนไม่ทัน แต่อนุญาตให้ส่งเอกสารเพิ่มเติมได้ถึงสิ้นมกราคมว่า เป็นห่วงแทนคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดที่เร่งรัดสรุปเรื่องอย่างลุกลี้ลุกลนจนผิดสังเกต ทั้งๆ ที่อายุความยังเหลืออีกนาน เนื่องจากอายุความใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนมีกำหนดอายุความสองปีนับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้กระทำละเมิดและเกิดข้อกังขาว่าคณะกรรมการได้ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีในเรื่องนี้ที่ต้องให้โอกาสเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ชี้แจงข้อเท็จจริงและโต้แย้ง พร้อมพยานหลักฐานอย่างเพียงพอและเป็นธรรมแล้วหรือยังทำให้เกิดความสงสัยว่าคณะกรรมการได้ดำเนินการไปโดยอิสระหรืออยู่ภายใต้การครอบงำจากผู้มีอำนาจ
"คำถามที่ผมขอถามคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ ท่านได้ตั้งธงไว้ว่าความเสียหายที่เกิดจากโครงการรับจำนำข้าว นั้นเกิดจากเหตุจงใจหรือประมาทเลินเล่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์เพียงผู้เดียว